มณฑปพระมหาธาตุเฉลิมราชย์ศรัทธา เดินลัดเลาะเลี้ยวไปทางด้านข้างอุโบสถวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ เห็นมณฑปพระบรมสารีริกธาตุ ที่ในหลวงทรงพระราชทานนามว่า พระมหาธาตุเฉลิมราชย์ศรัทธา สวยงามสะดุดตาด้วยลีลาลวดลายไทยที่อ่อนช้อย เจดีย์ทรงระฆังคว่ำขนาดเล็กรายล้อมรอบฐานเจดีย์องค์ใหญ่ ลักษณะสถาปัตยกรรมคล้ายพระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่ฉันไม่ได้ขึ้นไปดูข้างใน จึงเดินต่อไปออกที่ประตูด้านหน้ากุสินาราคลินิก เจออ.ฤดีและอ.ปู่ ฉันอยากรู้เรื่องประวัติหมอชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งมีรูปปั้นอยู่ ณ บริเวณนั้น จึงเนียน ๆ เข้าร่วมวงสนทนาขอความรู้เรื่องหมอชีวก จากอาจารย์ทั้งสองท่าน เมื่อได้คุยกับนักวิชาการระดับมือพระกาฬทั้งสองอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต่อมกระหายความรู้ของฉันเริ่มทำงานอย่างเป็นระบบ ด้วยสัญชาติญาณของความเป็นครูที่ดี ทั้งสองท่านให้สาระกับฉันอย่างไม่ปิดบังอำพราง นับเป็นมงคลยิ่งของเช้านี้ที่ได้รับความรู้เรียกน้ำย่อยก่อนอาหารเช้า
รูปปั้นหมอชีวกโกมารภัจจ์
ขอสรุปสาระเรื่องหมอชีวกที่ได้รับฟังมาดังนี้ หมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นลูกของหญิงงามเมือง (โสเภณี) ในเมืองไพศาลี ที่เกิดตั้งท้องขึ้นมา แต่ไม่กล้าทำแท้ง รอจนคลอด จึงนำเด็กทารกไปทิ้งที่กองขยะ จนเจ้าฟ้าอภัยโอรสของพระเจ้าพิมพิสารไปพบ ได้เก็บมาเลี้ยงเพราะความสงสาร และตั้งชื่อให้ว่า ”ชีวกโกมารภัจจ์ หมายถึง ผู้ยังมีชีวิตรอดมาได้ “ ในสมัยพุทธกาลเป็นแพทย์ผู้มีชื่อเสียงมาก สำเร็จการศึกษาวิชาแพทย์จากสำนักตักศิลา ได้รับแต่งตั้งจากพระเจ้าพิมพิสาร แห่งเมืองมคธ ให้ดำรงตำแหน่งแพทย์หลวงประจำพระราชสำนัก จนได้ถวายการรักษาพระโรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ใกล้ชิด จึงเกิดศรัทธาและถวายตัวเป็นแพทย์ประจำพระองค์ ปรุงพระโอสถถวายทุกครั้งที่ทรงพระประชวร และยังได้ถวายสวนมะม่วงอันเป็นสมบัติส่วนตัวให้เป็นอารามที่ประทับประจำของพระพุทธเจ้าอีกด้วย ตลอดชีวิตได้บำเพ็ญแต่คุณงามความดี ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ จนได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นเอตทัคคะในทางเป็นที่รักของปวงชน นี่คือสิ่งที่ฉันได้รับรู้ในเช้าวันนี้ก่อนจะแยกย้ายกันไปกินอาหารเช้า ฉันแวะไปยืนสงบนิ่งหน้ารูปปั้นของท่านชีวกโกมารภัจจ์ เพื่อส่งใจระลึกถึงท่าน จากเรื่องเล่าเช้านี้ทำให้ฉันได้ข้อคิดที่โดนใจข้อใหญ่ว่า “คนเราจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวกระทำ จะสูงจะต่ำอยู่ที่ทำตัว ชาติกำเนิดไม่ใช่เครื่องตัดสินว่าคนคนนั้นจะดีหรือร้ายปานใด