ทะเลสาบขั้วโลก
เขียนโดย ปาณิศรา ชูผล มทศ.   
อังคาร, 01 กันยายน 2009
ปริศนาทะเลสาบขั้วโลก vote  

สวัสดีครับชาวหว้ากอทุกท่าน สัปดาห์นี้ก็เก็บความเรื่องลึกลับของทะเลสาบที่ขั้วโลกมานําเสนอครับ แต่ก่อนอื่นก็ขอตอบคําถาม MTFC เรื่องของการลักพาตัวโดยมนุษย์ต่างดาวที่สงสัยกันมามาก ถ้ามนุษย์ต่างดาวลักพาตัวชาวโลกจริง ทําไมลักพาตัวแต่ฝรั่ง คนเอเชียแทบไม่เคยถูกลักพาตัวเลย question ในหนังสือ Abduction ของ John E. Mack ศาสตราจารย์ทางด้านจิตแพทย์ของโรงพยาบาลเคมบริดส์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บอกว่าตามรายงานแล้ว การลักพาตัวมนุษย์นั้น มนุษย์ต่างดาวจะลักพาตัวเฉพาะคนที่มีเลือดกรุ๊ป Rh-negative เท่านั้น (หมู่โลหิตที่ไม่มีแอนติเจน-ดี อยู่ที่ผิวของเม็ดโลหิตแดง) ซึ่งคนคอเคเชียนจะมีหมู่เลือดชนิดนี้มากถึง 15-25 เปอร์เซ็นต์ แต่คนเอเชียมีไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ นี่จึงเป็นคําตอบครับที่ว่า ถ้ามนุษย์ต่างดาวลักพาตัวชาวโลกจริง ทําไมจึงลักพาตัวแต่ในสหรัฐฯหรือยุโรป

กลับมาสู่่เรื่องความลี้ลับของขั้วโลกครับ บนโลกเราที่เราอาศัยอยู่นี้ มีทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ยังไม่มีมนุษย์คนไหนได้สัมผัสมาก่อน ฝังอยู่ใต้พื้นน้ำแข็งหนากว่า 4 กิโลเมตรบนใจกลางทวีปแอนตาร์กติกา บริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำสุดบนพื้นโลกต่ำกว่าจุดเยือกแข็งราวลบ 89 องศาเซลเซียส

ทะเลสาบแห่งนี้ยังคงสถานะของเหลวอยู่ ไม่ได้กลายเป็นน้ำแข็งเหมือนกับผิวด้านบน มันถูกซ่อนอยู่ภายใต้ชั้นน้ำแข็งมานานอย่างน้อย 13,000 ปีหรืออาจนานถึง 14 ล้านปีมาแล้ว

ภาพจาก www.ufoarea.com

 
 

จากคุณ: Mr.Terran
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 22:17:29
ถูกใจ: Darth Prin, suman, Azure_Mile, Nibiru, apollo14, lizard8, เบื่อโลกจัง, Piggie MM, fat boy slim_golf, หงส์ปลายปืน, blossmoed, DON'T CARE NEVER DIE, ReNaris, mookie, kidarmy, ~cenobite+, Saint_K, เคลิ้มสมาคม, annie_gnd, FroZen_Monster, maodarifto, ระหว่างเรา, Grain_G, knine2five



      ความคิดเห็นที่ 1  

      ไม่อยากปาดเลยอะ หรือว่ามีแค่นี้ ฮิๆ

      จากคุณ: l_and_r1948
      เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 22:23:00
        

       
       
       
ความคิดเห็นที่ 2  

ปาดดดดดด

ชอบๆ จริงๆ อยากอ่านเรื่องลึกลับ ของ นาซี กับการทดลองเหนือธรรมชาติ สงสัยว่ามันมีจริงมั้ย เคยอ่นเรื่องจานบินที่ Mr.Terran เอามาลงแล้วครับ สนุกดี

จากคุณ: Napoleonic
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 22:23:57
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 3  

การสำรวจขั้วโลกใต้อย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่อปี 1957 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียได้สร้างสถานีวิจัยขึ้นบนพื้นน้ำแข็งที่อ้างว้างห่างไกลจากแผ่นดินที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ราว 1,000 กิโลเมตร พวกเขาตั้งชื่อสถานีวิจัยนี้ว่า "วอสทอก" (Vostok)

ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1970 อังกฤษได้ส่งทีมสำรวจมาทำแผนที่โดยใช้เครื่องบินติดเรดาร์สำรวจ เมื่อเครื่องบินบินมาใกล้กับสถานีวอสทอก ทันใดนั้นจอเรดาร์กลับแสดงเส้นแนวนอนเหมือนกับว่าสัญญาณกระทบเข้ากับผิวน้ำ พวกเขาจึงเดาว่าน่าจะมีน้ำซ่อนอยู่ใต้แผ่นน้ำแข็ง

แต่นั่นก็เป็นการคาดเดาเอาเท่านั้นหลักฐานที่ระบุว่าใต้แผ่นน้ำแข็งใจกลางทวีปแอนตาร์กติกามี แหล่งน้ำซ่อนอยู่เพิ่งจะพิสูจน์ได้เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง เมื่อดาวเทียมสำรวจตรวจพบทะเลสาบขนาดกว้างกว่า 10,000 ตารางกิโลเมตรจมอยู่ใต้พื้นน้ำแข็ง

นับได้ว่าเป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว เพราะขนาดของมันนั้นใกล้เคียงกับทะเลสาบออนทาริโอ (Ontario lake) ที่กั้นระหว่างประเทศสหรัฐกับประเทศแคนาดา ซ้ำยังมีความลึกกว่า 500 เมตร

จากการใช้เครื่องสแกนตรวจเช็กอุณหภูมิพบว่าน้ำในทะเลสาบมีอุณหภูมิประมาณ 10-18 องศาเซลเซียส ทำให้เชื่อได่ว่ามีแหล่งความร้อนใต้พื้นทะเลสาบอีกที

นอกจากนั้นแล้ว พื้นที่เหนือทะเลสาบยังถูกปกคลุมด้วยชั้นอากาศเป็นช่องว่างหลายพันฟุต กั้นชั้นน้ำแข็ง ซึ่งชั้นอากาศนี้เกิดขึ้นจากการที่ส่วนฐานของน้ำแข็งละลายเพราะถูกความร้อน ที่กระจายออกมาจากทะเลสาบ

ภาพตําแหน่งของทะเลสาบ
ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Vostok_Station

 
 

จากคุณ: Mr.Terran
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 22:24:17
ถูกใจ: lizard8

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 4  

ปาดดจ้า

จากคุณ: Stefanz
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 22:28:13
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 5  

นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียได้เจาะเอาพื้นน้ำแข็งส่วนหนึ่งมาวิเคราะห์เมื่อ หลายปีก่อน พวกเขาพบว่าในก้อนน้ำแข็งตัวอย่างนั้นมีสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วปะปนอยู่และเป็นสิ่งมีชิวิตที่ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อนเลย นักชีววิทยาเชื่อว่า การที่ทวีปแอนตาร์กติกาถูกแยกออกมาจากแผ่นดินส่วนอื่นเมื่อหลายพันล้านปี ก่อนนั้น ก่อนที่มนุษย์คนแรกจะกำเนิดขึ้น ได้มีสิ่งมีชีวิตกำเนิดขึ้นที่บริเวณทะเลสาบวอสทอกนี้ โดยที่พวกมันมีวิวัฒนาการอย่างเงียบ ๆ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตประเภทอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป ทำให้พวกมันมีลักษณะแตกต่างจากออกไปจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่เราเคยเห็น

สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นพัฒนาตัวเองภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิต่ำสุด ๆ และปราศจากซึ่งแสงอาทิตย์ที่จำเป็นสำหรับกระบวนการสังเคราะห์แสง ทำให้องค์การนาซ่า (NASA) สนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษเนื่องจากมันมีสภาพใกล้เคียงคล้ายคลึงกับสภาพของดวง จันทร์ ยูโรปา (Europa) ของดาวพฤหัส

สิ่งที่น่าตื่นเต้นไปกว่านี้ก็คือ นักวิทยาศาสตร์พบสิ่งมีชีวิตบริเวณทะเลสาบวอสทอกถึง 33 ตระกูล สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยกระบวนการสังเคราะห์ แสง แต่พวกมันได้อาศัยไฮโดรเจนซัลไฟในน้ำเป็นแหล่งพลังงานหรือที่ศัพท์ทางวิทยา ศาสตร์เรียกว่า เคโนซินธิซิส (Chemosynthesis)

มันเป็นการค้นพบทาง วิทยาศาสตร์ที่น่าตื่นเต้นมากทีเดียว องค์การนาซ่า (NASA) ตัดสินใจที่จะนำยานสำรวจที่สร้างขึ้นมาสำหรับใช้สำรวจ ยูโรปา มาทดลองประสิทธิภาพโดยส่งมันมาเจาะพื้นน้ำแข็งที่อยู่ลึกลงไปถึงทะเลสาบมา วิเคราะห์

แต่แล้วจู่ ๆ National Science Foundation (NSF) หน่ยยงานที่รับผิดชอบด้านวิทยาศาสตร์ของสหรัฐที่เป็นผู้ให้ทุนรอนในการสำรวจ ครั้งนี้ก็สั่งระงับการขุดเจาะน้ำแข็งที่แอนตาร์กติกาซะเฉย ๆ

เหตุผลน่ะหรือครับ เพราะพวกเขาพบว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วที่ติดมากับก้อนน้ำแข็งตัวอย่างนั้นมีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก !

ทีมวิจัยของสถานีวอสทอกกําลังตรวจสอบเกี่ยวกับ polar tectonics

 
 

จากคุณ: Mr.Terran
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 22:31:01
ถูกใจ: lizard8

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 6  

น่าติดตามมากครับ

จากคุณ: วิงเวียนศีรษะ
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 22:39:04
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 7  

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ราว ๆ เดือนกุมภาพันธ์ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก NSF ให้มาสำรวจพื้นที่เหนือทะเลสาบวอสทอกเพื่อทำแผนที่ แต่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นพบนั้นเหนือความคาดหมาย เพราะพวกเขาพบว่ามีสนามแม่เหล็กประหลาดขนาดใหญ่ปกคลุมอยู่บริเวณชายฝั่ง ตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลสาบ

ไม่มีใครรู้คำตอบว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ เกิดสนามแม่เหล็กประหลาดนั้น ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งก็คือการรวมตัวกันเป้นจำนวนมากของโลหะวัตถุ ซึ่งพบบ่อย ๆ ในการสำรวจซากปรักหักพังของเมืองโบราณ ยังกะนิยายแฟนตาซีแหนะ นี่แสดงว่ามีเมืองซ่อนอยู่ภายใต้พื้นน้ำแข็งหนา 4 กิโลเมตรหรือ สงสัยจะโม้ไปหน่อยมั๊ง

เดิมที นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า การที่พื้นโลกแยกตัวออกจากกันเป็นทวีปต่าง ๆ นั้นค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปกินเวลานานหลาย(หมื่น)ปี แต่จากหลักฐานต่าง ๆ ที่ได้มากลับบ่งชี้ไปในทางตรงกันข้าม ดูเหมือนว่าเมื่อราว 13,000 ปีก่อนโลกเรานั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน

สมัยก่อนทวีปแอนตาร์กติกานั้นเต็มไปด้วยป่าไม้ แต่แล้วแกนของโลกเกิดเปลี่ยนแปลงทันทีทันใด ทำให้ทวีปแอนตาร์กติกากลับตาลปัตรเป็นขั้วโลกใต้ กลายเป็นบริเวณที่มีอากาศหนาวเย็นที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก

สถานีวิจัยวอสทอก

 
 

จากคุณ: Mr.Terran
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 22:40:27
ถูกใจ: lizard8

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 8  

กบจ้าา

จากคุณ: Manadora
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 22:51:03
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 9  

ความเชื่อที่ว่ามีเมืองโบราณซ่อนอยู่ใต้พื้นน้ำแข็งขั้วโลกใต้นั้นมีมา ตั้งแต่สมัยยุคนาซีเรืองอำนาจโน่นแหละครับ ลือกันว่าในช่วงทศวรรศที่ 1930 นาซีได้สร้างฐานทัพลับขึ้นที่บริเวณขั้วโลกใต้เพื่อใช้เป็นที่ติดต่อประสานงานกับพันธมิตรไม่ปรากฏสัญชาติ !

ต่อมาในปี 1947 นายพลริชาร์ด เบิร์ด (Richard byrd) แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ออกบินสำรวจทวีปแอนตาร์กติกา ไม่รู้เหมือนกันว่าแกไปเจออะไรเข้าพอกลับมาที่ฐานทัพก็ประกาศก้องว่า สหรัฐจำเป็นต้องสร้างแนวป้องกันข้าศึกที่อาจบุกมาทางอากาศจากขั้วโลกใต้

แทบจะทันทีที่นักวิทยาศาสตร์จากโคลัมเบียค้นพบสนามแม่เหล็กประหลาด JPL (Jet Pulse Laboratory) หน่ยวงานทางด้านอวกาศอีกหน่วยงานหนึ่งของสหรัฐ ได้สั้งให้ยุติการสำรวจทะเลสาบวอสทอก โดยให้เหตุผลว่า "เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม" ต่อมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ โฆษก JPL ได้แถลงข่าวว่าตั้งแต่นั้เป็นต้นไปหน่วยงานรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (National Security Agency - NSA) จะเป็นผู้รับผิดชอบการสำรวจทะเลสาบวอสทอก

เล่นแถลงข่าวแบบนี้ก็เสร็จพวกขี้สงสัยสิครับ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์มันไปเกี่ยวกัยหน่วยงานรักษาความปลอดภัยแห่งชาติได้ยังไง ? ตานี้ก็เลยลือกันให้แซดว่ามีการพบเห็นยานอวกาศมนุษย์ต่างดาวบินว่อนอยู่ เหนือบริเวณทะเลสาบวอสทอก

BBC รายงานเมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาครับว่าพบ 235 สปีชี่ ทั้งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ลงไป 12000 กิโลเมตร

 
 

จากคุณ: Mr.Terran
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 22:51:05
ถูกใจ: lizard8

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 10  

ติดตามผลงานคุณ Mr.Terran มานานแล้วค่ะ เพิ่งเคยได้เห็นการเขียนกระทู้สดๆ ก็วันนี้

ทันปาดด้วยอ่า  เอ้า ปาดดดดดด

จากคุณ: มือฉันกางร่ม หูฉันฟังเสียงฝน
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 22:53:28
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 11  

