Skip to content

Phuketdata

default color
Home arrow Search
เจ้าแม่กวนอิมตำนาน PDF พิมพ์ อีเมล์
เขียนโดย ปาณิศรา ชูผล มทศ.   
อังคาร, 08 กันยายน 2009
ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

ตอนที่ ๑
กำเนิดพระธิดาเมี่ยวซ่าน


"พระโพธิสัตว์แห่งความการุณย์ ทรงมีวงพักตร์งดงามละมุนเปี่ยมเมตตา
พระเกศาดำขลับดุจเมฆยามรติกาล พระฉวีผุดผ่องบริสุทธิ์ยิ่งกว่างาช้าง
พระเนตรงามกว่านัยน์ตาของสตรีใดในโลก
พัสตราภรณ์เครื่องทรงสีขาวสกาวแสงราวสายฟ้า พระหัตถ์ซ้ายทรงแจกันหยกขาวเปี่ยมน้ำทิพย์แห่งความกรุณา พระหัตถ์ขวาทรงกิ่งหลิว
พระกรรณคอยสดับฟังเสียงร่ำร้องทุกขเวทนาของสัตว์โลก
พระเมตตายิ่งใหญ่เป็นที่ประจักษ์แก่เรา
สมพระนามพระมหาโพธิสัตว์กวนอิมอวโลกิเตศวร"

เจ้าแม่กวนอิม
ผู้ทรงสดับเสียงทุกขเวทนาของของสัตว์โลก
อารัมภบท

เมื่อพุทธศาสนาแผ่หลักธรรมมาถึงประเทศจีน ทุกคนต่างแสวงหาหนทางหลุดพ้นจากวัฏสงสาร หากแต่สตรีที่มีความกตัญญูสูงส่งผู้หนึ่งยอมละทิ้งอิสริยยศแห่งเจ้าหญิง ออกบวชเพื่อแสวงหาธรรมอันประเสริฐ เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ พร้อมการผจญภัยอันยิ่งใหญ่สู่เทือกเขาหนาวเหน็บ จนสำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์ผู้สดับฟังเสียงทุกข์สุขของสัตว์โลกดังพระนาม "กวนซีอิมพู่สัก"





















































ตอนที่ ๑
กำเนิดพระธิดาเมี่ยวซ่าน

ในสมัยราชวงศ์โจวปีสุดท้าย แผ่นดินจีนนองเลือดด้วยภัยสงครามจากการปราบปรามอาณาจักรใหญ่น้อย สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนทุกหย่อมหญ้า เหตุด้วยจักรวรรดิจีนต้องการรวมอำนาจให้เป็นหนึ่งเดียว


หากแต่ไกลออกไปทางทิศตะวันตกนับหมื่นลี้ ข้ามอาณาเขตแห่งขุนเขาซีมี่ซานอันเยือกเย็น ปกคลุมไปด้วยหิมะชั่วตาปี กลับมีอาณาจักรอันเจริญรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่นามว่า อาณาจักรซิงหลิง ดำรงอยู่อย่างสันติและเป็นสุขมานานนับร้อยปี

ในรัชสมัยของพระเจ้าเมี่ยงจวง ผู้ทรงปรีชาสามารถด้านการสงคราม และจัดการระบอบเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ประชาชนภายใต้การปกครองของพระองค์นับแสนคนจึงอยู่ดีกินดี และใฝ่ในทางสันติธรรม พระเจ้าเมี่ยงจวงทรงมีพระมเหสีพระนามว่า พระนางเป้าเต๋อ ผู้งดงามและชาญฉลาด แต่ทว่าทั้งสองพระองค์มีเพียงสองพระธิดาที่งามดั่งนางฟ้าองค์น้อย ๆ พระนามว่า เมี่ยวอิม และ เมี่ยวเวี๋ยน จึงสร้างความกังวลให้กับพระเจ้าเมี่ยงจวงในยามพระชนมายุกว่า ๖๐ พรรษา ผู้ไร้พระโอรสสืบทอดราชบัลลังก์อย่างยิ่ง


คืนหนึ่งพระนางเป้าเต๋อสุบินว่า ทรงตื่นขึ้นกลางทะเลกว้างเวิ้งว้าง เกลียวคลื่นมหึมาซัดสาดอย่างน่ากลัว ฉับพลันก็เกิดเสียงดังสนั่นก้องทั่วท้องทะเล พร้อมดอกบัวทองพุ่งขึ้นมาลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ขนาดของดอกบัวค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นสูงเสียดฟ้า รัศมีสีทองเจิดจ้าจนพระนางต้องหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่ามีภูเขาสูงลิบโผล่ขึ้นมาแทน


