เรื่องเล่าจากรอยเท้าพระพุทธองค์ |
เขียนโดย ปาณิศรา ชูผล มทศ.
|
อาทิตย์, 19 ธันวาคม 2010 |
เรื่องเล่าจากรอยเท้าพระพุทธองค์ ปฐมเหตุของการเดินทาง หากเปรียบชีวิตคือการเดินทางที่ไม่มีวันจบสิ้น...สำหรับคนรักการเดินทางคงมีความสุขทุกครั้งเมื่อได้ก้าวย่างออกจากบ้าน...สำหรับฉัน..ก็มีทั้งสุขและทุกข์บ้างกับการเดินทางที่บางครั้งไม่ค่อยเต็มใจจะไป....บันทึกการเดินทางย้อนรอยความจำครั้งนี้....เพียงเพื่อเก็บเกี่ยวความประทับใจที่ได้ไปสัมผัสมาด้วยตนเอง หลังจากที่ฝันใฝ่มานาน.....ความฝัน..ที่เป็นพลังผลักดันให้เราก้าวไปให้ถึงสิ่งที่ฝัน (เท่าพละกำลังของเราเอง).... นับถอยหลังความฝันสมัยเรียนปี ๒ ในรั้ววิทยาลัย มีวิชาปรัชญาเบื้องต้นเป็นวิชาบังคับเรียนของทุกวิชาเอก อาจารย์ผู้สอนให้ทำรายงานโดยการค้นคว้าด้วยตนเอง รู้สึกไม่ชัดแจ้งในวิชาที่เรียนมากนัก ดีแต่ว่าได้อาจารย์ที่ปรึกษาดี แนะนำหนังสือให้หลายเล่ม หนึ่งในนั้นมีหนังสือเรื่อง “เที่ยวอินเดีย” ของสารนาถรวมอยู่ด้วย เริ่มอ่านเริ่มทำความเข้าใจในประเทศอินเดียทีละน้อย ค่อย ๆ ซึมซับไปกับภาษาที่เขียนได้ชวนอ่านชนิดวางไม่ลง ตะลุยอ่านทั้งวันทั้งคืน อ่านไปเคลิ้มไปด้วยซาบซึ้งในความรักอันเป็นที่มาของ “ทัชมาฮาล” อ่านแล้วอ่านอีก จนต่อมกระหายอยากไปอินเดียมาเยือนทั่วสรรพางค์กาย กาลเวลาผันผ่าน....ชีวิตไม่ย้อนรอยเดิม..เพียงแต่กลับมายังที่เดิม..ที่มีเรื่องเดิมมาเป็นแรงผลักดัน..เพราะมีโอกาสได้สอนนักศึกษาชั้นปีที่ ๑ ในรั้วเดิมที่เคยศึกษา ว่าด้วยวิชาหลักมานุษยวิทยา ในรายละเอียดของวิชาจะต้องสอนบ่อเกิดของศาสนา...เอาละซี......ใคร ๆ ก็รู้ว่าถ้าว่าด้วยเรื่องนี้...อินเดี๊ย..อินเดีย...ต้องเป็นพระเอกอย่างไม่ต้องถามซ้ำ......ทีนี้ละตำรับตำราที่เกี่ยวข้องกับอินเดียรายล้อมอยู่รอบตัวโดยไม่ต้องสงสัย....ยิ่งอ่านยิ่งกระหายอยากไปเยือน........ทำไมน๊า..ฉันจึงหลงเสน่ห์อินเดียอย่างมากมายขนาดนี้ ได้แต่หวังว่า..โอกาสที่จะได้ไปเมื่อไหร่จะมาเยือนซะที....เพราะทุกครั้งที่คนแวดล้อมชิดใกล้ได้ไปอินเดีย ตัวเองมักจะแคล้วคลาดเสมอ... แต่ครั้งนี้..ฝันที่ฉันใฝ่..ก็มีอันเป็นจริง..เมื่อครูบาอาจารย์ได้มาบอกว่ามีทริปอินเดีย ๑๓ วัน จัดโดยสถาบันแม่ชีไทย ก็ตอบตกลงโดยที่ยังมีปัญหาร้อยแปดคาราคาซัง..แต่เมื่อมุ่งมั่นที่จะไป...ปัญหาอะไรก็ไม่สามารถทัดทานพลังใจที่กล้าจะก้าว ....และแล้วสิ่งที่กล้าจะก้าวเมื่อ ๑ - ๑๓ กรกฏ ๕๑ ก็ได้โลดแล่นเพื่อถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรผ่านหน้าจอก็เกิดขึ้น.... (ปั่นต้นฉบับไม่ไหวแล้วจ้า..