เดือนธันวาคม 2000 สำนักข่าวเนชั่นแนลพับลิกเรดิโอ (National Public Radio) เสนอข่าวเรื่องที่จู่ ๆ นายแพทย์ประจำศูนย์แมคเมอร์โดเกิดป่วยรุนแรงอย่างกระทันหัน

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ 3 คนได้เสียชีวิตลงขณะปฏิบัติหน้าที่บนขั้วโลกใต้ แต่ไม่มีรายงานระบุสาเหตุการเสียชีวิต มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นที่นี่อย่างแน่นอน

ยังมีรายงาน อีกว่านายแพทย์ที่ประจำสถานีอมันดสัน-สก้อทท์ (Amundson-scott) คนหนึ่งล้มป่วยด้วยโรคแทรกซ้อนที่มีสาเหตุมาจากก้อนนิ่ว รายงานระบุว่าผู้ที่ล้มป่วยและเสียชีวิตนั้นมีสาเหตุมาจากได้รับเชื้อโรคมา ก่อนถูกส่งมาปฏิบัติภาระกิจที่นี่ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น เจ้าหน้าที่ทุกคนจะต้องได้รับการตรวจสุขภาพมาก่อนที่จะถูกส่งมา เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นพาหะนำเชื้อโรคมาแพร่กระจายบนทวีปแอนตาร์กติกา

เป็นไปได้ไหมว่านักวิทยาศาสตร์พวกนั้นได้แอบทำการเจาะพื้นน้ำแข็งบริเวณทะเลสาบ วอสทอกเพื่อเก็บตัวอย่างก้อนน้ำแข็ง และโดยไม่คาดฝันพวกเขาได้สัมผัสกับ "อะไรบางอย่าง" ที่มนุษย์ไม่มีภูมิคุ้มกัน "อะไรบางอย่าง" ที่ไม่มีอยู่บนผิวโลกมานานอย่างน้อย 13,000 ปีมาแล้ว

ภาพทะเลสาบวอสทอกที่นาซ่าใช้ดาวเทียมถ่ายไว้

 
 

จากคุณ: Mr.Terran
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 22:55:45
ถูกใจ: lizard8, blossmoed

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 12  

ทะเลสาบ Vostok ที่อยู่ใต้แผ่นน้ำแข็ง ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด ทะเลสาบแห่งนี้มีความยาวโดยประมาณ 250 กิโลเมตร กว้าง 50 กิโลเมตร และอยู่ภายใต้น้ำแข็งที่ปกคลุมหนาถึง 4000 เมตร

ทะเลสาบ ใต้น้ำแข็งแห่งนี้ถูกค้นพบในปี 1996 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียและอังกฤษ ที่ตั้งของทะเลสาบแห่งนี้อยู่ใต้ สถานีสำรวจทวีปแอนตาร์กติคของรัสเซียที่มีชื่อว่า Vostok อันเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบแห่งนี้ การค้นพบทะเลสาบใต้น้ำแข็งแห่งนี้ ถือเป็นการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งสำคัญในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา เพราะเชื่อกันว่า ทะเลสาบแห่งนี้ได้ถูกธรรมชาติแยกตัวมันจากสิ่งแวดล้อมมานานมาก น้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่ถึง 4000 เมตรต้องใช้เวลานับหลายล้านปีถึงจะมีความหนาขนาดนี้ได้ ซึ่งหมายถึงทะเลสาบแห่งนี้ยังคงสภาพที่มันเคยเป็น เมื่อหลายล้านปีก่อนเอาไว้ได้

ภาพจาก www.earthsci.org

 
 

จากคุณ: Mr.Terran
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 23:02:57
ถูกใจ: lizard8, หมอเถื่อน

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 13  

ปาดดดด ครับ

เรื่อง Vostok เป็นเรื่้องที่ผมสนใจมานานแว้วว ขอบคุณ Mr.Terran  มากๆ นะครับ

จากคุณ: ATiVidia
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 23:03:31
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 14  

เชื่อกันว่าไม่มีทะเลสาบแห่งใดในโลกของเราจะมีสภาพแวดล้อมที่มี Oxygen มากเท่ากับทะเลสาบ Vostok แห่งนี้ เพราะทะเลสาบ Vostok มีปริมาณ Oxygen มากกว่าทะเลสาบน้ำจืดทั่วไปถึง 50 เท่า ซึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจากน้ำแข็งปริมาณมหาศาล ที่ทับถมอยู่บนทะเลสาบแห่งนี้

สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบ Vostok ต้องมีการปรับตัวเพื่อให้รอดชีวิตจากสิ่งแวดล้อมที่มี oxygen มากมาย ยังมีการค้นพบอีกว่า ทะเลสาบมากมายหลายร้อยแห่งภายใต้น้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติก ล้วนแต่มีเส้นทางเชื่อมโยงถึงกัน

จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการใช้เครื่องมือใดๆ เจาะลงไปยังทะเลสาบใต้น้ำแข็งเหล่านี้ Mahlon "Chuck" Kennicutt II, professor of oceanography ที่มหาวิทยาลัย Texas A&M  กล่าวว่าก่อนจะมีการสำรวจทะเลสาบแห่งนี้และรวมไปถึงอีก 145 ทะเลสาบที่อยู่ใต้แผ่นน้ำแข็ง จะต้องมีการคิดหาวิธีที่เหมาะสมเพื่อไม่เป็นการบุกรุกและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายในทะเลสาบเหล่านี้

การสำรวจทวีปแอนตาร์คติกจะมีกฎเกณฑ์พิเศษ เนื่องจากทวีปแห่งนี้อยู่ภายใต้สนธิสัญญา ซึ่งลงนามโดย 45 ประเทศว่าทวีปแอนตาร์กติกเป็นทวีปเพื่อการสำรวจวิทยาศาสตร์และสันติภาพ

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าความเป็นไปในทะเลสาบใต้ทวีปแอนตาร์กติกซึ่ง 98 % ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง สามารถบอกถึงสภาพของโลกเมื่อหลายล้านปีก่อนได้ พวกเขาเชื่อว่าจะมีสังคมของชีวิตในรูปแบบที่เราไม่เคยได้พบมาก่อน

และนักวิทยาศาสตร์ยังเชื่อว่าทะเลสาบเหล่านี้ มีความเชื่อมโยงอย่างมีนัยยะสำคัญกับ การเคลื่อนตัวของแผ่นน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติก

พื้นที่เหนือทะเลสาบวอสทอก

 
 

จากคุณ: Mr.Terran
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 23:08:01
ถูกใจ: lizard8

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 15  

อ่าา ..จบแล้วเหรอ

จากคุณ: axquest
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 23:10:49
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 16  

ให้ตายดิ ตอนอ่านหัวกระทู้นี้แว่บแรก ผมอ่านเป็น "ปริศนาแมลงสาบขั้วโลก" !!

