บันนาส่าหรีมหานทีคงคา:อรุณรัตน์ สรรเพ็ชร
เขียนโดย ปาณิศรา ชูผล มทศ.   
อาทิตย์, 17 สิงหาคม 2008

บันนาส่าหรีมหานทีคงคา

อรุณรัตน์ สรรเพ็ชร

 

 
วันนี้ (๓ กค.) ตื่นเช้าเช่นเดิม เพราะต้องเดินทางไกลกว่า ๒๐๐ กิโล  กินอาหารเช้าแล้วตรงดิ่งไปขึ้นรถคันเดิมกับกลุ่มคนเดิม ๆ ซึ่งตอนนี้พอจะรู้จักมักคุ้นกันบ้างแล้ว หลังจากได้ละลายพฤติกรรมร่วมกันมา ๒ คืน ๓ วัน  หากจะนับเวลาเป็นวินาทีที่พวกเราร่วมสุขร่วมทุกข์กันก็คงมากมายมหาศาลทีเดียว  โปรแกรมวันนี้คือไปเมืองพาราณสี หรือ วาราณสี (Varanasi) เป็นชื่อเมืองหลวงของแคว้นกาสีมาตั้งแต่เมื่อครั้งพุทธกาล ปัจจุบันชื่อว่าเมืองบานารัส (Banaras)  รัฐอุตรประเทศ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองคยาที่เราพักเมื่อวาน เป็นเมืองที่มีแม่น้ำคงคาไหลผ่าน และยังเป็นเมืองที่ฉันใฝ่ฝันมาเนิ่นนานปรารถนาจะมาเยือนให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต  มาเพื่อดูให้เห็นกับตาว่าสิ่งที่ได้ถ่ายทอดให้คนอื่นรับรู้รุ่นแล้วรุ่นเล่านั้นของจริงจะเป็นเช่นไร ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลมากนัก  แต่ถนนหนทางไม่เอื้ออำนวยเลยทำให้เวลาในการเดินทางต้องยาวไกลออกไป คณะ ฯ กินอาหารเที่ยงระหว่างทางเฉกเช่นเดียวกับเมื่อวันวาน เป็นการกินที่อร่อยไม่แพ้นั่งกินในเหลาราคาแพง เพราะมีการเสริฟอาหารเมนูพิเศษโดยแม่ชีอยู่เป็นระยะ ขนาดมาถึงอินเดียก็ยังมีแกงไตปลาจากกระบี่ และปลาร้าสับจากบุรีรัมย์กินแทบทุกมื้อ  สำหรับพระพิรุณก็ยังคงหลั่งไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย เพราะย่างเข้าสู่เขตฤดูฝนพรำแล้วนี่ ดีเหมือนกันอากาศจะได้ไม่ร้อนแรงแทงใจดำ มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวขจี สบายตาดีออก และยังมีของแถมระหว่างทางให้เห็นอยู่เนือง ๆ อีกด้วย นั่นคือเห็นคนปฎิบัติภารกิจส่วนตัวกันอย่างโจ่งแจ้งในห้องน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ฉันเห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เมื่อสายตาพลันเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอย่างสบายอุรา หันหน้ามาทางถนนอย่างไม่หวาดหวั่นสายตาผู้ใด แม้ว่าเค้าจะสบตากับฉันในระหว่างที่รถวิ่งผ่าน เค้าก็ทำหน้าได้ไร้ความรู้สึกมาก  ประหนึ่งว่า โลกใบนี้เป็นของข้าคนเดียว แหม ก็นะคนกำลังปลดทุกข์ อะไรจะยิ่งใหญ่มากไปกว่าการได้ปลดทุกข์ออกจากตัว ไม่ว่าเขาหรือเรา (ท่านผู้อ่านว่าจริงไหม?) 
 

 

ช่วงบ่ายแวะร้านข้างทางเพื่อให้คนขับดื่มการัมจายและกินจาปาตี  (คนอินเดียเค้าไม่กินข้าวเช้านะ ฉันสังเกตดูคนขับรถและผู้ช่วยไกด์จะกินข้าวเช้าประมาณบ่าย ๒ ทุกวัน) ฉันก็ลงเดินสำรวจนั่นนี่ไปตามประสา เรียกว่าเค้าจอดทุกที่ฉันก็ลงเพื่อเข้าห้องน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ทุกครั้งเช่นกัน แม่ชีสุแก่นธรรมบอกว่าไม่ต้องอายหรอกลูก คนอินเดียเค้าก็ทำแบบเรา  แต่หลายที่ที่เราแวะ  สาวแขกอินเดียส่งสายตามองเราอย่างประหลาด ๆ   จนบางครั้งฉันรู้สึกหน้าร้อนเล็ก ๆ ขึ้นมาเหมือนกัน 

บันนาส่าหรีมหานทีคงคา                 
 หน้าตาของจาปาตีและวิธีการปิ้งแป้งให้สุก

พูดถึงร้านรวงข้างถนนหรือหลาย ๆ ที่ที่ผ่านมาเห็นผู้ชายร้อยละ ๙๙ เป็นคนขายของในร้าน   หาผู้หญิงนั่งเฝ้าร้านยากมาก แทบจะไม่มีให้เห็น ฉันจึงเห็นด้วยที่สุดกับคำกล่าวว่า เมืองใช้ผัวเฝ้าห้าง เพราะผู้ชายเฝ้าห้างร้านจริง ๆ  รวมถึงเป็นผู้ทำอาหารขาย อย่างจาปาตีหรือการัมจายทุกร้านที่แวะกินมีผู้ชายเป็นคนทำทั้งนั้น