ขอพักก่อน..กลับมาถึงเมื่อคืนตี๑ ของวันใหม่กว่าจะได้นอนปาไปตี ๒ รุ่งเช้าลุกไปทำงานจนป่านนี้ยังไม่ได้หยุด สัญญาว่าจะทะยอยเขียน ให้อ่านกันเรื่อย ๆ ขอโทษคนที่มาปูเสื่อนอนเฝ้าหน้าจอด้วยเด้อ..)ก้าวแรกที่โกลกัตตา เมื่อฉันรู้ข่าวเรื่องไปอินเดียได้สักเดือนกว่า ๆ หลังจากที่ตอบตกลง ก็ตะลุยอ่านข้อมูลเรื่องอินเดียก่อนนอน เป็นเช่นนั้นอยู่ทุกค่ำคืน เมื่อนั่งหน้าคอม ฯ เรื่องอื่นจะไม่ได้แผ้วพานเลย.......จากนั้นตระเวนหาซื้อของใช้ที่จำเป็นสำหรับการเดินทางและนำไปใช้ที่โน่น เพราะตระหนักดีว่าไม่ใช่บ้านเรา โดยเฉพาะอินเดียอะไร ๆ ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ (จากการอ่านหนังสือ) หลังจากเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าไว้เป็นเดือนเพราะกลัวจะตกหล่น....แต่แล้วคำสั่งฟ้าผ่าก็มาเยือนก่อนการเดินทางไปอินเดีย ๑ อาทิตย์.....โดยให้เดินทางไปต่างจังหวัด ๖ วัน (แถบกรุงเทพ ฯ ชลบุรี และสมุทรสงคราม) .....โอ...ช่างเป็นคำสั่งที่บาดใจเหลือเกิน...เพราะฉันไม่อยากไป....แต่ก็ขัดคำสั่งมิได้เนื่องด้วยเป็นภาระหน้าที่ในงาน.......จำใจรื้อกระเป๋าเพื่อเอาของที่จะไปอินเดียออก รื้อไปบ่นไป..ทำไมถึงต้องเป็นเรา….(ด้วยวะ) กลับจากต่างจังหวัดด้วยเหลือเวลาอันน้อยนิด เพราะมาถึงวันที่ ๒๘ มิย. เวลาเที่ยงคืน วันอาทิตย์ (๒๙ มิย.) เพลียจัด นอน ๆ ลุก ๆ ทั้งวัน หาได้ทำอะไรไม่ จนถึงวันจันทร์ (๓๐ มิย.) เข้าไปสะสางและมอบหมายงานจนถึงบ่าย ๔ โมงกว่าจึงได้จรลีออกจากที่ทำงานด้วยใจอันว้าวุ่น แวะซื้อน้ำพริกแห้ง ,แกงไตปลา และขนมกรุบกรอบไปกินกันเหนียวที่อินเดีย ทุ่มกว่า ๆ ไปสนามบิน ได้ย้ำกับเชนเรื่องที่ตกลงกันไว้ เชนบอกอาจารย์ไปให้สบายใจนะ ทุกอย่างผมจัดการเอง นี่แหละมีลูกศิษย์ดีเป็นศรีแก่ตัว..(ฮิ้ว) ก่อนลงจากรถเตือน อ.ปู่ว่าอย่าลืมกล้องถ่ายรูป แต่เมื่อมาถึงสนามบินก็หอบหิ้วแต่กระเป๋าของตัวเอง เลยไม่ได้ดูคนอื่น จากนั้นไปรอคณะที่ชั้นสองผู้โดยสารขาออก เหลียวมองกล้องถ่ายรูปที่คอ อ.ปู่ ใจหายวาบ ไม่เห็นมี นึกในใจ...ว่าแล้ว..เตือนแล้ว..พยายามติดต่อเชนให้เอากล้องมาคืน......แต่ไม่สามารถติดต่อได้....จนกระทั่งเครื่องออกจากสนามบินภูเก็ตเวลา ๒๐.๔๕ น.....ฉันเลยให้อ.ปู่ติดต่อทางกรุงเทพ ฯ ช่วยซื้อกล้องใหม่ เพราะรู้ว่าหากไม่มีกล้องรับรองงานนี้อ.ปู่เฉาสนิทไปจนสิ้นโปรแกรมแน่นอน