กะเข้ามาดูปีเตอร์เพื่อนรักเต็มที่เลยนะเนี้ย
สงสัยพักนี้โดนมันหลอกหลอนจนบ้าไปแล้ว -*-

จากคุณ: taechawat
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 23:21:11
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 17  

แว๊บกลับมาที่ขั้วโลกเหนือกันบ้างครับ ข้อสันนิษฐานเรื่องที่ตั้งของอาณาจักรที่ขั้วโลกเหนือนั้น เริ่มมาจากข้อเขียนของเฮเคทที่ว่า อาณาจักรไฮเปอร์บอเรีย ตั้งอยู่ทางเหนือสุดและมีแสงสว่างทั้งยามทิวาราตรี ก็เลยมีความเชื่อว่า อาณาจักรของเฮเคท ตั้งอยู่ที่เกาะกรีนแลนด์ เพราะเป็นดินแดนเหนือสุด กับมี "อาทิตย์เที่ยงคืน"ในหน้าร้อนตรงกันทุกอย่าง ตํานานบอกว่าก่อนหน้านี้นับหมื่นๆ ปีมาแล้ว เคยมีอาณาจักรอยู่กลางหิมะอันมหาศาลนี้เป็นมั่นคง

โรแบร์ต์ ชาร์รูซ์ บอกว่า อพอลโลนั้นที่จริงหาใช่เทพเจ้าไม่ แต่เป็นคนที่มีเนื้อหนังเหมือนมนุษย์ทั่วไปนี่แหละ ความเก่งกาจของเขา ทำให้ชาวกรีกยกย่องขึ้นเป็นเทพเจ้าในภายหลัง การที่เขามีพระมารดาเป็นชาวไฮเปอร์บอเรีย ก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าเขาจะต้องเก่งกาจ เพราะชาวเมืองนั้นมีความเก่งในตัวอย่างประหลาดๆ ตามที่ได้ระบุมาแล้วแต่ต้น เมื่ออพอลโลเดินทางจาก อาณาจักรของพระมารดามาสู่กรีซ ก็นำเอาความรู้และความเก่งกาจของบ้านเมืองเขามาเผยแพร่ เพราะว่าชาวไฮเปอร์บอเรียเจริญรุ่งเรืองมาก่อนกรีซนับหมื่นปี จึงมีความรอบรู้สูงส่งกว่าชาวกรีก ซึ่งมีใจใฝ่การศึกษาอยู่แล้ว จึงชื่นชมอพอลโลและยกย่องให้เป็นเทพเจ้าไปเลย

แผนที่ที่เขียนโดย Abraham Ortelius มีไฮเปอร์บอเรียอยู่ในแผนที่
ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Hyperborea

 
 

จากคุณ: Mr.Terran
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 23:22:32
ถูกใจ: apollo14, lizard8

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 18  

และนี่เองครับ ทำให้อพอลโล 14 เอ๊ย.. อพอลโลเฉยๆ กลายเป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง ภูมิปัญญา ศิลปศาสตร์ ฯลฯ เพราะในสายตาของชาวกรีกนั้น ความรอบรู้เปรียบเหมือนแสงสว่างที่ส่องขับไล่ความโง่เขลา เมื่ออพอลโลสอนเขาในทุกอย่าง ทั้งศาสตร์และศิลป์ ก็เปรียบเหมือน นำแสงสว่างมาส่องขจัดความโง่ การยกย่องให้เขากลายเป็นเทพแห่งแสงสว่าง จึงเป็นการเปรียบเทียบเท่านั้น ต่อมาเมื่อ อพอลโลได้สอนศิลปศาสตร์อื่น เช่น ดนตรี กวี และโหราศาสตร์ให้อีก เขาก็กลายเป็นเทพแห่งศิลปศาสตร์เหล่านี้ไปอย่างสมบูรณ์

มีข้อน่าคิดนิดหนึ่งที่ว่า ทำไมอพอลโลจึงเป็นหมอดู เอ๊ย.. ไม่ใช่ เป็นเทพแห่งการพยากรณ์ ไปได้ ? เรื่องนี้อาจอธิบายได้ว่า เพราะเขามีเชื้อสายเป็นมนุษย์ต่างดาวน่ะซีครับ จึงสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอดีตและอนาคตได้ ผิดกับชาวโลกทั่วไป ความสามารถในด้านบอก กล่าวเหตุการณ์ อนาคต ทำให้ชาวกรีกยกย่องอพอลโลเป็นเทพแห่งโหราศาสตร์หรือการพยากรณ์ไปเลย วิหารของพระองค์ที่เดลฟี ไม่เคยขาดผู้คนที่ไปเยือน เพื่อขอคำทำนายทายทัก รวมทั้งราชาและมหาราชทั่วโลก ก็ไปขอคำพยากรณ์ด้วย

ไม่ปรากฏว่าอพอลโลมีมเหสีเป็นตัวตน ใครจะไปรู้ เขาอาจมีเมียเป็นชาวมนุษย์ โลกเดียวกับเขาอยู่ที่ไฮเปอร์บอเรียก็ได้ แต่มีเรื่องเล่าหลายครั้งว่า ทั้งๆ ที่เขารูปงาม จนกระทั่งกลายเป็นสัญลักษณ์ความงามของเพศชาย เมื่อเขาขอความรักกับ แด็ฟนี (Daphne) นางไม้แสนสวย นางก็ตื่นตกใจจนวิ่งหนีเตลิดไป และร้องขอให้พ่อช่วย พ่อซึ่งเป็นเทพแห่งธารกลัวอพอลโลจะกลายเป็นลูกเขยอีกเหมือนกัน จึงบันดาลให้ลูกสาวกลายเป็นต้นไม้ไปทันที

ทำไมชาวโลกจึงปฏิเสธที่จะครองคู่กับอพอลโล ? จะเป็นด้วยพวกนี้รู้ว่ามิใช่ชาวพิภพเช่นเดียวกันใช่หรือไม่ ? และยังมีอีกเรื่องนะครับ คืออพอลโลเคยหลงรัก แคสแซนดรา (Cassandra) ราชธิดาโฉมงามของพระเจ้าเปรียมแห่งทรอย และนางก็เป็นภิกษุณีแห่งวิหารอพอลโลอยู่แล้วด้วย แต่เมื่อถูกเจ้าของวิหารขอความรัก นางกลับโนเคทำให้อพอลโลกริ้วจนสาปว่าให้นางเป็นภิกษุณีพยากรณ์ที่พูดอะไรก็ ไม่มีใครเชื่อ ซึ่งผลก็คือลงเอยอันโหดร้ายทารุณของนครทรอยและของตัวแคสแซนดราเองในภายหลัง

เทพอพอลโลในตํานานของชาวกรีก

 
 

จากคุณ: Mr.Terran
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 23:30:08
ถูกใจ: lizard8, apollo14

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 19  

โหวต !!!!!!!!!!!!!!!!!

ให้ตายเถอะ มองผ่าน ๆ เห็นเป็นคำว่า แมงสาบขั้วโลก !?

