ปากบอนเพราะฝากะลามะพร้าว:ราชัน กาญจนะวณิช |
เขียนโดย ปาณิศรา ชูผล มทศ. | |
เสาร์, 31 พฤษภาคม 2008 | |
ปากบอนเพราะฝากะลามะพร้าว
ราชัน กาญจนะวณิช ----------------- หลังจากที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม มาเป็นการปกครองภายใต้ระบบของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์แล้ว ผมได้มีโอกาสพบ นักธรณีวิทยาชาวอเมริกันคนหนึ่ง ซึ่งมีอายุมากกว่าผม 3-4 ปี เขาชื่อเกรแฮมซึ่งเป็นชาวต่างชาติคนหนึ่ง ที่ผมและชาวภูเก็ตรักใคร่ชอบพอเพราะเป็นคนที่คบหาสมาคมได้กับคนทุกชั้น เกรแฮมทำงานอยู่กับบริษัทอเมริกันบริษัทหนึ่ง ซึ่งได้รับการติดต่อให้เข้ามาลงทุนในการสำรวจทำเหมืองแร่และถลุงดีบุกในประเทศไทยในยุคนั้น โดยได้รับสิทธิพิเศษบางประการในหารสำรวจแหล่งแร่ดีบุกในทะเล เมื่อเกิดสงครามในภาคแปซิฟิก กองทัพเรือญี่ปุ่นได้เปิดฉากโจมตีฐานทัพเรืออเมริกันที่เพิร์ล ฮาร์เบอร์ ในปี พ.ศ. 2484 นั้นเกรแฮมได้ศึกษาจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยซัทเทร์น แคลิฟอร์เนีย ที่ลอสแอนเจลลิสไปแล้ว และได้ไปเริ่มงานในอเมริกากลาง และประเทศฟิลิปปินส์ เกรแฮมจึงโชคร้ายที่ต้องถูกญี่ปุ่นควบคุมตัวไว้เมื่อกองทัพญี่ปุ่นบุกเข้าไปในฟิลิปปินส์
เกรแฮม และเพกกี้ภรรยา มีนิสัยโอบอ้อมอารี ช่วยเหลือและเห็นใจคนทั่วไปจึงมีเพื่อนฝูงมาก ทั้งในหมู่ชาวต่างประเทศและคนไทย นอกจากการทำงานที่ภูเก็ตแล้ว ในช่วงหลัง ๆ เกรแฮมถูกย้ายเข้ากรุงเทพฯ และมาเช่าอพาร์ทเมนท์อยู่ที่อาคารแห่งหนึ่งในซอยทองหล่อ หรือที่เรียกกันว่า สุขุมวิท 55 ครั้งหนึ่งผมกำหนดจะเข้ามาทำธุระในกรุงเทพฯ และจะพักอยู่นานประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งปกติผมมักจะใช้โรงแรมเอราวัณเป็นที่พัก เพราะคณะกรรมการบริษัทเจ้าของโรงแรมลดราคาให้เป็นพิเศษ แต่ในครั้งนั้นเกรแฮมบอกว่าเขาและครอบครัวจะเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาไปพักผ่อน จึงขอเชิญให้ผมและครอบครัวไปใช้อพาร์ทเมนท์ของเขาซึ่งมีคนทำความสะอาดและทำอาหารอยู่พร้อม เมื่อได้รับเชิญจากเพื่อนด้วยความจริงใจ ผมจึงตกลงรับปากว่าจะเจ้าไปพักที่บ้านของเกรแฮม เมื่อใกล้จะถึงกำหนดวันที่เกรแฮมจะเดินทางไปพักร้อนในสหรัฐอเมริก ทางเจ้าของอพาร์ทเมนท์ก็ได้แจ้งให้เกรแฮมทราบว่า อาคารที่เกรแฮมเช่าอยู่นั้น มีข้อกำหนดห้ามมิให้คนไทยเข้าไปเช่าหรือพักอาศัยอยู่ แม้แต่คนรับใช้ก็ให้เดินทางกลับในเวลาค่ำคืน ข้อห้ามพิสดารนี้ทำให้เกรแฮมไม่สบายใจมาก ที่เขาเองเป็นคนต่างชาติยังยินดีต้อนรับคนไทยยิ่งกว่าคนไทยที่เป็นเจ้าของอาคารเสียอีก อย่างไรก็ดี เมื่อทางฝ่ายเจ้าของอาคารซึ่งมีน้องชายเป็นเพื่อนกับน้องของผม ทราบว่าเพื่อนของเกรแฮมที่จะมาพักในอาคารนั้น คือ ผมและครอบครัว เขาก็ยินดีที่จะยกเว้นข้อบังคับพิสดารนั้นเสีย ผมนั้นทราบดีว่าที่เจ้าของอาคารหลายแห่งในกรุงเทพฯ รังเกียจคนไทยด้วยกัน เพราะคงมีคนไทยบางคนทำให้ผู้เช่าอื่น ๆ เกิดความรำคาญต่าง ๆ นานามาแล้ว ครั้งหนึ่งผมเคยพาครอบครัวเดินทางโดยรถยนต์ จากสนามบินกรุงเวียนนาในประเทศออสเตรียไปค้างที่เมืองเซนท์วาเลนติน (ST. VALENTIN) ริมแม่น้ำดานูป เมื่อตื่นเช้าจะออกเดินทางต่อ พนักงานโรงแรมขอค้นกระเป๋าของลูกสาวของผม โดยอ้างว่าผ้าเช็ดตัวของโรงแรมหาย ลูกสาวของผมทั้งสองคนต่อว่าพนักงานโรงแรมว่าผ้าเช็ดตัวของโรงแรมเก่าดูไม่ได้ ไม่มีใครขโมยแน่ ๆ ต่อมาภรรยาผมทนไม่ได้จึงต้องนำตัวพนักงานโรงแรมไปดูที่ห้อง ก็ปรากฏว่าผ้าเช็ดตัวเก่า ๆ ของโรงแรมยังคงอยู่ในที่เก็บผ้า พนักงานโรงแรมจึงขออภัยและอธิบายว่าไม่ค่อยได้เห็นคนอาบน้ำใช้ผ้าเช็ดตัวตั้งแต่เช้า พนักงานโรงแรมอาจเห็นเราเป็นคนไทยเลยพลอยเข้าใจว่าคนไทยมีนิสัยไม่ดีชอบเก็บของคนอื่นไปใช้เป็นส่วนตัว โรงแรมในออสเตรียที่ดีมีพนักงานที่สามารถก็มี ถ้าล่องแม่น้ำดานูปลงไปอีกไม่ไกลก็จะถึงเมือง DURNSTEIN ซึ่งมีปราสาทเดิมที่ใช้เป็นที่กักกันพระเจ้าริชาร์ดที่ 1 หัวใจสิงห์ (COEUR DE LION) ได้กลับกลายมาเป็นปราสาทใหม่ที่ตั้งโรงแรมชั้นหนึ่งทั้งที่พักและบริการ เกรแฮมเคยสารภาพกับผมว่า เขามีนิสัยเสียอยู่ข้อหนึ่ง คือชอบรับประทานอาหารไทยมาก จึงมีน้ำหนักมากผิดปกติ แต่ข้อที่สำคัญก็คือ เกรแฮมชอบรับประทานมะพร้าวสังขยา และชอบที่ฝากะลามะพร้าวสังขยาเป็นพิเศษ คนไทยมักจะห้ามเด็ก ๆ ว่าอย่ารับประทานฝากะลามะพร้าวสังขยา เพราะจะทำให้ปากบอน เมื่อผมเตือนมิให้รับประทานฝากะลามะพร้าว เกรแฮมกลับเล่าให้ผมฟังว่า เนื่องจากบริษัทที่เขาทำงานอยู่ ได้รับสิทธิพิเศษบางประการ ในการเข้ามาทำการสำรวจแหล่งแร่ดีบุกในทะเลในประเทศไทย ทางบริษัทจึงมีข้อตกลงกับรัฐมนตรีบางคน ที่จะต้องจ่ายเงินพิเศษให้ และเกรแฮมเองก็รู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เป็นประจำเพื่อนัดพบกับข้าราชการผู้ใหญ่ผู้หนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของผมเอง ที่ภัตตาคารซีฟู๊ด ที่ถนนเพ็ชรบุรีตัดใหม่ ในระหว่างการรับประทานอาหารกลางวันเป็นประจำเช่นนั้น ทั้งเกรแฮมและข้าราชการผู้ใหญ่ก็นัดเข้าห้องน้ำพร้อมกันและใช้ส้วมที่อยู่ติดกัน และเกรแฮมก็จะส่งซองใหญ่ใส่เงินสด สอดเข้าไปยังห้องส้วมข้าง ๆ โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่เห็นหน้าเห็นตาซึ่งกันและกัน เกรแฮมอธิบายว่า ทางบริษัทอเมริกัน ถือเสียว่าการกระทำเช่นนั้น เป็นประเพณีของไทย และเมื่อบริษัทอเมริกันเข้ามาทำงานในประเทศไทย ก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมและวัฒนธรรมไทย หรือที่เรียกกันว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ผมไม่อาจสรุปได้ว่า ความคิดเห็นเช่นนี้จะเป็นนโยบายของบริษัทอเมริกัน ส่วนมากหรือไม่ และจะต่างกับบริษัทอังกฤษที่ผมรู้จักและที่จะยึดมั่นในประเพณีของตน เพราะผมมีประสบการณ์ไม่เพียงพอที่จะสามารถสรุปดังนั้นได้ แต่ผมก็เห็นใจทั้งเพื่อนชาวอเมริกันและชาวไทยที่ต้องปฏิบัติเช่นนั้น และดีใจที่ผมไม่ต้องทำงานภายใต้ระบบเช่นนั้น ในปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาได้ใช้กฎหมายใหม่ซึ่งห้ามมิให้บริษัทอเมริกันที่ไปดำเนินงานในต่างประเทศ ให้สินบนแก่ผู้ใด ถ้าฝ่าฝืนจะถูกลงโทษถึงขั้นจำคุก |