การกระทำในปัจจุบันต่างหากที่บ่งบอกว่าคนเราก้าวล่วงพ้นชาติกำเนิดมาได้มากน้อยแค่ไหน...” เสร็จอาหารเช้าคณะขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองเวสาลี หรือเมืองไพศาลี หรืออีกชื่อคือเมืองไวสาลี ฟังชื่อแล้วรู้สึกชอบ เพราะดูกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน แล้วทำไมคณะของเราต้องไปที่เมืองไพศาลี ทั้ง ๆ ที่ได้เสร็จสิ้นการสักการะสังเวชนียสถานครบทั้ง ๔ ตำบลไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เหตุผลที่ไม่ควรพลาดการไปเยือนเมืองนี้ เพราะเป็นที่ทรงจำพรรษาสุดท้ายของพระพุทธเจ้า เมื่อได้เสด็จผ่านเมืองเวสาลีหรือไพศาลี ของแคว้นวัชชี จึงได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า “อีกสามเดือนจากนี้ไป ตถาคตจะดับขันธปรินิพพาน” เป็นคำตรัสที่หมายถึงการปลงพระชนมายุสังขาร (เป็นการกำหนดว่าจะปรินิพพานของพระองค์) หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าได้เสด็จดำเนินต่อไปยังเมืองกุสินารา ซึ่งเป็นที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน และเมืองไพศาลียังมีความสำคัญในฐานะเป็นสถานที่กำเนิดปฐมภิกษุณีรูปแรก มีสถูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอานันทเจดีย์ และเสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชที่สมบูรณ์ที่สุด ด้วยเหตุทั้งปวงที่กล่าวมาฉันว่ามีคุณค่าเกินกว่าที่จะไม่ไปเยือนระหว่างที่รถวิ่งไปตามเส้นทาง ฉันร้องขอให้อ.ปู่เล่าเรื่องกามนิตภาคพื้นดิน เพราะระยะทางและเวลาในการนั่งรถพอสมควรแก่กาล ซึ่งท่านก็ทำให้สมาชิกในรถไม่ผิดหวังเพราะเล่าได้อย่างมีอรรถรสมาก ตามสไตส์อ.ปู่ที่รู้หมดจนหยดสุดท้ายของงานวิชาการ ฉันผู้ห่างเหินกับวรรณคดีเรื่องกามนิตมานาน จึงถือโอกาสนี้ฟังเรื่องราวเพื่อรื้อฟื้นความจำไปพร้อมกับคนอื่น ๆ ในรถ ฉันชอบฟังเ รื่องกามนิตมาก เพราะเรื่องกามนิตเป็นวรรณกรรมประเภทนวนิยายอิงพระพุทธศาสนาที่ควรค่าในการหาอ่าน เมื่ออ.ปู่เล่าจบ จึงขอให้เล่าเรื่องวาสิฏฐีภาคสวรรค์ต่อ เพราะรู้สึกเพลินจนไม่หิวข้าวหิวน้ำ แต่อ.ปู่ ไม่ยอมเล่า แถมยังพูดจาให้ได้ฮากันอีกว่า “พูดมาก็นานสองนาน บัดนี้ได้ยึดไมค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะเจ้าของไมค์เสมือนว่าจะไม่ยินดียินร้ายที่จะเอาไมค์คืน” ร้อนถึงท่านพระอาจารย์จูมต้องลุกขึ้นมาแถลงตอบข้อกล่าวหานั้นว่า .....”นั่งไม่ติดเพราะอาสนะร้อนที่คุณโยมเอ่ยวาจาอย่างนี้” ทำเอาฉันฮาจนน้ำตาร่วง เป็นความสุขที่ใกล้ตัวจริง ๆ สุขที่จับต้องได้ สุขที่ไม่ต้องปรุงแต่ง อยากจะให้สองท่านเปิดเวทีวาทะวาทีกันซะจริง ๆ เพราะต่างก็มีมุมที่โดดเด่นเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัว ลูกล่อลูกชนไม่ต้องพูดถึง มัคคุเทศก์ระดับมืออาชีพควรขอเทคนิคไปใช้ ที่กล้าพูดอย่างนี้เพราะฉันมีประสบการณ์ที่ได้ร่ำเรียนสาขาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นลูกศิษย์ อ.