บันนาส่าหรีมหานทีคงคา   
เมืองใช้ผัวเฝ้าห้าง
รถฝ่าสายฝนจนมาถึงพิพิธภัณฑ์สารนาท พวกเราเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ค่าเข้าชมแค่ ๒ รูปี ถูกแสนถูก   ฉันรู้สึกเป็นสุขเมื่อได้เดินชมพิพิธภัณฑ์ตามประสาคนที่ผูกพันกับงานลักษณะนี้ พิพิธภัณฑ์ที่นี่มีโบราณวัตถุชิ้นเยี่ยมหลายชิ้น โดยเฉพาะพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา นั่งขัดสมาธิ ทำจากหินแกะสลัก ที่ได้รับการยกย่องจากสหประชาชาติว่าสวยงามที่สุดในโลกอันดับ ๑  ฉันเห็นด้วยว่าจริงที่สุดเพราะเป็นปฎิมากรรมที่มีพุทธศิลป์งดงามมาก ประติมากรช่างรังสรรค์เสียจริง ๆ ยังมีสิ่งล้ำค่าชวนดูอีกอย่างในพิพิธภัณฑ์คือ หัวเสาตราสิงห์ที่เป็นตราราชการแผ่นดินของอินเดีย เป็นรูปสิงโต ๔ ตัวหันหลังชนกัน  สร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และพระอวโลกิเตศวรในลัทธิมหายาน โบราณวัตถุเหล่านี้ ไม่สามารถถ่ายรูปได้ เช่นเดียวกับพิพิธภัณฑ์ของกรมศิลปากรบ้านเรา ที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปเพราะเป็นระบบการรักษาความปลอดภัยนั่นเอง

จากนั้นไปนมัสการมูลคันธกุฎี ที่พุทธเจ้าทรงจำพรรษาครั้งแรก ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน   ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกับพิพิธภัณฑ์สารนาถ ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย คณะ ฯ ได้สวดมนต์ และนั่งสมาธิ ณ ธัมเมกขสถูป ที่มีลักษณะทรงบาตรคว่ำก่อด้วยหินทราย เป็นสถานที่แสดงปฐมเทศนา โดยมีพระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นองค์แรก และยังเป็นสถานที่ที่เกิดขึ้นแห่งวันอาสาฬหบูชาในโลก   ฉันทอดตามองภาพเหล่านั้นด้วยความรู้สึกสงบนิ่งและเยือกเย็น

บันนาส่าหรีมหานทีคงคา             
บริเวณธัมเมกขสถูปกับการสวดมนต์เจริญจิตภาวนาสมาธิ

สักพักฉันเดินสำรวจโบราณสถานรอบ ๆ    และมานั่งรอคณะอยู่ด้านหน้าธัมเมกขสถูปกับลาวาและมาโนช  ผู้ช่วยไกด์ชาวอินเดีย นั่งพูดคุยซักถามเรื่องราวในอินเดียและเรื่องส่วนตัวของทั้งสองคน ลาวาพูดภาษาไทยได้ค่อนข้างดี เพราะเคยบวชเป็นสามเณรอยู่วัดไทยพุทธคยาหลายปี จนปัจจุบันก็ยังเป็นเด็กวัดอยู่ จึงสามารถช่วยงานพระและแม่ชีได้เป็นอย่างดีในการรับคณะ ฯ คนไทย ระหว่างนั่งรอก็มีบรรดาขอทานเดินมาทำตาละห้อยอยู่ข้าง ๆ รั้ว พวกเค้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาภายในเขตโบราณสถาน จึงได้แต่วนเวียนอยู่รอบนอก แต่นั่นก็หาทำให้พวกเค้าย่อท้อในการตามตื้อนักท่องเที่ยวไม่  โดยเฉพาะรานีและมหารานีที่มาจากเมืองไทย เพราะคงรู้กิตติศัพท์เรื่องคนไทยใจบุญนั่นเอง

ฉันหยอกล้อเล่นกับบรรดาขอทานด้วยการทำท่าเหมือนที่เค้าทำให้ฉันดู ปรากฎว่าเรียกเสียงหัวเราะได้คำใหญ่ ๆ  เพราะฉันคงทำท่าได้ดีกว่าเค้า (มั้ง) หรือไม่ก็ทำได้น่าเกลียดกว่าเป็นหลายเท่า จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้ฉันคิดหาวิธีการเอาตัวรอดจากขอทานเหล่านั้นด้วยการทำท่าทางอย่างที่เขาทำ  บางครั้งก็ทำหน้าดุใส่   หรือไม่ก็วิ่งไปเกาะแขนมาโนชพร้อมร้องว่า help me please ๆ เพื่อให้มาโนชพูดจาภาษาเดียวกันว่าอย่ามารบกวนฉัน

 