 
 

จากคุณ: lizard8
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 23:32:56
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 20  

อ่านแล้วนึกถึงหนังเรื่องนี้เลย "Dream Catcher"

 
 

จากคุณ: Godzila
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 23:33:53
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 21  

ทำไมแคสแซนดราจึงเลือกที่จะถูกสาปมากกว่าเป็นสนม ของจอมเทพก็ไม่ทราบหรือจะเป็นเพราะนางกลัว ที่จะต้องเป็นสะใภ้ต่างดาว ? (ว่าไปนั่น) สมมติว่าเรายอมรับฟังกันละว่า อพอลโล เลโตนา และชาวไฮเปอร์บอเรียทุกคน ล้วนเป็นมนุษย์ต่างดาวที่มาอาศัยอยู่ ณ ดินแดนเหนือสุดของพิภพตรงนี้ ก็แล้วอะไรล่ะทำให้พวกเขาอพยพมาที่นี่ และอาศัยอยู่อย่างซ่อนเร้น ไม่ติดต่อกับใครเลย

นักลึกลับศาสตร์ให้คำตอบว่า พวกเขาคงเป็นผู้ลี้ภัยจากดาว ที่อยู่อาศัยมาหาที่อยู่ใหม่ เมื่ออยู่ๆ ไปสักหมื่นปี อาจเห็นว่า ที่อยู่ไม่น่าอยู่ด้วยเหตุบางประการ ประจวบกับมองเห็นที่อยู่อื่นเข้าท่ากว่า ก็เลยอพยพไปอยู่เซี้ยยังดาวดวงใหม่ แต่ก่อนไปก็อาจทำลายบ้านเมือง ของตนบนผิวพิภพให้ราบคาบหมด เราจึงไม่เห็นหลักฐานเกี่ยวกับชนเผ่านี้อีกเลย

เพราะเขาเป็นชาวต่างพิภพนี่เองครับ จึงไม่ติดต่อสุงสิงกับมนุษย์ชาวโลกคนอื่นๆ นอกจากติดต่อทางค้าขายเพื่อยังชีพเท่านั้น เฮโรโดตัส บันทึกว่า พวกนี้มีความเป็นอยู่แปลกๆ มียานรูปคล้ายธนูที่ทำให้เดินทาง โดยอากาศได้รวดเร็ว และกล่าวถึงภิกษุของอพอลโล ที่มีนามว่า"อบาริส" (Abaris) เดินทางจากไฮเปอร์บอเรียมาสู่แผ่นดินกรีซด้วยธนูวิเศษนี้ในชั่วพริบตา กับทั้งยังอิ่มทิพย์ ไม่ต้องกินอะไรอีกด้วย ข้อเขียนของเฮโรโดตัสตรงนี้แหละครับที่ยืนยันว่า ชาวไฮเปอร์บอเรียนั้นเป็นมนุษย์ต่างดาว เพราะธนูที่อบาริสขี่นั้น ได้แก่ จรวด หรือยานอวกาศรูปยาวๆ แบบบุหรี่ซิการ์ ซึ่งเคยมีคนในสมัยปัจจุบันมองเห็นในลักษณะของจานบินชนิดหนึ่งมาแล้ว

ภาพจาก www.eldritchdark.com

 
 

จากคุณ: Mr.Terran
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 23:38:40
ถูกใจ: lizard8

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 22  

ติดตามค่ะ เดี๋ยวมาอ่านตอนเช้า
ที่นี่จะตี3แล้ว T-T

จากคุณ: Perfectly~Adorable (Perfectly~Adorable)
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 23:49:06
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 23  

เมื่อเดือนพฤศจิกายนของปี ค.ศ.1985 คณะนักวิทยาศาสตร์รัสเซียที่ศูนย์ปฏิบัติการทดลองในเกาะเซเวอร์นาย่าทางตอนเหนือของมหาสมุทรอาร์คติก   ซึ่งมีน้ำแข็งปกคลุมอยู่ตลอดปี  ได้มองเห็นยานอวกาศรูปทรงกลมเรืองแสงปรากฏทางด้านเหนือของตัวเกาะอันเป็นท้องทะเลที่มีน้ำแข็งปกคลุมหนาหลายสิบฟุต    หลายครั้งหลายคราวด้วยกัน วัตถุเรืองแสงดังกล่าวมีลักษณะเหมือนกับจานบิน ที่เคยปรากฏเหนือท้องฟ้าตามส่วนต่างๆของโลกในระยะหลายปีที่ผ่านมา และในบางคราววัตถุเรืองแสงเหล่านั้น ปรากฏให้เห็นในจำนวนหลายลำด้วยกัน ทำให้คณะนักวิทยาศาสตร์ดังกล่าวสงสัยว่า บริเวณนั้นน่าจะมีอะไรสักอย่างที่น่าสนใจ  นอกจากจะเป็นพื้นน้ำแข็งขาวโพลนตามธรรมดา

หลังจากได้รายงานด่วนทางวิทยุไปยังฐานทัพอากาศไคเมียร์ทางตอนเหนือของรัสเซีย ผู้บัญชาการฐานทัพก็ได้ส่งเครื่องบินตรวจการณ์รุ่นล่าสุดสองลำ มาทำการตรวจสอบและตรวจตราบริเวณดังกล่าว ในวันแรกเครื่องบินทั้งสองลำได้บินออกตรวจสอบจุดที่ได้เห็นจานบินปรากฏเป็นบริเวณกว้างพอประมาณ แล้วใช้เวลาในการลาดตระเวนทั้งหมดนานกว่าสองชั่วโมง โดยไม่พบสิ่ง ผิดปรกติใดๆ แต่หัวหน้าหน่วยค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์บนเกาะเซเวอร์นาย่าได้ขอให้เครื่องบิน ทั้งสองอยู่ที่หน่วยค้นคว้าแห่งนั้นก่อน เพราะเชื่อว่าไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่งภายในสัปดาห์นั้น  คงต้องมีวัตถุเรืองแสงดังกล่าวมาปรากฏอีกแน่นอน นักบินของเครื่องตรวจการณ์ทั้งสองลำ  รออยู่ที่สนามบินข้างศูนย์ทดลองวิทยาศาสตร์อยู่เพียงสองวันก็ปรากฏว่ามีวัตถุเรืองแสง  ลักษณะเป็นทรงกลมเหมือนจานบิน  ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เวลานั้นเป็นเวลา 13.26 นาฬิกา ของวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ.1985 "จานบิน" ทั้งสามลำบินจับกลุ่มเป็นรูปสามเหลี่ยมมุ่งไปสู่ทิศเหนืออันเป็นทิศทางสู่ขั้วโลกเหนือ  ด้วยความเร็วที่คำนวณได้จากจอเรดาห์ประมาณ 280 ไมล์ต่อชั่วโมง  ซึ่งก็นับว่าเป็นอัตราความเร็วที่ต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับความเร็วของ จานบิน ที่มีผู้พบเห็นตามภูมิภาคแถบต่างๆของโลกเท่าที่ผ่านมา

เครื่องบินตรวจการณ์ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เมื่อเวลา 13.34 นาฬิกา ห่างจากเวลาที่จานบินทั้งสามปรากฏขึ้นบนจอเรดาห์เพียง 8 นาที  ซึ่งนักบินทั้งสองได้บินติดตามไป โดยการบอกทิศทางของเจ้าหน้าที่ประจำหอเรดาร์ที่ศูนย์ปฏิบัติการในเครื่องบินแต่ละลำ นอกจากนักบินแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ทางเทคนิคอีกสองคน  รวมเป็นสามคนด้วยกัน ในตอนแรกเครื่องบินทั้งสองขนานกันไปด้วยอัตราความเร็ว  520  กม. ต่อชั่วโมง  ซึ่งคิดว่าหากติดตามไปถูกทางก็จะทัน จานบินทั้งสามลำ  ภายในเวลาไม่กี่นาที จากการตรวจจับของเรดาร์เห็นชัดว่า จานบิน ทั้งสาม  ได้มุ่งไปสู่ทิศทางเดียวกับขั้วโลกเหนือด้วยอัตราความเร็วคงที่ตลอดเวลา  ไม่นานนักเครื่องบินตรวจการณ์ทันสมัยของกองทัพอากาศรัสเซียสองลำ  ก็ไล่ติดไป
จนเห็น จานบิน ทั้งสามอยู่เบื้องหน้าได้ชัดเจน  ในตอนนั้นแสงของมันเป็นสีส้มปนเทา   ลักษณะเหมือนนำจานสองใบมาคว่ำประกบเข้าด้วยกันไม่ผิดเพี้ยน   แต่ไม่มีส่วนใดทำให้มองเห็นเป็นรูปร่างของหน้าต่างหรือประตูตลอดทั้งลำเป็นสีเดียวกันหมด ซึ่งจะไม่ใช่โลหะชนิดใดที่มีปรากฏอยู่ในโลกของเราอย่างแน่นอน