ปู่ ในรายวิชาหลักการมัคคุเทศก์ ที่โดนเคี่ยวซะเกือบเปื่อย แต่ผลดีที่ได้รับมากเกินกว่าจะพรรณนาโวหาร เพราะสามารถใช้ทำมาหากินได้จนทุกวันนี้ ถึงแม้จะเปลี่ยนสายงานมาเป็นนักวิชาการแล้วก็ตาม งานมัคคุเทศก์ซึ่งเป็นรากเหง้าของตัวเองก็ยังได้ใช้อยู่ไม่เว้นแต่ละวัน และในการเดินทางไกลเช่นนี้ต้องได้มัคคุเทศก์ที่เป็นมืออาชีพจริง ๆ จึงจะทำให้การเดินทางไม่รู้สึกน่าเบื่อหน่ายเหมือนที่คณะของเราได้รับอยู่ในขณะนี้
ตลาดแลกเปลี่ยนวัวระหว่างทางที่ผ่าน
รถวิ่งผ่านบ้านเมืองเหมือนเช่นทุกวัน เห็นบ้านเรือนที่เริ่มชินตาตลอดสองข้างทาง รวมถึงท้องทุ่งนาข้าวสาลีอันเขียวขจีกว้างใหญ่ไพศาลสมกับชื่อเมือง การเดินทางวันนี้มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันตื่นเต้นมาก ๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้มาเห็น นั่นคือตลาดแลกเปลี่ยนวัว วัวทั้งนั้น วัวเยอะมาก ทั้งคนทั้งวัว มองดูคล้ายการเปรียบเทียบวัวไว้ชนแถวภาคใต้หรือเปล่า ? (ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ) พระอาจารย์จูมบอกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนวัวโดยความพึงพอใจของผู้เป็นเจ้าของ เมื่อแลกแล้วจะเอาไปทำอะไรต่อก็สุดแล้วแต่เจ้าของเช่นกัน ฉันตื่นเต้นเหมือนเด็ก ๆ ที่เห็นของเล่นถูกใจ พร่ำแต่ร้องว่าโอ้โห โอ้โห ไปตลอดเส้นทางตลาดแลกเปลี่ยนวัวอยู่นั่นแหละ กินข้าวเที่ยงบนรถเสร็จ ก็ออกเดินทางต่อ จุดหมายปลายทางข้างหน้าคือ ป่ามหาวัน รถเคลื่อนเข้าเขตเมืองไพศาลี เมืองดูเหงา ๆ สองข้างทางจะเห็นกสิกรทำกสิกรรมไปเกือบตลอดเส้นทางฉันเห็นแทบทุกบ้านจะมีที่เก็บเศษฟางและหญ้า สานด้วยไม้ไผ่ มีรูปทรงคล้ายลอมฟางบ้านเรา
รถวิ่งเข้าสู่เขตป่ามหาวันก็จอดให้สมาชิกลง ฟังจากที่พระอาจารย์จูมและพระอาจารย์แกะเล่าว่า ป่ามหาวันแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่พระนางมหาปชาบดี ผู้เป็นพระเจ้าน้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยเจ้าหญิงศากิยะ ๕๐๐ องค์ ทูลขอบวชเป็นภิกษุณี ก็สำคัญอยู่ไม่น้อย
ภายในป่ามหาวัน/สถูปพระอานนท์/เสาพระเจ้าอโศกมหาราช/หัวสิงห์
อากาศร้อนใช่เล่น ทำเอาเหงื่อตกไปตามกัน ดีว่าได้ร่มมาประทังให้คลายร้อนไปได้บ้าง ฉันแยกวงมาคนเดียวเพื่อสำรวจโบราณสถาน เห็นเสาพระเจ้าอโศกหันหน้าไปทางทิศเหนือ ยืนสง่าท้าแดดลมฝนให้ผู้คนได้ชื่นชม เป็นเสาหินทรายขัดมัน ตรงหัวเสาแกะเป็นรูปสิงห์ทั้งตัว สภาพค่อนข้างสมบูรณ์มาก ชาวคณะเดินไปหยุดสวดมนตร์บริเวณสถูปพระอานนท์ ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระอานนท์