บันนาส่าหรีมหานทีคงคา

                          สนามหญ้าบริเวณโบราณสถาน

จากนั้นฉันจึงเดินทอดน่องเอื่อย ๆ อย่างไม่เร่งร้อนเพราะมีเวลาท่ามกลางสายฝนพรำๆ ออกไปด้านนอกเพราะอยากกินมะม่วง ภาษาฮินดีเรียกมะม่วงว่า อาม (อันนี้ลาวากับมาโนชบอก) ขอบอกว่ามะม่วงที่อินเดียอร่อยมาก รสชาติหวานเนียน ๆ กินแล้วอยากกินอีก ราคาก็ไม่แพงกิโลละ ๒๐ ๓๐ บาท มีวางขายอยู่ทั่วไป เมื่อได้มะม่วงมาสมใจอยากก็สอดส่ายสายตาหาของที่ระลึกที่มีวางขายเป็นแถว สินค้ายอดนิยมก็เห็นจะเป็นพระพุทธรูปดินเผาปางสารนาถหรือปางปฐมเทศนา ที่มีวางขายทุกร้าน คนขายก็เหมือน ๆ กับที่ผ่านมาที่คิดว่าตื้อเท่านั้นที่ครองโลก พากันมาเดินล้อมหน้าล้อมข้างแล้วมาล้อมหลัง ทำยังกะว่าฉันเป็นนางงามก็ไม่ปาน (อิอิ) ตอนแรกบอกราคาซะสูงลิบลิ่ว พอฉันทำไม่สนใจไปถามราคาร้านอื่น  คนขายคนนั้นก็มากระซิบกระซาบว่า ๑๐ รูปีก็ได้จากราคาเดิม ๕๐๐ รูปี เอากะเค้าสิ   เมื่อฝ่าฝูงชนคนขอทานมาขึ้นรถ คนขายก็ยังไม่วายมายืนเข้าแถวกันหน้าสลอนอยู่ข้างรถเพื่อร้องขายและร้องขอ  ฉันหยิบยื่นลูกอมให้ไปบ้าง ที่กล้าให้เพราะขึ้นมานั่งบนรถแล้ว มีพรรคพวกเยอะคงไม่กล้าตามมารุมทึ้งบนรถแน่นอน จากนั้นคณะ ฯ ไปต่อที่เจาคันธีสถูป ซึ่งมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโมกุล แต่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลาเหลือเพียงเนินดิน เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าพบปัญจวัคคีย์ครั้งแรกหลังจากตรัสรู้ สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ ๗ เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงว่า ครั้งเมื่อปัญจวัคคีย์หลีกหนีพระพุทธองค์ ด้วยสำคัญผิดเพราะมีมิจฉาทิฏฐิอย่างแรงกล้า ได้มาอาศัยอยู่ที่นี้ หลังจากทรงตรัสรู้แล้ว พระพุทธองค์ทรงมีพระเมตตาเสด็จมาโปรดปัญจวัคคีย์ สันนิษฐานว่าพบกัน ณ ที่จุดนี้เป็นครั้งแรก และได้ทำความเข้าใจกันในเบื้องต้น มาถึงตรงนี้ฉันรู้สึกสงสารพระพุทธเจ้าขึ้นมาจับใจที่พระองค์ท่านใช้ความเพียรพยายามเป็นอย่างสูง หลังจากที่ตรัสรู้แล้วด้วยการเดินเท้าจากพุทธคยามายังเมืองพาราณสี เป็นระยะทาง ๒๐๐ กว่ากิโล คิดดูเถอะว่าขนาดเรานั่งรถกระดูกกระเดี้ยวแทบจะหักจนยำได้ แต่ในสมัยพุทธกาลจะไม่ลำบากหนักหนาสากรรจ์กว่านี้หรือ   ฉันรู้สึกบ่อน้ำตื้นขึ้นมาทันที ฉันไม่ได้ลงไปดูเจาคันธีสถูป เพราะฝนตก รู้สึกชื้น ๆ และเห็นบรรดาขอทานมารอรับอยู่ตรงข้างรถ  เลยนั่งแจกลูกอมอยู่บนรถดีกว่า  คืนนี้พวกเราพักที่วัดไทยสารนาถ และทอดผ้าป่า  ตอนพลบค่ำฉันแอบย่องไปตีท้ายครัวของวัด  พบแม่ชีที่มาเรียนต่อระดับปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยเมืองพาราณสี หาข้าวหาน้ำและมะม่วงให้ฉันกิน     รู้สึกซาบซึ้งในเมตตาจิตของแม่ชีเป็นที่ยิ่ง  ก่อนนอนฉันขอให้ อ.เอี่ยมนภาเล่าพุทธประวัติให้ฟังอีกเช่นเคย จนหลับไปตอนไหนก็ไม่ทราบวันที่ ๔ กค. ตื่นมาเวลา ๔ นาฬิกาของอินเดีย วันนี้มีทริปไปล่องคงคามหานที    ตื่นเต้นสุด ๆ กระวีกระวาดแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดขาวเหมือนเช่นทุกวัน ตั้งแต่มาอินเดียฉันปล่อยวางเรื่องการประทินโฉมไปเกือบหมด เรียกว่าขี้เกียจแม้กระทั่งจะหยิบแป้งมาแต่งหน้า มีความรู้สึกว่าไม่รู้จะทาจะแต่งไปทำไม อะไรที่ไม่ปรุงแต่งนี่ดีที่สุดแล้วเพราะสังคมบนรถคันนี้มาเพื่อลดละเลิกและปล่อยวางกันทั้งนั้น ไม่แปลกใจเลยว่าเมื่อจบทริปอินเดียหน้าฉันจึงกร้านดำไม่แตกต่างอะไรกับคนแถบนั้น เพราะเดินกลางแดดเปรี้ยง ๆ ถือร่มอยู่ในมือแต่ไม่นึกอยากจะกาง  แถมครีมกันด่งกันแดดก็ไม่นำพาซะอีก

