สาร biodata ฉบับที่ 47 สกว. กับงานวิจัยใน 3 จชต. (3) ตอน ชาวบ้านทำวิจัย AAR 5,000 บาท เรียน สมาชิก biodata ทุกท่าน
“สาร biodata” วันนี้ถึงคราวไขข้อสงสัยเรื่อง AAR (Alternative Activity Research) แล้วครับ เมื่อวันก่อน สกว. ได้พบกับผู้บริหารภาครัฐระดับจังหวัด ท่านบอกว่ามหาวิทยาลัยต้องหันมาหาความจริงของเหตุการณ์ภาคใต้ เพื่อเราจะแก้ปัญหาได้ถูก พวกเราเอง (หมายถึงผู้อยู่ในวงการวิจัย) ก็ทราบดีว่าความรู้จากการวิจัยของเราเรื่องนี้มีน้อยมาก ต่างคนต่างพูดกันไปตามความรู้ (บางทีเป็นความเข้าใจ ซึ่งยังไม่ทราบว่าถูกหรือผิด) เท่าที่มีอยู่ บ้างก็ผสมอารมณ์เข้าไปด้วย คนที่อยู่ไกลพื้นที่ก็ไม่เข้าใจเรื่องการอยู่ร่วมกันในพื้นที่แบบพหุวัฒนธรรม (แถมคนเหล่านี้ยังเป็นคนกำหนดนโยบายการแก้ปัญหาอีกด้วย) นอกจากที่ สกว. ให้นักวิชาการหาความรู้จากพื้นที่ดังที่เล่าใน “สาร biodata” ฉบับที่ 46 แล้ว สกว. ได้ให้ความสนใจกับคนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ได้ทำวิจัยด้วยตัวเอง สมาชิก “สาร biodata” น่าจะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องทำยากมาก ลำพังเอาชีวิตให้รอดไปถึงพรุ่งนี้ก็ยากแล้ว เหตุใดจึงต้องมาเพิ่มความยากให้กับชีวิตโดยการทำวิจัยอีก
เมื่อปี 2549 สกว. เริ่มพัฒนาแนวคิดรูปแบบการสนับสนุนทุนวิจัยเพื่อพัฒนาทั้งพื้นที่ หรือเรียกย่อๆ ว่างาน ABC- R (Area-Based Collaborative Research) เพื่อให้มีการใช้ข้อมูลและความรู้ในการกำหนดทางเลือกที่เหมาะสมกับการพัฒนาของจังหวัดต่างๆ ในประเทศไทย (เรื่องงาน ABC-R นี้เล่ามาแล้วใน “สาร biodata “ ฉบับก่อนๆ หาอ่านได้จาก http://biodata.trf.or.th) พื้นที่ 3 จชต. เป็นพื้นที่หนึ่งที่ สกว. เลือกเป็นพื้นที่การทำงานแบบ ABC-R เมื่อทำงานมาได้ระยะหนึ่งก็พบข้อจำกัดในการทำงานที่แตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีสถานการณ์พิเศษ ที่ทำให้เราขาดกระบวนการและกลไกการทำงานที่เข้าถึงชุมชนต่างๆได้ นอกจากเริ่มพัฒนา “นักวิจัยผู้กล้า” ในพื้นที่ดังที่เล่ามาในฉบับก่อนแล้ว สกว. ต้องคิดหารูปแบบการทำงานวิจัยแบบใหม่ และเรียกว่า เรียกว่า “การวิจัยกิจกรรมทางเลือก (AAR)” โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่กลางปี 2550 ที่ให้ชุมชนทำกิจกรรมร่วมกันบนพื้นฐานความต้องการร่วมกันของชุมชน ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต ศาสนธรรมและบริบทของแต่ละพื้นที่ (ฟังดูเหมือนไม่ใช่วิจัยใช่ไหมครับ)
การสนับสนุนการวิจัยแบบ ABR ได้กำหนดเงื่อนไขดังต่อไปนี้
1. ชุมชนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของและบริหารจัดการร่วมกัน โดยเป็นกิจกรรมที่สนับสนุนเพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ การสร้างบรรยากาศที่ดี (feel good) ให้กลับมา และสร้างความเชื่อมั่นที่มีต่อกันระหว่างคนในชุมชนด้วยกันเองและกับคนนอกชุมชน 2. เป็นกิจกรรมที่แก้ปัญหาของกลุ่มเป้าหมายผ่านกิจกรรมที่ดำเนินการทีละขั้นตอน เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต่อไป 3. กลุ่มเป้าหมายคือ เด็กกำพร้า/เยาวชน/สตรีและผู้นำศาสนา โดยเน้นกิจกรรมด้านอาชีพ/การศึกษา เป้าหมายที่สำคัญคือข้อ 1 ที่สร้างความสัมพันธ์/บรรยากาศที่ “feel good” ระหว่างกัน (เหตุการณ์ในพื้นที่ทำให้คนโหยหาสิ่งนี้มาก) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นที่มีต่อกันระหว่างคนในชุมชนด้วยกันเองและกับคนนอกชุมชน ซึ่งน่าจะนำไปสู่การเสริมความเข้มแข็งของการช่วยเหลือด้วยกันเองในชุมชน (social services) ทั้งนี้เพราะเขาพึ่งคนนอก (ที่ไม่ใช่คนพื้นถิ่น) ไม่ได้เลย งานวิจัยรูปแบบนี้เป็นงานวิจัยที่ต่างจากงานวิจัยโดยทั่วไป ที่ขั้นตอนการทำจะแยกทำทีละกิจกรรม แต่ละกิจกรรมใช้เวลาไม่นานนัก อาจเป็น 1วัน 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ก็ได้ โดยคิดวางแผนการเลือกกิจกรรมการดำเนินการร่วมกัน และทุกๆ กลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจะมีเวทีแลกเปลี่ยนการทำงานร่วมกันเป็นระยะๆ เช่น ทุก 3 เดือน เพื่อสรุปบทเรียนร่วมกัน หลังจากนั้นก็อาจคิดกิจกรรมต่อและลงไปปฏิบัติร่วมกันอีก เมื่อทำกิจกรรมต่างๆ ไปได้สักระยะหนึ่ง ก็นำมาเชื่อมร้อยให้ต่อเนื่องกันโดยมีการสังเคราะห์ให้เข้าใจร่วมกันว่า กิจกรรมนั้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่ความรู้สึก feel good และฟื้นฟูความเชื่อมั่นที่มีต่อกัน (เนื้องานวิจัยซ่อนอยู่ตรงนี้ โดยคนทำเองก็ไม่รู้ตัว!!) จบงานแล้วก็จะได้โครงการวิจัยปกติ (ที่ดูไม่ปกติ) ตัวอย่างกิจกรรมที่ชุมชนทำร่วมกัน เช่น กิจกรรมการเลี้ยงน้ำชาในวันรอมาฎอน กิจกรรมการจัดอบรมให้ความรู้ด้านศาสนาสำหรับเด็กเยาวชน การเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจกลุ่มสตรีและเด็กกำพร้า ฯลฯ
หากจะเปรียบเทียบกันแล้วเราจะพบความคล้าย (หรือต่างกัน) ดังตาราง งานวิจัยปกติ งานวิจัยแบบ AAR เป้าหมาย ความรู้ การปรับปรุงความสัมพันธ์และความรู้สึกต่อกันในสถานการณ์ไม่ปกติ (งานวิจัยปรกติ ) :งานวิจัยแบบ AAR (วิธีการ ตั้งสมมติฐาน ออกแบบการวิจัย เก็บข้อมูล ) :ออกแบบกิจกรรมที่ใจต้องการทำ ลงมือทำกิจกรรม เอาสิ่งที่ทำมาคุยกัน วางแผนทำต่อ (สิ่งที่ทำให้บรรลุเป้าหมาย สังเคราะห์ข้อมูลโดยอิงทฤษฎี ) :เวทีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมจากกิจกรรมที่ทำมาถอดบทเรียน และฟื้นฟูบรรยากาศเดิมให้คืนมา กิจกรรม AAR นี้ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับการดูละครที่เป็นซี่รีส์ เมื่อดูหลายๆ ตอนจนจบก็จะเข้าใจเรื่องทั้งหมด กิจกรรม AAR ที่เอามาร้อยให้ต่อเนื่องกัน และให้จบด้วยการสังเคราะห์ให้เกิดความเข้าใจเช่นนี้ ทำท่าจะดีกว่าโครงการปกติ เพราะได้ผลที่เกิดกับคนหลายคนและขยายไปทั้งชุมชนด้วย ดีกว่าดูละครเพราะเป็นเรื่องจริงของเขา ไม่ใช่เรื่องแต่งของคนที่มีวัฒนธรรมต่างจากเขา
โครงการนี้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่กลางปี 2550 และ สกว. ได้สนับสนุนทุนกิจกรรมรูปแบบนี้ไปจำนวนมาก มีคนร่วมนับได้หลายพันคน โครงการได้รับการตอบรับจากชาวบ้านว่าเป็นกิจกรรมที่ดีและเหมาะกับการทำงานชุมชนมาก เพราะได้คิดวางแผนทำร่วมกัน เกิดกระบวนการเรียนรู้และเป็นเจ้าของ สิ่งที่ สกว. ค้นพบคือ AAR ทำให้คนที่เคยมี “พื้นที่ทางสังคม” อยู่แยกกัน (อาจจะด้วยเงื่อนไขทางสังคม-ศาสนา เช่น หญิง-ชาย) ได้มีโอกาสฟังกันอย่างลึกซึ้ง ทำให้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อกัน ที่เดิมอาจจะไม่ค่อยดีนักในบางเรื่อง ทำให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจกันมากขึ้น เกิด social service เช่น กิจกรรมร่วมกันดูแลกลุ่มสตรีที่ได้รับผลกระทบ ข้อสรุปที่สำคัญสำหรับเรา (สกว.) คือ งานนี้ไม่ใช่แค่เพียงการเอากิจกรรมมาเป็นกระบวนการวิจัยอย่างเดียว แต่ได้งานพัฒนาสังคมไปพร้อมๆ กันด้วยเลย
สมาชิกบางท่านคงยังงงอยู่ว่าเรื่องนี้เป็นวิจัยได้อย่างไร? ไม่เป็นไรครับ คบกับ สกว. ไปเรื่อยๆ สักวันก็จะรู้เองว่ามีอะไรอื่นประเภทชวนงงอีกมาก สมาชิกที่สนใจงานวิจัยเพื่อพัฒนาจากฐานราก กรุณาเข้าไปเพิ่มเติมข้อมูลตนเองที่ biodata ในส่วนประวัติส่วนตัว เมื่อ สกว. มีการจัดประชุมหรือ field trip ทีม biodata จะสุ่มคัดเลือกหาผู้โชคดีที่ สกว. จะ sponsor ให้เดินทางไปด้วย
ข้อมูลถึงวันที่ 5 มิถุนายน มีผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น 5,707 ราย เพิ่มจากสัปดาห์ที่แล้ว 44 ราย มหาวิทยาลัยที่มาลงทะเบียนเพิ่มมากที่สุดคือ มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 20 ราย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย 5 มิถุนายน 2551 http://biodata.trf.or.th http://elibrary.trf.or.th |