หลังจากที่เดินสำรวจจนทั่วก็เดินมาสมทบกับคณะ พอคณะเริ่มนั่งสมาธิฉันก็เริ่มปฏิบัติการถอยหลังออกไปทีละน้อย ค่อย ๆ ย่องออกไป เพราะไม่อยากรบกวนห้วงภวังค์ของผู้ใด เดินมาเรื่อย ๆ นึกขำตัวเองอยู่เหมือนกันที่ทำตัวยังกะแมวขโมย เหลียวซ้ายแลขวา พอไม่มีใครเห็นก็วิ่งปรู๊ดมาถึงหน้าประตูทางเข้าป่ามหาวัน มาหยุดที่รถทัวร์ มีเด็ก ๆ มายืนรอกันหลายคน และในเวลาต่อมาก็เพิ่มปริมาณมากขึ้น ๆ ฉันนึกสนุกเลยคุยเล่นกับเด็กเหล่านั้น โดยมีกระเป๋ารถมาร่วมวงด้วย ฉันสอนให้เด็ก ๆ ร้องเพลงไทย พร้อมทำท่าทางประกอบ เด็ก ๆ ชอบใจ ร้องตามทำตาม พยายามเปล่งเสียงตามที่ฉันสอน เด็กบางคนไปเชิญชวนสมาชิกมาทั้งตระกูล เพื่อมาดูฉันเล่นตลก ทั้งแม่ ป้า ยาย แถมมีตาตามมาด้วย มานั่งล้อมวงกันอย่างเป็นระเบียบ และไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะขออะไรจากฉัน ฉันถามเด็ก ๆ ว่าทำไมไม่ไปโรงเรียน เด็กตอบว่าโรงเรียนหมดเวลาสอน เลยมาเล่นแถวนี้ พวกเค้าขอปากกาจากฉันเพื่อใช้เขียนหนังสือ ฉันรู้สึกสะท้อนใจที่ไม่สามารถนิรมิตปากกาให้ได้ ในใจอยากให้ปากกากับทุกคน เพราะการให้ปากกาเสมือนหนึ่งเป็นการติดอาวุธทางปัญญาให้พวกเค้า เพราะเมื่อเค้าได้รับการศึกษาจะทำให้สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองได้ในระดับหนึ่ง (วิญญาณครูเริ่มสิงสถิตอีกแล้ว)
กลุ่มเด็ก ๆ ที่มาเล่น/ร้องรำทำเพลงไทย
จากนั้น คณะเดินทางต่อไปยังปาวาละเจดีย์ หรือสารีริกธาตุพระสถูปเจดีย์ เป็นสถูปโบราณขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓ เมตร หลังคามุงด้วยสังกะสีคล้ายศาลาแปดเหลี่ยม ล้อมรอบฐานเจดีย์โบราณ ซึ่งได้รับการขุดค้นจากกองโบราณคดีของรัฐบาล และนักโบราณคดีได้ยืนยันว่าเป็นสถูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ขอแบ่งมาจากกุสินารา และจากสถูปอีก ๗ แห่ง อัญเชิญมาบรรจุไว้ในสมัยเดียวกันกับเมืองราชคฤห์ของพระเจ้าอชาตศัตรู ฉันเดินออกมาหาน้ำดื่ม เพราะคอแห้ง ไปเจอร้านเล็ก ๆ ข้างทางขายการัมจาย ร้านสะอาดมาก ฉันฝากมาโนชซื้อแป๊บซี่ ระหว่างนั่งรอ ได้ยินเสียงประโคมดนตรีอยู่ไม่ไกลจากที่นั่ง เลยชวนคนขับรถเดินไปดู พบว่าเป็นพิธีแต่งงาน แต่ไม่ได้เข้าไปดูด้านใน คณะสวดมนตร์เสร็จ เดินออกมายังรถที่จอดอยู่ข้าง ๆ สระน้ำขนาดใหญ่กว้างประมาณ ๕๐๐ เมตร ยาวประมาณ ๒๐๐ เมตร เล่ากันว่าเป็นสระน้ำของเจ้าลิจฉวี
ปาวาละเจดีย์ หรือสารีริกธาตุพระสถูปเจดีย์
