วิวัฒนาการการสัญจรจากแรงคนสู่เครื่องยนต์นาม “โพถ้อง” วิวัฒนาการสัญจรไปมาของคนภูเก็ตในยุคเริ่มแรกของการสัญจรทางบกด้วยการใช้ช้างเป็นพาหนะ เมื่อมีการลากจูงจะใช้สัตว์ลาก เช่น ใช้ม้าลากเรียกว่า "แบ้เชี้ย”(รถม้า) ใช้ควายหรือวัวลากเรียก "หงูเชี้ย” และการใช้คนลากคือ "หล่างเชี้ย”
ปี พ.ศ. ๒๔๙๐-๒๕๑๐ ยังมีการใช้เชี้ย(เกวียน)เทียมวัวและควายให้เห็นอยู่ เชี้ยของภูเก็ตไม่สวยงามเท่าของภาคเหนือและภาคอีสาน แต่มีความทนทานในการใช้งานเพื่อการบรรทุกสิ่งของในการทำนาเช่นบรรทุกกล้า ข้าวเปลือก รวงข้าว ข้าวสารถุง ไม้ฟืน ไม่นิยมใช้โดยสารเพราะชาวภูเก็ตนิยมใช้รถโพถ้อง ส่วนแบ๊เชี้ยใช้ในเมืองภูเก็ตระหว่างบ้านบางเหนียวไปยังบันซ้านใกล้วัดขจรรังสรรค์ ไปสิ้นสุดที่เฉี่ยโบ้ย (ห่างหลังอ๊ามจุ้ยตุ่ยประมาณ ๑๐๐ เมตร) ถนนหนทางเดิมเป็นหลุมเป็นบ่อโคลน พระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯได้ขอให้นายหัวเหมืองช่วยสร้างเสริมถนนให้รถยนต์รุ่นแรกใช้ในภูเก็ต นายหัวเหมืองได้นำขี้กราง (ตะกรันจากการถลุงแร่ดีบุกในโรงกลวง ยังมีแทนทาลั่มมูลค่าราคาสูงปนอยู่) ถมถนนในเมืองทุ่งคา โดยจงใจให้เป็นถนนชั้นดี แต่บังเอิญที่มีแทนทาลั่มราคาสูงยิ่งกว่าทองถมเป็นถนนเมืองภูเก็ตให้มีค่ายิ่งกว่าถนนในตัวเมืองใด ๆ
สมเด็จฯพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมารทรงพระราชทานนามถนนสายแรกว่า ถนนเทพกระษัตรี เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๔๕๒ วันถัดไปทรงเปิดถนน ๒ สายได้พระราชทานนามว่า ถนนภูเก็จ (ใช้ตรงกับที่ทรงบันทึกในพระราชหัตถเลขา) และถนนวิชิตสงครามเชื่อมต่อไปถึงเมืองภูเก็ตเก่าที่บ้านเก็ตโฮ่ – ในทู - ทุ่งทอง เมื่อภูเก็ตมีถนนจึงสะดวกที่จะสัญจรด้วยรถยนต์ทั้งรถส่วนตัวเป็นรถเก๋งและรถบรรทุกขนาดเล็กกับขนาดกลางเรียกรถลอรี่ ช่างได้พัฒนารถลอรี่ให้มีหลังคาจึงได้กลายเป็นรถโพถ้อง ส่วนหล่างเชี้ยก็ลดจำนวนลง แต่ใช้รถถีบสามล้อพ่วงข้างซ้ายเพิ่มมากขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน นายหัวรถชาวภูเก็ตจึงสร้างรถโพถ้องเพิ่มขึ้นเพื่อรับส่งผู้โดยสารเข้าเมืองทุ่งคา โดยรถประเภทนี้ได้ขนส่งทางเรือผ่านต่อมาจากปีนังซึ่งมีเพียงตัวถังที่เป็นเหล็กและมีล้อให้ขับเคลื่อนที่ได้เองเพราะยังไม่มีรถบรรทุกขนาดใหญ่บรรทุกดังปัจจุบัน ส่วนประกอบเหนือตัวถังเหล็กเป็นไม้ปูพื้น มีเสาไม้เป็นโครงขึ้นไปถึงหลังคา ทางขึ้นลงเป็นบันไดอยู่ด้านหลัง