เครื่องลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิด้วยเวลา ๑ ชั่วโมง ๑๕ นาที สำหรับฉันราตรีนี้ยังเยาว์นัก เพราะคณะ ฯ นัดพร้อมกันเวลา ๓ นาฬิกาของวันใหม่ ก้มมองนาฬิกาแค่ ๕ ทุ่ม ...จะทำอย่างไรกับชีวิตตัวเองดี...ด้วยว่า....ตัวเองน่าจะสมาธิสั้น (หรือไม่) เพราะอยู่ไม่ค่อยจะติดที่ คณะที่มาด้วยกันเอนตัวลงนอนที่เก้าอี้ผู้โดยสารชั้น ๔ ประตูที่ ๑๐ W อย่างสบาย ๆ ส่วนฉันหลับไม่ลง ทั้งไฟสว่าง ทั้งหนาวจนสั่น เลยเดินสำรวจสุวรรณภูมิ ขึ้นลง ๆ บันไดเลื่อนจนรู้สึกร้อน จัดการแลกเงินดอลลาร์เพื่อไปแลกเป็นเงินรูปีไว้ใช้จ่ายที่อินเดีย...ขาดทุนนะงานนี้เอาเงินหมื่นไปแลกเงินดอลได้กลับมาแค่เก้าพันกลาง ๆ พร้อมทั้งมีเงินไทยติดตัวไปประมาณ ๒ พันนิด ๆ ประมาณตี ๓ คณะ ฯ มาพร้อมกัน หัวหน้าทัวร์ (แม่ชี) เช็คคน ติดป้ายชื่อ โหลดกระเป๋า ฯลฯ คณะฯ ที่มานุ่งขาวห่มขาวกันทั้งนั้น ยกเว้นพวกเราที่ยังแต่งหลากสีแต่ไม่ฉูดฉาด กว่าจะเสร็จเรื่องเสร็จราวปาไปตี ๔ กว่า ๆ จึงได้ขึ้นเครื่องของประเทศภูฎาน สายการบิน Drukair ซึ่งออกจากสนามบินสุวรรณภูมิตี ๕ กว่า ๆ บ๊ายบายไทยแลนด์…. เหมือนทุกครั้งที่ขึ้นเครื่องบินออกนอกประเทศไทย ฉันรู้สึกไม่มีความสุข กลัวอะไรไม่รู้ร้อยแปดพันประการ คิดถึงแม่ขึ้นมาจับใจ ตาเริ่มแสบเหมือนดั่งมีเม็ดทรายอยู่ด้านใน แอบงีบหลับไปนิดหนึ่งเพราะไม่ได้นอนทั้งคืน และแล้วก็ตื่นมาเมื่อเวลา ๗ โมงกว่า ๆ ของประเทศไทย คาดว่าเครื่องกำลังจะลงเพราะก้มมองทางปีกเครื่องบินเริ่มเห็นบ้านเรือน ทุ่งนา และถนน จากนั้นไม่นานเครื่องค่อย ๆ ร่อนลงอย่างช้า ๆ และจอดสนิทด้วยเวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง ผู้คนต่างพากันทยอยลงจากเครื่องรวมทั้งตัวฉัน ที่เมื่อหลุดมาเหยียบรันเวย์สนามบิน ก็ให้ดีใจอย่างสุดแสนเพราะสามารถรอดปลอดภัยมาถึงสนามบินกัลกัตตากับเค้าจนได้ ผ่านสนามบินเข้ามาด้านใน มองหาห้องน้ำเป็นอันดับแรก แต่ด้วยข้อมูลเรื่องห้องน้ำของอินเดีย ทำให้ฉันผวาเล็ก ๆ เพราะกลัวเจอกับสิ่งอันไม่พึงปารถนา แต่เมื่อเข้าไปจริง ๆ ก็ไม่เป็นเหมือนที่คาดไว้ รู้สึกผ่อนคลายผ่านไปอีกหนึ่งครั้ง แล้วมาต่อที่พิธีการตรวจคนเข้าเมือง มีคณะเราเป็นคณะแรกที่มาถึง อ้อ ลืมบอกไปเวลาของอินเดียช้ากว่าเมืองไทย ๑.๓๐ นาที ฉันเลยต้องหมุนนาฬิกาตามเวลาในอินเดียเพื่อป้องกันการสับสนในเวลานัดหมาย ด้วยเรามาถึงสนามบินเป็นคณะแรก ทำให้แขกอินเดียยังไม่ตื่นมาทำงาน เอาละซี...