Skip to content

Phuketdata

default color
Home arrow Search
เผาฝิ่น PDF พิมพ์ อีเมล์
เขียนโดย ปาณิศรา ชูผล มทศ.   
จันทร์, 05 กรกฎาคม 2010

เผาฝิ่น

คมชัดลึก : ในยุคหนึ่งที่มีการนิยมแปลงเพลงดังๆ ทั้งสากลและไทยให้มีเนื้อหาขบขันหรือเสียดสี การแปลงก็มีทั้งแปลงคำร้อง หรือเลียนเสียงโดยไม่คำนึงถึงเนื้อหาที่แท้จริง อย่างเพลง เดย์-โอ ของ แฮร์รี่ เบลาฟอนเต ก็กลายมาเป็นเพลงแดดออก เพลง แดท’ส อะมอเร่ ของ ดีน มาร์ติน ก็เป็นเพลง เดท สะมอเร่ และทำให้คำนี้ฮิตติดปากผู้คนไปพักใหญ่ ทั้งๆ ที่คำนี้ตามความหมายในเพลงของ ดีน มาร์ติน หมายถึง ‘ความรัก’ แต่พอถึงเมืองไทยกลายเป็น ‘ความตาย’ ไปได้ ก็ด้วยอิทธิพลของเพลงแปลงนี่แหละครับ

 

ในส่วนของเพลงไทยนั้นมีอยู่มากมายหลายเพลงด้วยกัน มีเพลงแสนแสบ ก็มีเพลงแสนเข็ด มีท่าฉลอม ก็มีท่าแฉลบ เป็นต้น แต่ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นก็คือมีเพลงแปลงบางเพลงที่ดังใกล้เคียงกับเพลงต้นฉบับ เช่นเพลงกระท่อมกัญชา ที่แปลงมาจากเพลงกระท่อมไพรวัลย์ รวมทั้งเพลงหยาดน้ำสังข์ หยดน้ำตา ก็ถูกหยิบยืมทำนองมาแปลงเป็นเพลงเพลงหนึ่ง ซึ่งผมจำชื่อเพลงไม่ได้ แต่มีเนื้อร้องท่อนหนึ่งว่า “สามสิบเป็นวันเผาบ้อง ขี้ยาหม่นหมองอย่างเหลือคณา”

 สามสิบที่อยู่ในเพลงนี้ ก็คือวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2502 อันเป็นวันที่มีการเผาฝิ่นและอุปกรณ์การสูบฝิ่นครั้งใหญ่ที่สนามหลวง ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ฝิ่นนั้นเข้ามาสู่เมืองไทยตั้งแต่ปลายสมัยสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา แต่ก็แพร่หลายอยู่ในหมู่ชาวจีนซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก แต่ถึงกระนั้นพระเจ้าอู่ทองก็ทรงมีพระอัยการอาญาหลวง ห้ามข้าราชการดื่มสุรา สูบฝิ่น และเที่ยวกลางคืน ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษเท่ากับเป็นกบฏต่อแผ่นดิน นอกจากนี้ยังทรงมีพระอัยการลักษณะโจรลงโทษผู้เสพและผู้ขายฝิ่นอย่างรุนแรง

 ในสมัยกรุงธนบุรี ร.อ.ฟรานซิล ไลท์ หรือพระยาราชกปิตัน ซึ่งมาเช่าเกาะปีนังซึ่งเวลานั้นเป็นของไทยให้แก่บริษัทอีสต์ อินเดีย ของอังกฤษ ได้นำฝิ่นมาแลกกับดีบุกที่ภูเก็ต จนทำให้เกาะปีนังกลายเป็นศูนย์กลางการค้าฝิ่นในเวลาต่อมา เมื่อ เฮนรี่ เบอร์นี่ เข้ามาทำสนธิสัญญาค้าระหว่างไทยกับอังกฤษนั้น ในสนธิสัญญาได้ระบุข้อห้ามไม่ให้อังกฤษนำฝิ่นเข้ามาขายในประเทศไทยไว้ด้วย

 ฝิ่นได้เป็นปัญหาสำคัญของไทยมาตั้งแต่การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงมีประกาศห้ามปรามราษฎรไม่ให้สูบฝิ่น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ทรงตรากฎหมายห้ามมิให้ซื้อฝิ่น ขายฝิ่น สูบฝิ่น รวมทั้งได้ทรงออกพระราชบัญญัติห้ามสูบฝิ่นตามมาอีกฉบับหนึ่ง เนื่องจากพวกเรือสินค้ามีการลักลอบนำฝิ่นเข้ามาในพระราชอาณาจักร

 ล่วงมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเข้มงวดเรื่องการเสพฝิ่น และทรงกวดขันการปราบปรามอย่างจริงจัง ตั้งแต่การตรวจค้นเรือของพ่อค้าเจ้าภาษีชาวจีน หากพบก็ให้เผาทิ้งและเรียกเจ้าภาษีมาทำสัตย์ปฏิญาณว่าจะเลิกซื้อขายฝิ่น ทรงส่งเจ้าพนักงานออกไปตรวจจับฝิ่นตามหัวเมืองชายทะเล ทั้งภาคตะวันออกและภาคใต้ ได้ฝิ่นรวมแล้วเกือบ 2.6 แสนกิโลกรัม โปรดเกล้าฯ ให้เผาทำลายฝิ่นทิ้งทั้งหมด แล้วนำกลักฝิ่นซึ่งเป็นโลหะมาหล่อเป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก 4 ศอกเศษ องค์หนึ่ง ชาวบ้านเรียกกันว่าพระกลักฝิ่น ต่อมาทรงพระราชทานนามว่าพระพุทธเศรษฐมุนี ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ วัดสุทัศน์เทพวราราม

 การเผาฝิ่นครั้งใหญ่ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อ 51 ปีก่อน น่าจะเป็นการเผาทำลายฝิ่นที่มีจำนวนมากอีกครั้งหนึ่งที่ได้รับการบันทึกไว้ แต่แม้ว่าการเสพฝิ่นจะหายไปจากประเทศไทย แต่ยาเสพติดในรูปแบบใหม่ๆ ก็ยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแปรรูปหรือแปลงร่างจากฝิ่นอย่างมอร์ฟีนและเฮโรอีน จนถึงยาเสพติดที่ผลิตจากสารเคมี เช่น ยาไอซ์ ยาอี และยาบ้าในปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นภัยที่ร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง รวมไปถึงอนาคตของบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง 

 

อ้างอิง

http://www.norsorpor.com/ข่าว/n2083726/เผาฝิ่น

 
< ก่อนหน้า   ถัดไป >

สมุดภาพเหมืองแร่

Counter

mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterวันนี้1786
mod_vvisit_counterเมื่อวาน1238
mod_vvisit_counterทั้งหมด10733743