ภาพจานบินที่มีผู้ถ่ายได้ที่แอนตาร์กติกเมื่อปี 2003

 
 

จากคุณ: Mr.Terran
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 23:50:57
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 24  

เครื่องบินตรวจการณ์ทั้งสองลำต่างส่งวิทยุบอกให้บินแยกออกจากกัน เพื่อประกบจานบินประหลาดสามลำนั้นและได้ส่งข่าวไปยังหอเรดาร์ว่าได้พบยานเรืองแสงทั้งสามลำนั้นแล้ว  แต่ปรากฏว่าเมื่อเครื่องบินตรวจการณ์ทั้งสองลำเร่งความเร็วแยกออกไล่กระหนาบทั้งสองข้าง จานบินทั้งสามกลับเปล่งแสงแรงจ้า   เป็นสีเหลืองอ่อนขึ้นมาทันใด และจากอัตราความเร็วเดิมประมาณ 280 กม. ต่อชั่วโมง   มันได้เร่งความเร็วขึ้นถึงกว่า 1,000  กม.ต่อชั่วโมง  ภายในเสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง  ซึ่งแน่นอนที่สุดการเร่งอัตราความเร็วเช่นนี้  ย่อมไม่มีเครื่องบินหรือยานอวกาศใดๆของชาวโลกสามารถจะทำได้

เครื่องบินตรวจการณ์ทั้งสองลำจึงได้เร่งความเร็วไล่ตามไปเช่นกัน เครื่องบินชนิดนี้ของรัสเซียเป็นเครื่องบินตรวจการณ์รุ่นใหม่ ที่มีความเร็วสูงสุดถึงสองเท่าครึ่งของความเร็วของเสียง แต่ไม่ว่านักบินทั้งสองจะพยายามอย่างไร จานบินทั้งสามลำนั้น ก็ยังบินหายลับไปเบื้องหน้าได้อย่างง่ายดายอยู่ดี แต่สำหรับหอเรดาร์ยังจับจานบินลึกลับทั้งสามลำนั้นได้อยู่ จึงสั่งให้นักบินทั้งสองลำทำการไล่ติดตามต่อไป แม้ว่าภาพที่ปรากฏอยู่บนจอเรดาร์จะเห็นได้ชัดว่า  จานบินกลุ่มนั้นหนีห่างออกไปทุกทีก็ตาม

และแล้วเมื่อเวลา 13.57 นาฬิกา จู่ๆจานบินลึกลับทั้งสามลำก็ได้หายไปจากจอเรดาร์พร้อมกัน เจ้าหน้าที่หอเรดาร์จึงแจ้งให้นักบินทั้งสองทราบ พร้อมกับสั่งให้บินติดตามต่อไปในทิศทางเดิม จนกระทั่งเมื่อเวลา 14.01 นาฬิกา  นักบินของเครื่องบินทั้งสองรู้สึกว่าเครื่องมือต่างๆของเครื่องบินต่างหยุดทำงาน เกวัดความเร็วตีกลับขณะที่เครื่องบินยังคงอยู่ในความเร็วเท่าเดิม  ดูเหมือนมีแต่เครื่องยนต์เท่านั้นที่ยังคงทำงานต่อไปเป็นปกติ  และสักครู่ต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคแจ้งว่า  เห็นจุดรอยแยกของน้ำแข็งเป็นวงกลม เบื้องหน้าจึงแจ้งให้นักบินทั้งสองลดความเร็ว  และลดระดับเพดานบินให้ต่ำลง  ทั้งๆที่เครื่องบอกความเร็วและเครื่องวัดระดับความสูงต่างไม่ทำงานทั้งคู่

สักครู่หนึ่งทั้งนักบินและเจ้าหน้าที่ทางเทคนิคบนเครื่องบินทั้งสองลำก็สามารถมองเห็นช่องน้ำแข็งอันเหมือนกับทะเลสาบเล็กๆ บนพื้นน้ำแข็งเหนือมหาสมุทรอย่างเห็นได้ชัด คำนวณความกว้างของเส้นผ่าศูนย์กลางของช่องที่มองเห็นน้ำทะเลสีเขียวครามอยู่เบื้องล่างประมาณ 1.5 กิโลเมตร ซึ่งนับว่าแปลกมากที่พื้นน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์คติกทางตอนเหนือในฤดูหนาว จะเกิดช่องน้ำแข็งขึ้นในลักษณะนั้นได้

ดังนั้นนักบินทั้งสองจึงได้ตรวจสอบจุดของรอยแยกนั้นบนแผนที่การบิน เพื่อจะนำไปรายงานให้คณะนักวิทยาศาสตร์ ที่ศูนย์การทดลองทราบต่อไป และขณะที่บินกลับนักบินทั้งสองต่างประหลาดใจอีกครั้งหนึ่งที่พอบินออกห่างจากรอยแยกของพื้นน้ำแข็งดังกล่าวได้ไม่นานนัก จู่ๆ เข็ม เครื่องวัดต่างๆ ก็ทำงานต่อไปเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อกลับมาถึงศูนย์ทดลอง เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคก็ได้นำภาพถ่ายจานบิน ทั้งสามลำพร้อมด้วยภาพถ่ายรอยแยกบนพื้นน้ำแข็ง  มอบให้กับคณะนักวิทยาศาสตร์ในหอทดลองแห่งนั้น หลังจากที่ได้ตรวจสอบจุดที่ตั้งของรอยแยกนั้นในแผนที่อย่างละเอียด พบว่ามันเป็นจุดเดียวกับที่จานบินทั้งสามลำได้หายไปจากจอเรดาร์นั่นเอง ทำให้ทุกคนต่างสงสัยว่าจานบินเหล่านั้น คงจะบินมุดหายไปใต้พื้นน้ำตรงจุดนั้นเป็นแน่ และถ้าหากว่าข้อสงสัยนี้เป็นจริง ก็ย่อมหมายความว่า จานบินเหล่านั้นจะต้องมีฐานที่พักของมันอยู่ใต้มหาสมุทรตรงนั้นเป็นแน่  ส่วนคำถามสำคัญที่เกิดขึ้นติดตามมาก็คือว่าหากวัตถุประหลาดหรือจานบินเหล่านั้น เป็นยานอวกาศจากนอกโลก มันพากันมาตั้งฐานพักใต้พื้นน้ำตรงบริเวณนั้นกันทำไม  หรือว่าอาณาบริเวณตรงนั้นเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกกับห้วงจักรวาลที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าเป็นจุดบอดของสนามแม่เหล็กโลก ที่ยานอวกาศจากโลกอื่น  สามารถลงจอดได้โดยไม่มีผลกระทบต่อระบบอันแตกต่างของมัน