เริ่มเจอสิ่งที่ได้อ่านมาว่าเมืองอินเดียอะไร ๆ ก็เกิดได้เสมอ ฉันเลยเดินเตร็ดเตร่ขณะที่รอกระเป๋าเพื่อสำรวจพื้นที่ สนามบินโกลกัตตาไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนสุวรรณภูมิ ดูเก่า ๆ ทึม ๆ ทั้ง ๆ ที่ ในอดีตกัลกัตตาคือเมืองหลวงของประเทศอินเดีย แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อจากเมืองกัลกัตตา เป็นโกลกัตตาไปเรียบร้อยแล้ว รอกระเป๋านานมาก อะไร ๆ ดูเชื่องช้าไปหมด เจ้าหน้าที่ไม่ได้เร่งรีบ กว่ากระเป๋าแต่ละใบจะผ่านเครื่องโหลดออกมา ฉันแทบหลับคารถเข็น ประกอบกับของคณะเรามีของมากมายเหลือเกิน ทั้งข้าวสาร ข้าวเหนียว ปลาร้า อาหารแห้ง เครื่องกระป๋อง ที่นำมาจากเมืองไทย เพื่อใช้ประกอบอาหารให้กับคณะที่เดินทางตลอดโปรแกรม รวมทั้งนำไปถวายพระสงฆ์ที่จำวัดไทยในประเทศอินเดีย เมื่อได้กระเป๋าของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ฉันได้ช่วยแม่ชีเข็นรถที่หนักอึ้งเพราะบรรทุกข้าวของ เพื่อมารอรถทัวร์ที่ด้านนอกสนามบิน ในขณะที่ฉันเดินเข็นสัมภาระมาอย่างไม่เร่งรีบ แม่ชีบุญเรือง (หัวหน้าคณะ) ก็บอกฉันให้เข็นไปไว้ด้านนอก ด้วยมีพระอาจารย์มารอรับ เดินทางมาตั้งแต่เมื่อคืนจากพุทธคยา ฉันเดินต่อไปเรื่อย ๆ สนามบินค่อนข้างเงียบเหงา เมื่อมองไปด้านหน้า ฉันเห็นจีวรสีเหลืองปลิวไสวรอรับอยู่จริง ๆ พร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเมตตาจิต ฉันย่อตัวลงนมัสการพระอาจารย์ ท่านสาธุตอบ นี่คือพระสงฆ์ไทยรูปแรกและเป็นคนไทยคนแรกที่ฉันได้พบในต่างแดน.... หลุดมาด้านนอกสนามบิน พระพิรุณโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง เป็นฝนแรกที่ต้อนรับคณะของเราในวันนี้ ด้านนอกยังคงเงียบเหงา เพราะยังเช้ามาก ฉันมองผู้คนที่สนามบินกัลกัตตาอย่างคนแปลกหน้า พวกเค้าก็มองฉันตอบด้วยความรู้สึกเดียวกัน มีผู้ชายนำแก้วน้ำเล็ก ๆ พร้อมชานมมาเสนอให้ดื่ม แม่ชีบอกว่าอย่าดื่ม ฉันส่ายหน้าปฏิเสธความหวังดีเพราะได้อ่านหนังสือมาบ้างเรื่องการรับของกินหรือเครื่องดื่มจากคนแปลกหน้าในอินเดียแถวสนามบินหรือสถานีรถไฟ ที่อาจใส่ยานอนหลับมาในของกินนั้น ๆ เมื่อเราหลับเค้าจะได้หยิบฉวยทรัพย์สินเงินทองของเราไปนั่นเอง เห็นคนเคี้ยวหมากถ่มน้ำลายปริ๊ดๆ อยู่ข้าง ๆ เป็นอย่างนี้ตลอดเวลา สิ่งที่ฉันเห็นอีกอย่างคือรถแท๊กซี่ในอินเดีย เรียกได้ว่า โกโรโกโสเอามาก ๆ จอดเรียงรายรอรับส่งผู้คนอยู่เป็นทิวแถวด้วยสีเหลืองละลานตาไปทั้งแถบ อ่านต่อได้ในนี้ กำหนดการไหว้พระ ๙ วัดในอินเดีย ช่วงสงกรานต์ ๒๕๕๓ |
แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( จันทร์, 20 ธันวาคม 2010 )
|