ใช้ไม้กระดานแผ่นใหญ่และหนาเป็นที่นั่ง๒ แผ่นขนานไปกับตัวรถซึ่งอยู่เหนือล้อหลังไปจรดแนวหลังคนขับ ช่างได้สร้างเสริมม้านั่งยาวสูงเท่าที่นั่งถาวรวางไว้กลางรถ ทำให้มีที่นั่งเพิ่มมากขึ้น ใช้พลาสติกผืนใหญ่ม้วนติดข้างรถไว้คลี่ออกกันฝน ช่างที่มีความสามารถได้ประดิษฐ์ไม้เสริมตกแต่งรถโพถ้อง เพิ่มความสวยงามในภาพรวมให้เป็นอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น เป็นยานพาหนะที่ได้รับใช้ปวงชนขับเคลื่อนวิถีชีวิต สืบต่อถ่ายทอดวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่นมาเป็นเวลาเกือบ ๑๐๐ ปี ผู้มาเยือนภูเก็ตมีโอกาสสัมผัสเสน่ห์รถโพถ้องด้วยความประทับจิตตราบกาลนิรันดร
หมายเหตุ ภูเก็ตมีคำยืมจีนฮกเกี้ยน พัฒนาเสียงกลายพันธุ์มาเป็นภาษาถิ่นภูเก็ต เสียงจึงไม่เหมือนกับคำจีนฮกเกี้ยนในแผ่นดินพญามังกรต้นฉบับ ชาวอำเภอถลางออกเสียงคำยืมจีนฮกเกี้ยนแตกต่างไปจากชาวในทู และทั้ง ชาวในทูและชาวถลางก็ออกเสียงคำเดียวกันไม่เหมือนกับชาวทุ่งคา ทั้งชาวทุ่งคา – ชาวในทู – ชาวถลาง ก็ออกเสียงต่างกับภาษาถิ่นใต้อื่น ๆ เพิ่มเข้ามาอีก เช่น ปู่ - สะดือ - ดี – เช็ด - ปู ชาวใต้อื่นออกเสียงเป็น โป – ดือ – ดี – เฉ็ด - ปู แต่ชาวภูเก็ตออกเสียง ปูว – ดีย – ดีย – แฉ็ด - ปูว การเขียนรูปแบบคำที่นิยมกันคือพยายามให้ใกล้เคียงกับเสียงต้นแบบในแต่ละท้องถิ่นที่ใช้อยู่ แต่เพราะภาษาถิ่นภูเก็ตมีระดับเสียง(วรรณยุกต์) ๘ ระดับ มากกว่าภาษากลาง ๓ ระดับ เช่นคำที่หมายถึง นา ป่า ป้า จะไม่สามารถใช้รูปแบบวรรณยุกต์ที่มีใช้อยู่กำกับคำให้ตรงระดับเสียงได้ จำเป็นต้องเขียน นา ป่า ป้า ตามรูปแบบคำภาษาไทยมาตรฐาน รูปแบบอักษรภาษาไทย ก ข ค ง ... อ ฮ อักษรหลายตัวมีเสียงเดียวกัน เช่นเสียง ขอ-คอ มีกลุ่มอักษรที่แทนเสียง ขอ-คอ ได้คือ ข ฃ ค ฅ ฆ (นิยมใช้ ข กับ ค), เสียง พอ มีกลุ่มอักษร พ ภ ผ (นิยมใช้ พ กับ ผ), เสียง ถอ-ทอ มีกลุ่มอักษร ฐ ฑ ฒ ถ ท ธ (นิยมใช้ ท กับ ถ) คำ “โพ - ถ้อง” มีปัญหาในการเขียนรูปแบบคำทั้งพยางค์หน้าและพยางค์หลัง พยางค์หน้าเคยมีใช้เป็น โพ โพ้ โป พ้อ ยังไม่ยุติว่าจะเขียนรูปแบบใด พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ภูเก็ตกำหนดใช้ โป; พยางค์หลังมีใช้เป็น ท้อง กับ ถ้อง รูปแบบคำและเสียงตรงกับเสียง ท้อง พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ภูเก็ตจึงตัดสินใจใช้ โปท้อง ส่วน อบจ.ภูเก็ต ใช้ โพถ้อง สมหมาย ปิ่นพุทธศิลป์
ปรับปรุงคำพอให้ได้มีความ ๙ กันยายน ๒๕๕๓ |