รถเคลื่อนที่ไปสู่ท่าน้ำคงคาเมื่อเวลา ๕ นาฬิกา ฝนยังคงตกปรอย ๆ ทั้ง ๆ ที่ตกมาแล้วทั้งคืน ที่อินเดียนี่ไฟดับบ่อยมาก วัดที่พักก็เดี๋ยวดับเดี๋ยวติดอยู่อย่างนั้นเกือบทั้งคืน อาจเป็นพราะว่าทางวัดใช้เครื่องปั่นไฟเอง หรือไม่ก็คงเป็นมาตรการประหยัดน้ำมัน  รถมาจอดให้พวกเราลงไม่ไกลจากท่าน้ำมากนัก  แล้วจึงเดินขบวนตามพระอาจารย์ไปเป็นแถว ด้วยเป็นเวลาเช้าตรู่ร้านรวงจึงยังไม่เปิด ฉันเห็นคนที่ไม่มีบ้านซุกตัวนอนหลับอยู่แถวหน้าร้านหลายคน ฉันรีบละสายตาไปทางอื่น ก็คงไม่แตกต่างอะไรกับคนจรหมอนหมิ่นบ้านเราที่ไม่มีแม้กระทั่งโอกาสให้ตัวเองได้แสวงหา มาอินเดียนี่คุ้มสุดคุ้มกับสิ่งที่ได้เห็นถือเป็นศูนย์รวมของความหลากหลายที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว  ก่อให้เกิดทัศนวิสัยของผู้ที่ได้พบเห็นแตกต่างกันออกไปตามต้นทุนทางความคิดของแต่ละคน

 

บันนาส่าหรีมหานทีคงคา

                      แม่ค้าขายมาลัย เส้นทางไปท่าน้ำคงคามหานที

 

รีบจ้ำอ้าวก้าวยาว ๆ ตามคณะไปเพราะเห็นคนเริ่มหนาตาขึ้น บนทางเท้ามีคนวางพวงมาลัยขายเป็นแถว คงเป็นเครื่องบูชาพระแม่คงคาเป็นแน่แท้ ระหว่างทางที่เดินลงไปสู่ท่าน้ำคงคาเห็นเจ้าพิธีกรรมต่าง ๆ กำลังปฏิบัติการ บางรายได้เชิญชวนให้เราร่วมพิธีกรรมด้วย แต่ฉันขอบาย เพราะกลัวไปไม่ทันขบวน และยังเห็นช่างตัดผมริมทางที่ตัดกันจะ ๆ แบบไม่ต้องอาศัยเก้าอี้เอนนอนแบบบ้านเรา นั่งหันหน้าเข้าหากันบนเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ (ภูเก็ตเรียก บั๋งกู๋ ตรัง เรียก ดานม้า--ผู้เขียน) ตัดกันตรงนั้นแถมยังโกนหนวดกันเคราให้กันอีก ฉันเลยเรียกช่างเหล่านั้นว่าพ่อกัลบกริมทาง

 

บันนาส่าหรีมหานทีคงคา                       
 คงคามหานที ศรัทธาแห่งฮินดูชน 
ต่อนิจจา...เมื่อมาถึงท่าคงคามหานที  การณ์กลับไม่เป็นไปดั่งหวัง ด้วยเหตุว่าฝนที่ตกมาทั้งคืนทำให้กระแสน้ำในแม่น้ำคงคาไหลเชี่ยวกราก และหมุนวน หัวหน้าคณะทัวร์กลัวจะเกิดอันตรายกับพวกเราจึงไม่อนุญาตให้ลงเรือไปล่องแม่น้ำคงคา คงได้แต่เก็บเกี่ยวภาพแห่งความทรงจำเอาไว้แค่บนบกเท่านั้นเอง 

ฉันซื้อกระทงดอกกุหลาบจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาในราคา ๑๐ รูปี ด้วยว่าคุณเธอตามล่าตามล้างฉันเหลือเกิน เมื่อได้กระทงฉันก็จุดเทียน พยายามอยู่หลายครั้งแต่ด้วยลมที่พัดมาปะทะทำให้เทียนดับอยู่ร่ำไป ฉันเลยตัดสินใจลอยไปทั้ง ๆ ที่เทียนไม่ติดนั่นแหละ ขณะที่หย่อนกระทงลงน้ำก็ได้อธิษฐานจิตว่าขอให้ฉันได้มีโอกาสมาเยือนอินเดียอีก....ด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ ประมาณว่าสิ่งที่ฝันได้เป็นจริงแล้ว