บนยอดเขามีเจดีย์เจ็ดยอดพร้อมแก้วมณีส่องรัศมีไกลหมื่นลี้ประดิษฐานอยู่บนยอดสูงสุด บนฟ้าปรากฎหมู่กระเรียนและมังกรบินพาดผ่าน แก้วมณีบนยอดเจดีย์นั้นค่อย ๆ ลองตรงเข้ามาตกสู่อ้อมอกของพระนางพอดี หากแต่เมื่อจะคว้าไว้ดวงมณีนั้นก็ลอยหายไป พระนางวิ่งไล่ตามอย่างไม่คิดชีวิต จนกระทั่งสะดุ้งองค์ตื่นขึ้น





พระนางเป้าเต๋อเล่าสุบินนิมิตให้พระเจ้าเมี่ยงจวงฟัง พระองค์ก็เกษมสำราญยิ่งนัก ตรัสว่า "สุบินของน้องหมายถึงพระพุทธศาสนาจักแผ่ไพศาลด้วยผู้มีบุญบารมีจะมาจุติในครรภ์ ซึ่งต้องเป็นพระโอรสอย่างแน่นอน" ครั้นแล้วพระเจ้าเมี่ยวจวงได้ทรงประกาศจัดงานเฉลิมฉลองอย่างมโหฬาร หลังจากนั้นไม่นานพระนางเป้าเต๋อก็ทรงพระครรภ์สมพระทัย ปรากฎอาการแพ้ครรภ์ก็คือ จะทรงเสวยเนื้อสัตว์รวมทั้งผักที่มีกลิ่นเหม็นฉุนชนิดใดมิได้เลย ทั้งที่ยามปกติจะทรงโปรดอาหารประเภทเนื้อเป็นที่สุดก็ตาม เมื่อฝืนเสวยก็จะทรงอาเจียนออกหมด หมอหลวงตรวจแล้วก็ว่าเป็นอาการของหญิงแพ้ท้องตามปกติ ไม่มีใครรู้สึกผิดแปลกถึงความมหัศจรรย์อันสุดวิเศษภายในพระครรภ์ของพระองค์ยามนี้เลย

เหมันตฤดูผ่านไป วสันตฤดูอันชุ่มชื่นเข้ามาเยือนแทนที่ พร้อมพระครรภ์แก่ใกล้กำหนดประสูติ ครั้นถึง วันที่ ๑๙ เดือน ๒ นางสนมในตำหนักพระนางเป้าเต๋อได้วิ่งมาทูลพระเจ้าเมี่ยวจวงว่า "พระมเหสีประสูติพระธิดาแล้วเพคะ ขอพระราชทานนามเพคะ" พระเจ้าเมี่ยงจวงทรงนิ่งอึ้ง รำพึงอย่างลืมองค์ว่า "ลูกสาวอีกแล้วรึ...พระมเหสีอาการเป็นอย่างไรบ้าง" นางสนมจึงทูลว่า "พระพลานามัยสมบูรณ์ทั้งคู่เพคะ หากเวลาประสูตินั้น นกนานาชนิดส่งเสียงร้องขับขานดั่งดนตรี มีกลิ่นหอมประหลาดอบอวลไปทั่วตำหนัก มวลดอกไม้สดชื่นแจ่มใสกว่าที่เคย และพระธิดามีกระแสเสียงก้องกังวาลกว่าทารกธรรมดาเพคะ" พระเจ้าเมี่ยงจวงฟังแล้วก็ทราบว่าพระธิดาสามต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการใหญ่หลวงเป็นแน่ จึงทรงตรัสว่า "ให้ชื่อว่า เมี่ยวซ่าน อันหมายถึง ความดีอันวิเศษยอดยิ่ง !"

จบตอนที่ ๑
ติดต่อต่อ ตอนที่ ๒ นักพรตเฒ่าลึกลับ

__________________
นู๋ Beee เองค่ะ
http://beee.bloggang.com

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Beee_bu : 28-04-2009 เมื่อ 12:00 PM เหตุผล: update หัวชื่อ แจ้งตอนใหม่
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
sponsor links
เก่า 14-03-2009, 05:38 PM   #2
สมาชิก

วันที่สมัคร: Aug 2007
อายุ: 31
ข้อความ: 42
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 65
ได้รับอนุโมทนา 166 ครั้ง ใน 39 โพส
พลังการให้คะแนน: 0
Beee_bu is on a distinguished road

ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๒ นักพรตเฒ่าลึกลับ



ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

ตอนที่ ๒
นักพรตเฒ่าลึกลับ


ครั้นบรรดาพสกนิกรทราบว่า อาณาจักรซิงหลิงได้พระธิดาองค์ที่สาม ต่างประดับประดาโคมประทีปหลากสีเฉลิมฉลองเป็นการใหญ่ ทุกบ้านตีฆ้อง กลอง เต้นรำรื่นเริงราวกับได้โอรสแห่งแผ่นดินกระนั้น ส่วนในพระราชวัง พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงจัดงานฉลองเหล่าเสนาอำมาตย์ถึง ๓ วัน ๓ คืน เอิกเกริกไม่แพ้กัน