ภาพถ่ายจานบินที่มีผู้ถ่ายได้ที่แอนตาร์กติก (ไม่ระบุปี)

 
 

จากคุณ: Mr.Terran
เขียนเมื่อ: 31 ส.ค. 52 23:59:40
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 25  

คณะนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียบนเกาะเซเวอร์นาย่าต่างตกลงกันว่าจะค้นหาความลับในเรื่องนี้ให้ได้ จึงได้ส่งรายงานและขอให้เครื่องบินตรวจการณ์ทั้งสองลำอยู่บนเกาะแห่งนั้น เพื่อใช้ในการค้นคว้าติดตามเรื่องนี้กันต่อไป และทุกๆ วัน เครื่องบินทั้งสองลำ จะออกบินวนเวียนไปยังรอยแยกของน้ำแข็งบนพื้นมหาสมุทรดังกล่าว โดยเชื่อว่าอาจจะได้พบเห็นฝูงจานบินขึ้นลงตรงจุดนั้นอย่างชัดๆกันสักครั้ง ซึ่งทั้งนี้นักบินและคณะนักวิทยาศาสตร์ต่างเชื่อว่ายานลึกลับเหล่านั้นจะไม่ทำอันตรายต่อเครื่องบินเป็นแน่ เพราะจากการไล่ติดตามที่ผ่านมา  แสดงว่า ผู้มากับจานบินลึกลับเหล่านั้นต่างรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกติดตาม จึงได้เร่งความเร็วหนีไป โดยไม่คิดที่จะทำอันตรายเครื่องบินทั้งสองลำแต่อย่างใด

ในวันที่ 3 ธันวาคม ซึ่งเป็นเวลาห่างจากการติดตามจานบินทั้งสามลำนั้นแปดวัน  นักบินทั้งสองก็ได้นำเครื่องบินออกตรวจการณ์ยังจุดที่มีรอยน้ำแข็งแยกออกตามปกติ โดยแบ่งเขตการตรวจสอบออกห่างกันคนละด้านและขณะที่เครื่องบินลำแรกบินอยู่ใกล้บริเวณรอยแยกของพื้นน้ำแข็ง เครื่องบินลำที่สองก็บินห่างออกไปทางทิศเหนือ  เพื่อทำการตรวจสอบว่ามีจุดผิดปกติอะไรบนพื้นน้ำแข็งบ้าง โดยที่นักบินทั้งสองลำได้พูดคุยติดต่อกันทางวิทยุตลอดเวลา

เมื่อเวลา 11.43 นาฬิกา นักบินของเครื่องบินลำที่สอง ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากเครื่องบินลำแรก ทางทิศเหนือประมาณ 120 กิโลเมตร ได้ยินเสียงนักบินของเครื่องบินลำที่หนึ่ง  บอกมาทางวิทยุว่า

"กลับมาที่รอยแยกบนพื้นน้ำแข็งโดยเร็ว  รู้สึกว่ามีแสงเรืองคล้ายกับแสงไฟอยู่ใต้น้ำ ผมจะบินวนอยู่ในบริเวณนี้ เพื่อให้ช่างของเราถ่ายภาพทั้งหมดเอาไว้"

เมื่อทราบดังนั้น นักบินของเครื่องบินตรวจการณ์เครื่องที่สอง ก็หันกลับมายังจุดที่เป็นรอยแยกของน้ำแข็งทันที ขณะเดียวกัน เขาก็ได้ยินนักบินของเครื่องที่หนึ่ง พูดมาทางวิทยุต่อไปว่า

" ขึ้นมาแล้ว จานบินที่เราเห็นเมื่ออาทิตย์ก่อน ขึ้นมาจากใต้น้ำตรงช่องแตกของน้ำแข็งนั่นเอง มันบินขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว มีลำอื่นๆติดตามมาอีกสี่ลำ รวมทั้งหมดห้าลำด้วยกัน มันบินไปรวมกันทางด้านตะวันออกเหนือจากพื้นน้ำแข็งประมาณ  40,000  ฟุต ช่างของเรากำลังถ่ายภาพมันไว้ทั้งหมด   ด้วยเทปบันทึกภาพ พวกมันหยุดอยู่กลางอากาศทุกลำ มัน.... "

นักบินของเครื่องบินตรวจการณ์ลำแรก พูดได้เพียงแค่นั้น เสียงก็หยุดหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่านักบินจากเครื่องบินตรวจการณ์เครื่องที่สอง จะสอบถามมาทางวิทยุอย่างไรก็ไม่มีคำตอบหลังจากนั้นอีกประมาณ 8 นาที เครื่องบินตรวจการณ์ลำที่สองก็มาถึงจุดอันเป็นรอยแยกของน้ำแข็ง ซึ่งนักบินเครื่องแรกบอกว่า มีจานบินโผล่ขึ้นมาเมื่อครู่ถึง 5 ลำด้วยกัน แต่ในขณะนั้นเขาพบแต่ความว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยใดๆ ของจานบินทั้ง 5 ลำ ดังกล่าว และไม่มีร่องรอยของเครื่องบินตรวจการณ์ เครื่องแรกอยู่ในบริเวณนั้นแต่อย่างใดเช่นเดียวกัน

เขานำเครื่องบินลงในระดับต่ำ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคทำการถ่ายบันทึกภาพ และตรวจสอบพื้นน้ำตรงแอ่งรอยแยกของน้ำแข็ง เครื่องวัดและเครื่องมือต่างๆ ของเครื่องบินต่างทำงานเป็นปกติ ไม่ได้หยุดไปเหมือนกับตอนที่เขาติดตาม "จานบิน" ลึกลับสามลำนั้นมาเมื่อแปดวันก่อน เขาบินวนเวียนและพยายามติดต่อทางวิทยุ ก็ไม่มีเสียงตอบจากนักบินเครื่องที่หนึ่ง  จึงได้ติดต่อแจ้งข่าวทางวิทยุล่วงหน้า ไปที่ศูนย์ปฏิบัติการบนเกาะเซเวอร์นาย่า  เมื่อได้รับคำสั่งจากที่นั่นให้เขาบินกลับศูนย์ปฏิบัติการ เขาก็ทำตามในทันที

มีความเชื่อว่าที่แอนตาร์กติกอาจจะมีฐานทัพจานบินอยู่

 
 

จากคุณ: Mr.Terran
เขียนเมื่อ: 1 ก.ย. 52 00:06:37
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 26  

man ... เข้ามาดู

จากคุณ: Mr. Fusion
เขียนเมื่อ: 1 ก.ย. 52 00:15:28
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 27  

ลุ้นๆ

จากคุณ: firefox (firefox1979)
เขียนเมื่อ: 1 ก.ย. 52 00:18:16
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 28  

ที่ศูนย์ปฏิบัติการ พนักงานเรดาห์ผู้ติดตามเครื่องบินตรวจการณ์ลำแรกอยู่ตลอดเวลาแจ้งให้ทราบว่าก่อนที่เครื่องบินตรวจการณ์ลำแรกนั้นจะหายไปจากจอเรดาห์  ปรากฏว่ามียานลึกลับรูปทรงกลม ปรากฏร่วมอยู่ในจออย่างทันทีทันใด 5 ลำด้วยกัน แต่แล้วสักครู่ ยานลึกลับ 5 ลำนี้ก็หายไปจากจอ พร้อมกับเครื่องบินตรวจการณ์เครื่องแรก และหลังจากนั้นก็ไม่ได้รับการติดต่อจากนักบินประจำเครื่องบินลำนั้นอีกเลย ไม่ทราบว่าเครื่องบินถูกทำลายหรือเกิดอุปัทวเหตุอย่างใดกันแน่