 

 

 

บันนาส่าหรีมหานทีคงคา   
กระทงคงไม่หลงทางที่ท่าน้ำคงคา../ท่ากรีดกรายนิ้วฉันดีแท้ (กรั๊กๆ)
 บันนาส่าหรีมหานทีคงคา

 เมื่อสมควรแก่เวลาคณะ ฯ ก็เดินทางกลับ ฉันเห็นคนมารออาบน้ำจากแม่น้ำคงคาทั้งผู้หญิงผู้ชาย เด็กและคนสูงวัย คนอินเดียเชื่อกันว่าแม่น้ำคงคาจะสามารถชำระบาปได้ และเป็นที่อยู่ของเทพเจ้า   เหมือนดังคำกล่าวที่ฉันเคยอ่านพบว่า เมื่อศรัทธาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องค้นคว้าหาคำตอบฉันจากลาท่าน้ำคงคามาพร้อมคำถามในใจว่า เมืองนี้วุ่นวายจริงหนอ

บันนาส่าหรีมหานทีคงคา                                      ศรัทธามหาชน

กลับมากินข้าวเช้าที่วัด อาหารอร่อยทุกมื้อเพราะคนทำเป็นแม่ชีไทย  ก่อนกลับฉันเดินตัวปลิวไปหน้าวัดเพราะหมายตาร้านขายผ้ากาสีไว้ตั้งแต่เมื่อวาน  มาเมืองพาราณสีสิ่งที่ขึ้นชื่อนอกจากแม่น้ำคงคาแล้ว ผ้ากาสีก็ติดอันดับต้น ๆ ของการสรรหาไว้คู่กับตัว  ร้านยังไม่เปิดทำการ แต่ก็ไม่สามารถสกัดกั้นแรงปรารถนาของฉันได้ ทั้เพราะทั้งเคาะประตูร้าน ทั้งเรียกหา  จนคนขายต้องลุกมาเปิดร้านด้วยอาการงง ๆ   โห...เมื่อเปิดไฟในร้านดูอะไรจะงดงามได้ปานนี้  ทั้งผ้าพันคอ ทั้งส่าหรี ละลานตระการตาที่สุดเท่าที่เคยพบมา อ.ปู่และอ.เอี่ยมนภาตามมาสมทบ  ฉันคว้ามาได้ ๓ ผืน เป็นผ้าพันคอผืนบางเบา   ด้วยเวลาที่เร่งรีบ อ.ปู่และอ.เอี่ยม คว้าผ้ากาสียาว ๖ หลาได้คนละผืน ต่อรองได้ผืนละ ๘๐๐ บาท จากราคาขายผืนละ ๑,๒๐๐ บาท จะถูกหรือแพงในวินาทีนั้นไม่สนแล้ว เพราะอยากได้และรถกำลังจะเคลื่อนที่ ฉันเอากะเค้ามั่งเพราะอยากได้ไว้ประจำบ้าน หิ้วขึ้นมาบนรถผู้คนฮือฮาด้วยว่าฉันเลือกสีผ้าได้ถูกใจผู้สูงวัย (อิอิ) ยังเสียดายอยู่จนบัดนี้ว่า ทำไมฉันถึงไม่เลือกซื้อผ้าคลุมไหล่หรือผ้าพันคอมาสัก ๒๐ หรือ ๓๐ ผืนเพื่อแจกจ่ายญาติมิตร ??? (คำถามที่ไม่อยากหาคำตอบเพราะรู้ดีว่าอัฐน้อยนั่นเอง  ) ในวันนี้จากลาพาราณสีมาด้วยความอาลัยหา...หวังไว้ว่าเมื่อบุญพาวาสนาส่งฉันจะได้กลับมายังคงคามหานทีอีกครา.บันนาส่าหรีมหานทีคงคา

บันนาส่าหรีมหานทีคงคา

บันนาส่าหรีมหานทีคงคา

                           ร้านขายผ้ากาสีหน้าวัดไทยสารนาถ

 

 

ตอนต่อไป ของพิมพิกา

บันนาส่าหรีมหานทีคงคา
เยือนดินแดนถิ่นองคุลีมาล
ชาติภูมิมหาบุรุษเอก
ตอนก่อนหน้านี้
ปฐมเหตุของการเดินทางไปอินเดีย 
ก้าวแรกที่โกลกัตตา
อรุณรุ่งที่พุทธคยา

 

Posted on Sun 27 Jul 2008 17:21
แวะมาดูแพะนอนกอดกัน อิอิ

อุ๊ยเลขเบิ้ล 4477
ตะกี้ไปไดพี่ต๋อยก็ 6996
น้องอ้อย   
Thu 7 Aug 2008 10:11 [21]

ผ้ากาสี คงเปลี่ยนไปตามยุคสมัย

เดี๋ยวนี้คงไม่ได้ทอมือทุกกระเบียดนิ้วแล้วมั้งคะ

เคยไปที่ทำงานแฟนเพื่อน เค้าเป็นเจ้าของบริษัท น้องสาวเค้าสั่งผ้าไหมอินเดียมาขายผืนละหมื่นเจ็ดมั่ง สามหมื่นมั่ง ฯลฯ ไม่รู้ว่าคือผ้าอะไร คงมิใช่ผ้ากาสีละมั้ง รู้แต่สวยสะกดทรวงมากๆ และก็ต้องสะกดใจไม่ให้อยากได้มากไปกว่านั้นด้วย 555
heroine.diaryclub.com   
Thu 7 Aug 2008 3:09 [20]