เมื่อกลับมาถึงวัดไทยเวสาลี ฉันและ อ.ปู่ ขอติดตามแม่ชีอรัญญา และลาวา ไปตลาดด้วย โดยมีโชตูเป็นคนขับรถตาต้าซูโม่ (ลักษณะใกล้เคียงรถจี๊ปอีซูซูคาริบเบี้ยนบ้านเรา) ไปถึงตลาด ช่วยแม่ชีเลือกซื้อผักผลไม้ไปทำอาหารสำหรับวันพรุ่งนี้ เป็นตลาดนัดแบบแบกะดิน ของขายก็วางไว้ระเกะระกะคลุกฝุ่น ในขณะที่เลือกซื้อผักผลไม้เห็นคนมุงดูอะไรเป็นกลุ่มใหญ่ พร้อมได้ยินเสียงดนตรีประโคมมาใกล้ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปดู เห็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่งแต่งกายด้วยอาภรณ์สีสันจัดจ้าทำพิธีบริเวณบ่อน้ำในตลาด ฉันแทรกตัวเข้าไปดูใกล้ ๆ เห็นกำลังบูชาก้อนหินก้อนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นทำความเคารพด้วยการแตะที่ก้อนหินแล้วเอามาแตะที่หน้าอก ฉันทำหน้าแบบตั้งคำถามพร้อมชี้ไปที่พิธี ผู้หญิงข้าง ๆ ตอบฉันมาเป็นภาษาฮินดีประกอบกับภาษามือ ซึ่งฉันสามารถคาดเดาได้ทันทีว่า ผู้หญิงคนนั้นกำลังเข้าพิธีแต่งงานจึงมาสักการะเทพเจ้า
บรรยากาศตลาดยามสนธยา ณ เมืองไพศาลี
บรรยากาศเดียวกันแต่จะอารมณ์ไหนบรรยายเองนะ
เดินดูของสักพักก็ขึ้นรถไปตลาดอีกที่หนึ่งเมื่อเวลาสนธยาแล้ว เพราะแม่ชีอรัญญายังได้ของไม่ครบ ฉันให้เงินลาวาไปซื้อการ์ดโทรศัพท์เพื่อโทรกลับเมืองไทย ด้วยรู้สึกว้าวุ่นกับเหตุการณ์ทางเมืองไทยที่ตามมารบกวนจิตใจตั้งแต่เมื่อวานและยังไม่ยอมย่อยสลายไปจากใจ ฉันรู้สึกว่าในใจฉันยามนี้เหมือนสนธยา ณ ไพศาลี ซะจริง ๆ ย้อนกลับมาทบทวนถึงสิ่งที่ทำให้เศร้าหมองก็เข้าข้างตัวเองว่าได้ทำทุกอย่างตามสิทธิและระเบียบทุกประการ แต่นายคงหวังดีไม่อยากให้ลามากไป (หรือนายไม่ได้รักเราหว่า?) เรื่องเลยค้างคาใจมาถึงอินเดีย เมื่อฉันต่อสายถึงคนที่จะช่วยให้อรุณรุ่งของพรุ่งนี้สดใส พลันที่ได้ยินเสียงปลายสายที่สื่อถึงพลังความรับผิดชอบกับภาระกิจที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี ทำให้ใจฉันค่อยชื้นขึ้นมาเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็ยังแอบกังวลเล็ก ๆ อยู่ไม่หาย (ขอชื่นชมศิษย์รักไว้ ณ ที่นี้ว่าช่างเป็นอภิชาตศิษย์จริง ๆ ) คืนนี้พักที่วัดไทยเวสาลี บรรยากาศชวนให้คิดถึงบ้าน เพราะอยู่กลางทุ่งนา รู้สึกเหงาเล็ก ๆ เมื่อทอดสายตามองเห็นผืนนาเป็นทิวแถวยาวไกล ฉันได้นอนชั้น ๒ กับอ.เอี่ยมนภาและแม่ชีอาจารียา คณะไปทอดผ้าป่า ตัวฉันทำการบ้านด้วยการอ่านหนังสือที่เอาติดมา นอนอ่านหนังสือเพลิน จนอ.เอี่ยมนภามาตามให้ไปดื่มอะไรร้อน ๆ ฉันจึงได้ยุรยาตรออกจากห้อง ลงมาชั้นล่าง จึงได้รู้ว่า อ.ปู่ ไม่มีห้องนอน แม่ชีบุญเรืองจึงให้นอนห้องโถงชั้นล่างที่กว้างใหญ่ไพศาลีสมกับชื่อเมืองเพียงคนเดียว ฉันกลับขึ้นห้องมาอ่านหนังสืออยู่ครู่หนึ่งไฟก็ดับ เซ็งจิตเล็ก ๆ เลยปิดหนังสือล้มตัวลงนอน ไฟก็ติดขึ้นมาอีก แต่เราสามคนพร้อมใจกันนอน เพราะพรุ่งนี้หนทางข้างหน้ายังมีอีกยาวไกล.... ฉันหลับไปกับความว้าวุ่นลึก ๆ ของใจ.........ที่ยังไม่สามารถสลัดได้..กับเหตุการณ์ของพรุ่งนี้ที่เมืองไทย...
แสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องส่วนตน