ก่อนที่จะปฏิบัติการใดๆ ต่อไป หัวหน้าศูนย์ทดลองได้แจ้งเรื่องนี้ไปยังฐานทัพอากาศที่เมืองไคเมียร์ทางตอนเหนือของรัสเซีย เพื่อให้ส่งเรื่องต่อไปยังมอสโคว์ ขณะเดียวกัน ทางฐานทัพอากาศที่เมืองไคเมียร์ ก็ได้ส่งเครื่องบินตรวจการณ์ชนิดเดียวกันมายังเกาะเซเวอร์นาย่าอีก 4 ลำด้วยกัน เพื่อทำการค้นหาเครื่องบินลำที่หายไป และตรวจสอบเรื่องนี้ให้แน่ชัดว่าเป็นอะไรกันแน่ ต่อจากนั้นอีกสองวัน เครื่องบินที่ส่งมาใหม่รวมทั้งเครื่องเก่าอีกหนึ่งลำ ก็ได้ทำการบินตรวจหาซากเครื่องบินตรวจการณ์ที่หายสาบสูญไปอย่างละเอียด  แต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ ที่แสดงว่าเครื่องบินดังกล่าวประสบอุปัทวเหตุตกลงพื้นน้ำแข็งแม้แต่น้อยและที่ประหลาดยิ่งกว่านั้นรอยแยกของน้ำแข็งที่เหมือนกับทะเลสาบเล็กๆ ซึ่งมีความกว้างถึง 1 – 5 กิโลเมตร  ที่ปรากฏให้เห็นอยู่หลายวันก่อน  และเป็นที่ซึ่งนักบินบนเครื่องบินที่หายไปบอกว่าเป็นจุดที่จานบินห้าลำโผล่ขึ้นมาได้ถูกน้ำแข็งปกคลุมอย่างไม่มีร่องรอยอีกต่อไป

คณะนักวิทยาศาสตร์บนเกาะเซเวอร์นาย่าได้สั่งให้ทำการค้นหาเครื่องบินที่หายได้อีกหลายวัน แต่ก็ไม่พบสิ่งใดอันเป็นการแสดงถึงอุปัทวเหตุของเครื่องบินลำนั้นได้ ส่วนการปรากฏของยานลึกลับเรืองแสง ที่เชื่อกันว่าเป็น "จานบิน" ก็ได้หยุดไปโดยไม่มีใครพบเห็นอีก ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์ดังกล่าว ได้ให้ข้อสันนิษฐานสรุปเหตุการณ์นั้นว่า บริเวณของมหาสมุทรอาร์คติกทางตอนเหนือของเกาะเซเวอร์นาย่านั้น คงจะเป็นจุดๆหนึ่งบนพื้นโลกซึ่งเป็นจุดบอดของสนามแม่เหล็กโลกที่เรียกว่าจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกกับห้วงจักรวาล และตรงนี้เองที่เป็นจุดๆหนึ่งซึ่งสิ่งที่เชื่อว่าเป็นยานอวกาศจากโลกอื่น ใช้เป็นจุดติดต่อในการลงบนพื้นโลก แต่ทำไมจานบินเหล่านั้นจึงต้องลงสู่พื้นน้ำใต้มหาสมุทร เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์จำเป็นจะต้องค้นคว้า และตรวจสอบกันต่อไป

เป็นที่น่าเสียดายว่า ในสหภาพโซเวียตไม่มีการเสนอข่าวปรากฏการณ์ต่างๆของจานบินกันอย่างน่าตื่นเต้นเท่ากับในประเทศตะวันตก ดังนั้นเรื่องราวดังกล่าวนี้จึงรู้จำกัดกันเฉพาะในวงผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่อย่างไรก็ดี รัฐบาลโซเวียตให้ความสนใจกับเรื่องราวของยานอวกาศจากนอกโลกไม่น้อยไปกว่าสหรัฐอเมริกาหรือชาติอื่นๆ เช่นเดียวกัน  และหลังจากเกิดการหายสาบสูญของเครื่องบินตรวจการณ์ในบริเวณดังกล่าวอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ทางรัฐบาลโซเวียตได้สั่งให้มีการตรวจสอบพื้นมหาสมุทรในบริเวณนั้นทันที  แต่เพราะเหตุที่การปฏิบัติการดังกล่าว กระทำได้เฉพาะในฤดูร้อนและท้องมหาสมุทรตรงช่องนั้นก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีความลึกเกินกว่า  4  กิโลเมตร ดังนั้นจำเป็นจะต้องใช้เวลากันไม่น้อย กว่าเราจะได้รู้ว่ามีอะไรอยู่ใต้พื้นน้ำของบริเวณนั้นกันแน่

ที่มา en.wikipedia.org/wiki/Vostok_Station
www.antarcticconnection.com
en.wikipedia.org/wiki/Hyperborea
www.nasaimages.org
www.thaissf.org
www.dailyworldtoday.com /ศิลป์ อิสเรศ
www.thaisamkok.com/forum/index.php?showtopic=10401
www.thairath.co.th
th.wikipedia.org/wiki/ต่วย'ตูน
writer.dek-d.com/love_2/story/viewlongc.php?id=74471&chapter=4


สําหรับวันนี้ก็ลาไปก่อนครับ นิทราราตรีสวัสดิ์
ลาไปด้วยภาพเพนกวินแห่งแอนตาร์กติกก้าครับ
ลาไปก่อนครับ ลาไปแล้วครับ สวัสดีครับ.Terran

 
 

จากคุณ: Mr.Terran
เขียนเมื่อ: 1 ก.ย. 52 00:24:34
ถูกใจ: NuyPond, ReNaris, ยุหะ, blossmoed

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 29  

กด F5  รออ่านอยู่นะครับท่าน
ขอบคุณครับ  สำหรับบทความ

จากคุณ: NuyPond
เขียนเมื่อ: 1 ก.ย. 52 00:25:43
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 30  

ยักษ์คู่ .. เข้ามาดม

จากคุณ: doralie6e
เขียนเมื่อ: 1 ก.ย. 52 00:25:57
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 31  

จบซะแล้ว

ขอบคุณสำหรับบทความคับผม

จากคุณ: แค่เนี้ยต้องให้บอก
เขียนเมื่อ: 1 ก.ย. 52 00:28:01
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 32  

รอดู ด้วย แง้วๆ ^^!!

จากคุณ: น้ำยาล้างความรู้สึก pU2e~
เขียนเมื่อ: 1 ก.ย. 52 00:35:05 A:115.67.142.97 X: TicketID:227671
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 33  

ขอบคุณมากครับ

จากคุณ: DON'T CARE NEVER DIE
เขียนเมื่อ: 1 ก.ย. 52 00:41:13
  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 34  

Deception Point เลยอะ....

 
 

จากคุณ: Arccyber2004
เขียนเมื่อ: 1 ก.ย. 52 00:42:59
  

 
 
 

อ้างอิง

http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X8268410/X8268410.html