หยกเอ๋ย พี่เพิ่งกลับมาจากบางกอก มาถึงหัวปักหัวปำกะงาน ว่าจะลองเอาผ้ากาสีพิสูจน์เหมือนที่หยกให้ลองทำดู แล้วจะแจ้งผลจ้า แต่พี่เอาคำถามหยกไปคุยกะอาจารย์ แกบอกว่าในอดีตอาจจะใช่ แต่ในปัจจุบันแกว่าคงเปลี่ยนไปแล้วละจ๊ะ////กลับมาแล้วจ้าน้องหล้า...แต่ว่ายังปั่นต้นฉบับไม่ไหวอ่ะ..รอก่อนเน้อ..
munasunma.diaryclub.com   
Tue 5 Aug 2008 19:16 [19]

กลับจากบางกอก ยังคร้า.... พี่พิม ^^
ban2pak.diaryclub.com   
Tue 5 Aug 2008 16:16 [18]

พี่พิมค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบ
jokeboraan.diaryclub.com   
Sat 2 Aug 2008 16:02 [17]

ขอบคุณค่ะพี่พิม ยังไงก็คงเป๋นปริศนาต่อไปสำหรับนานกับโรตีและจาปาตี ไว้คราวหน้าถ้าได้ไปอีกจะล้วงคำตอบมาให้ได้เลยค่ะ

รีบกลับมานะคะพี่พิม รอเรื่องต่อไปอยู่ค่ะ
bazzybazza.diaryclub.com   
Sat 2 Aug 2008 13:58 [16]

พี่พิม ..หนุ ท่าจะ บ้า เอาแต่เรื่องคนอื่นมาคิด
แบบที่พี่ว่าเลย เอาทุกข์ของคนอื่นมาใส่ตัว ฮ้วย ๆ
ketkaew.diaryclub.com   
Fri 1 Aug 2008 13:38 [15]

อ่านแล้วนึกถึงแต่เรื่องที่เรียนมาเลยล่ะพี่พิม

"อาม" คือ มะม่วง นึกถึง อัมพวา อัมพวัน ก็แปลว่าสวนมะม่วง น่าจะมาทางเดียวกัน รากศัพท์แหล่ะเนอะ

สมัยเรียนประติมานวิทยา พระพุทธรูปอินเดีย ยุคหนึ่งจะนิยมทำพระพุทธรุปที่มีจีวรบางแนบพระวรกาย โดยให้เหตุผลว่าผ้าที่ใช้ทำเป็นผ้าอย่างดีจากเมืองพาราณสี บางแต่ว่าอ้มน้ำดี ไม่ร้อน อะไรนี่แหล่ะ

พี่พิมพิสูจน์หน่อยสิ ว่าผ้ากาสี บางใส อุ้มน้ำ จริงหรือเปล่า
heroine.diaryclub.com   
Wed 30 Jul 2008 19:51 [14]

ประกาศ ๆ มิตรรักแฟนคลับ ต้องไปจัดนิทรรศการที่อิมแพคเมืองทองธานีหนึ่งอาทิตย์ กลับมาแล้วจะรีบปั่นต้นฉบับให้อ่านอย่างเร็วที่สุดจ้าสัญญา ๆ
munasunma.diaryclub.com   
Mon 28 Jul 2008 21:04 [13]

ตอบน้องหล้า ค่าเทอมถูกกว่าคงจริง เพราะค่าเงินรูปีของเค้าจะถูกกว่าเงินบ้านเรา เวลาซื้อของเค้าจะขอเงินไทยมากกว่าเงินรูปีจ้า และค่าใช้จ่ายที่อินเดียถูกกว่าบ้านเรามากมาย พี่ยังตะหงิด ๆ อยากไปเรียนด๊อก...จังเลย แต่..แก่แล้วกลัวขี้เกียจอ่ะ 55
จขด.   
Mon 28 Jul 2008 20:55 [12]

ไดฯ นี้ หนู อ่านจบไปตั้งกะวันก่อนแล้วคะ แต่ มันหาคำเมนท์ ไม่ออก คะ พี่พิม อาจด้วยเวลา ที่จำกัด (ประมาณ แว๊บบบ ไป แว๊บบบ มา ^^)

หนูอ่านทริป อินเดีย ของพี่พิม จบแล้ว อืมมม ...

ได้อะไรหลายๆ อย่างมาก ๆ เลยคะ พี่พิม

ตั้งแต่ ห้องน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก
วิธีการหลบหลีกขอทานที่อินเดีย
และ ที่สำคัญ คือ ความรู้ คะ พี่พิม บอกไม่ถูก แต่ รู้สึกได้ว่า ได้รับ ความรู้ ความจริง สัจธรรม และ อีกหลาย ๆ อย่าง เลยคะ พี่พิม สนุก จริง ๆ มีหลายอรรถรส และ ที่ชอบที่สุดในหน้านี้ ก็คือ

“เมื่อศรัทธาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องค้นคว้าหาคำตอบ"

เป็นความจริง ที่สุด เลย นะคะ ซึ่งหนู ว่า เพราะประโยค นี้ ทำให้เกิดเหตุการณ์ ได้หลายแง่ หลายอย่าง เลย นะคะ


ผ้ากาสี ก็สวยมาก ๆ เลย คะ พี่พิม อยากเห็นตอนที่พิม ใช้คลุม จังคะ ^^

ขอให้พี่พิม ได้ไปเยือน อินเดีย อีกครั้ง ตามที่ตั้งใจ นะคะ

ปล. มีพี่ที่ทำงาน ที่เดียวกัน เค้าส่งลูกชายไปเรียนต่อ ระดับ มหาลัย ที่อินเดีย พี่เค้าบอกว่า ค่าเทอมถูกกว่า มฟล. อีกคะ พี่พิม (จริงป่าวคะ?)
ban2pak.diaryclub.com   
Mon 28 Jul 2008 14:32 [11]

มาแล้วคับ แต่ผมยังไม่อัพไดเลยอ่ะพี่สาว



เอิ้กๆๆๆ




โรตีแบบนั้น จะอิ่มมั้ยอ่ะ แต่มันน่ากินมากนะ



ถ้ามีโอกาสอยากไปเรียนที่นั่นม่กกว่าไปเที่ยวซะอีก



เหตุจาก*ชอบหนังอินเดียตอนเด็กๆ 5 5+
jokeboraan.diaryclub.com   
Mon 28 Jul 2008 1:19 [10]

ตอบน้องแบด อันนี้พี่ก็จนด้วยเกล้าจริงๆจ้าเพราะที่พี่อ่านในหนังสือ นานนี่พี่เข้าใจว่าคือจาปาตี แต่คณะที่พี่ไปนี่เค้าเรียกแป้งแบบในไดอารี่พี่ว่า จาปาตีจ้า ภาษาถิ่นของอินเดียนี่เยอะมากๆ แตกต่างกันไปตามท้องถิ่น
จขด.   
Sun 27 Jul 2008 6:49 [9]

เรื่องวันนี้ ตามรอยพระพุทธเจ้าจริงๆ

พี่พิมขา จาปาตี นี่คือโรตีหรือเปล่าคะ
แบดสงสัยว่า โรตี กับ นาน ต่างกันอย่างไรคะ เคยถามเค้า เค้าตอบว่า

ROTI is ROTI , NAN is NAN.

แล้วจะเข้าใจมั้ยเนี่ย

คุณยายทวดของแบดเคยไปที่แม่น้ำคงคาค่ะ ดื่มน้ำในแม่น้ำด้วยความศรัทธา อิ่มเอม เปรมใจ

สักพัก มีศพลอยผ่านหน้ามา อย่างอืดเลยค่ะ เท่านั้นแหละ วงแตก! บรื๋อ..บรื๋อ..
bazzybazza.diaryclub.com   
Sat 26 Jul 2008 20:09 [8]

ตอบน้องอ้อยอีกรอบ พี่หยิบเทียนที่ดับ เพราะลมแรงจะใส่ในกระทงเพื่อเอาไปลอยจ้า ให้เด็กคนขายถือกระทงให้ ส่วนสัตว์ที่นอนคือแพะค่ะ
ใช่ค่ะ บั๋งกู๋คือเก้าอี้เล็ก ๆ ใช้นั่งซักผ้า ทำครัวนะแหละค้า
munasunma.diaryclub.com   
Sat 26 Jul 2008 19:32 [7]

ตอบน้องอ้อย น้ำที่นั่นคนที่ศรัทธามาก ๆ ก็จะดิ่มกินเป็นเรื่องธรรมดา เราดูว่าน่าจะสยดสยอง แต่เค้านี่เหมือนด้มน้ำทิพย์เลยแหละ
จขด.   
Sat 26 Jul 2008 16:22 [6]

หนูเพิ่งจะรู้นะคะนี่ว่าเมืองพาราณสีเปลี่ยนชื่อแล้วฟังดูเป็นอินเตอร์ดีนะคะบานารัส

คนขับกินและดื่ม หนูเคยดูในทีวี(ที่บอกวันก่อนหนะค่ะ) ภาพทำแป้งก็เหมือนเคยดูค่ะ เค้าเอามือยัด ๆ ไปในไหเหมือนเตาอบเลยนะคะ
แกะ (หรือแพะนะคะ) คงจะเกลื่อนกลาดเยอะเลยนะคะ


เสียดายนะคะที่เค้าไม่ถ่ายทอด(เป็นภาพ) ให้เห็นปฏิมากรรม (พิมพ์ถูกมั้ยค่ะนี่) ที่สวยงาม

บั่งกู๋คือเก้าอีกตัวเล็กๆใช่ป่าวค่ะ ของพี่เรียกดานม้า บ้านหนูเรียกตั่ง บางที่ก็เรียกก้อม(แล้วแต่ขนาดอีกค่ะ)

หนูจะถามว่า แม่น้ำ(น้ำ)นี้เค้าดื่มกันป่าวค่ะพี่ เพราะความเชื่อ เหมือนเคยได้ยินมา (((แหม...กรีดนิ้วซ้ซซซซา เอาอะไรใส่ลงไปในกระทงค่ะพี่พิม)

แหม่ น่าจะให้แม่พาพ่อไปอยู่ที่นั่น พ่อจะเฝ้าร้านคนเดียว ฮ่าๆๆ (ล้อเล่นค่ะ)

น้องอ้อย   
Sat 26 Jul 2008 12:19 [5]

เหอ ๆ เหอ ๆ ทำไมปุ้ยแทงหวยม่ะถูกน๊า...

มาอีกรอบ เพื่อจะมารอดูคำตอบ แล้วก้อไม่ผิดหวังจริง ๆ ด้วย ขอบคุณอีกครั้งนะคะพี่พิม

อยากบอกว่า ปุ้ยชอบให้พี่พิมเขียนไดลักษณะนี้มาก ๆ เลย เพราะอย่างน้อยก้อทำให้เพื่อน ๆ น้อง ๆ ที่ไม่มีโอกาสได้ไป รับรู้เรื่องราวแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่หลายคนอาจไม่เคยได้พบเจอ ผ่านตัวหนังสือในหน้าไดแห่งนี้ ในทุก ๆ สถานที่ที่พี่พิมได้มีโอกาสท่องเที่ยว(บ่อย ๆ)มากกว่าคนอื่นนิดนุง

และเห็นด้วยกับพี่ต๋อยที่ว่า ถ้าพี่ต๋อยหรือปุ้ยได้ไปเที่ยว ก้อคงไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ละเอียดขนาดนี้เหมือนพี่พิมแน่ ๆ เล้ยยย
โดยเฉพาะปุ้ยน่ะออกแนวเน้นกินและถ่าย(รูป) หาสาระอะไรม่ะด้ายยยย หุหุหุ


^_________^
plakrapong.diaryclub.com   
Sat 26 Jul 2008 10:49 [4]

เหมือนปุ๋ย..วันนี้ตื่นมาอ่านไดพี่พมแบบไม่ข้ามไม่รีบ อ่านไปจิบกาแฟไป..ตื่นสายดีแท้...หนูว่า..หนูคงยืยยันว่า..หนูไหว้พระที่เมืองไทยท่าจะดี..ศรัทธาไม่แรงเท่าพี่พิมงะ...แต่นั้นแหะลเขาบอกว่าคบคนดีคนดีก็พาไปเจอสิ่งดีดี คบบัณฑิต ก็ได้ความรู้มาก ๆ เป็นสาระเป็นแก่นสารให้กับตัวเอง...หนูกับพี่..เหมือนสีขาวกับสีดำเน๊อะ...หนูแร๊ดแรด แต๊ดแต๋..แต่มีกับแบบว่า..เรียบร้อย..สาระ..มาเจอได้ยังไงเนี๊ย...อ่านแล้ว กลัวขอทาน กลัวห้องน้ำ กลัวระเบิดเวลาเดินไปห้องน้ำ เพราะหนูตาถั่ว...เดินซุ่มซ่าม..หนูว่า..ถ้าหนูไปเข้าห้องน้ำที่นั้น..หนูจะหา..น้ำที่ไหนล้างเท้าที่โดนระเบิดน้อ....แต่...ที่หนูชอบคือ..สาหรี..และเสื้อแบบแขก งะ....ไปเที่ยวคงเก็บรายละเอียดต่างมุมกับพี่แน่ ๆ อาศัยอ่านจากพี่พิม..ยิ่งกว่าไปเที่ยวเองซะอีก...
ketkaew.diaryclub.com   
Sat 26 Jul 2008 9:28 [3]

ตอบน้องปุ้ย กัลบกแปลว่าช่างตัดผมจ้า ส่วนกาสี เป็นผ้าไหมที่ขึ้นชื่อและสวยงามมาก เนื้อบางเบา เป็นเทคนิคการทอเส้นไหมสลับกับเส้นเงินผ้ากาสีผลิตที่เมืองพาราณสี
จขด.   
Sat 26 Jul 2008 6:52 [2]

วันนี้ปุ้ยใช้เวลาอ่านไดพี่พิมนานเป็นพิเศษกว่าทุกครั้ง
ถึงจะค่อนข้างยาว แต่อ่านจบเรียบร้อยแล้ว คุ้มค่ากับการรอคอยมาก ๆ

ถ้อยคำและภาษาที่พี่พิมใช้ราวกับว่าเป็นนักเขียนเลยนะคะ น่าเอาเป็นพิมพ์เป็นหนังสือซะจริง ๆ เลยค่ะ

มีหลายคำที่ปุ้ยแอบสงสัยและไม่รู้ความหมาย เช่น กัลบก กับ ผ้ากาสี (นู๋แอบโง่ อิอิ)

ขอบคุณนะคร๊า ที่สละเวลามาถ่ายถอดเรื่องราวซะยาวเหยียด น่ารักที่ซู๊ดดดด


^_________^
plakrapong.diaryclub.com   
Fri 25 Jul 2008 23:34 [1]

แสดงความคิดเห็นเป็นทัศนะส่วนตน

แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( พุธ, 20 สิงหาคม 2008 )