เมื่อพระเจ้าเมี่ยวจวงรับสั่งให้พระพี่เลี้ยงนำพระธิดาเข้ามายังท้องพระโรง เพื่อให้เหล่าอำมาตย์ได้ถวายพระพร พระธิดาน้อยซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะงอแงมาก่อนเลยได้กรรแสงขึ้นเสียงดังลั่นท้องพระโรง สะกดให้ทุกคนหยุดนิ่งอย่างแปลกใจ และไม่ว่าพระพี่เลี้ยงจะให้นมก็มิทรงหยุดร้องได้เลย

ขณะเดียวกันทหารผู้หนึ่งได้นำทางนักพรตชราท่าทางมิใช่นักพรตสามัญมาเข้าเฝ้าถวายพระพร พระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสถามว่า "ท่านนักพรตชื่อแซ่ว่ากระไร เหตุใดจึงมาถึงที่นี่ได้" นักพรตเฒ่าทูลว่า "เฒ่าเขลาผู้นี้มิมีชื่อแซ่ หากมีจุดประสงค์หนึ่งเดียวคือ มาเพื่อทูลให้ทรงทราบว่า พระธิดาเมี่ยวซ่านเป็นภาคหนึ่งของพระโพธิสัตว์ผู้เมตตามาโปรดสัตว์โลกให้พ้นจากกิเลส พระธิดาน้อยจักโตขึ้นเป็นหน่อเนื้อพุทธวงศ์กษัตริย์แห่งอาณาจักร" พระเจ้าเมี่ยวจวงฟังแล้วหัวเราะลั่นท้องพระโรง "ฮ่า ๆ นักพรตเฒ่าช่างโป้ปด เหตุไฉนพระโพธิสัตว์จึงแบ่งภาคมาเป็นหญิงมิใช่ชายเล่า แล้วซิงหลิงเป็นอาณาจักรเล็กเท่าธุลีจะมาโปรดสัตว์ที่นี่เพื่ออะไร หากท่านต้องการพิสูจน์ว่าเรื่องที่กล่าวมาเป็นเรื่องจริง ก็จงทำให้ลูกสาวเราหยุดร้องไห้ ท่านจะทำได้หรือไม่"

นักพรตเฒ่าจึงว่า "เหตุที่พระธิดากรรแสงนั้นเพราะทรงแผ่เมตตาประทานแก่เหล่าวัว ควาย หมู เป็ด ไก่ กุ้ง หอย ปู ปลา บนโต๊ะอาหารที่ถูกประหารชีวิตสังเวยแก่ปากท้องมนุษย์...เฒ่าเขลาผู้นี้จักสาธยายคุณพระแก่พระธิดาน้อยให้หยุดกรรแสงเอง" นักพรตตรงเข้าหาพระธิดา ใช้มือลูบพระพักตร์และกล่าวว่า อย่าร้อง เพราะจิตจะหม่นหมอง ท่านคือพระผู้มาโปรด ชาวโลกล้วนศรัทธาท่าน จงก้าวพ้นภัยอันยิ่งใหญ่ด้วยญาณและคุณความดี พระธิดาน้อยหยุดกรรแสงเพื่อสดับธรรมตั้งแต่คำแรก ตาจับจ้องอยู่ที่นักพรตเฒ่าไม่กระพริบดั่งเข้าใจมนต์บทนั้น พระเจ้าเมี่ยวจวงและบรรดาเสนาอำมาตย์ต่างตกตะลึงประหลาดใจ

หลังจากนักพรตเฒ่ากล่าวอำลาพระเจ้าเมี่ยวจวงและจากไปพร้อมสายลมประหลาด กิริยายามเดินก็รวดเร็วดุจเหินต่างจากชายชราทั่วไป พระเจ้าเมี่ยวจวงเข้าพระทัยทันทีว่านักพรตเฒ่าเป็นผู้วิเศษจึงสั่งทหารตามไปเชิญกลับมา แต่ทว่ากำลังทหารองครักษ์ค้นหาเท่าไรก็ไม่พบร่องรอยของนักพรตแม้แต่เงา อำมาตย์ฝ่ายซ้ายนาม อานาลั๋ว ผู้ฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนาจึงกราบทูลว่า "หม่อมฉันเห็นว่าแม้เราจะใช้กำลังติดตามไปก็ย่อมไม่พบนักพรตผู้นั้น เมื่อท่านมิใคร่ต้องการให้ผู้ใดพบอีก ยิ่งได้ฟังมนต์ของท่านนักพรตจนพระธิดาหยุดกรรแสงนั้น แสดงว่านักพรตท่านนั้นคงเป็นพระอรหันต์สาวกจำแลงกายมา !"

เส้นทางสายไหม

ข่าวการปรากฏกายและหายตัวไปอย่างลึกลับของนักพรตเฒ่า รวมทั้งเรื่องการฟังธรรมจนหยุดกรรแสงของพระธิดาเมี่ยวซ่าน แพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักรซิงหลิง ชาวบ้านร้านตลาดต่างกล่าวขวัญถึงเหตุการณ์เหล่านี้อย่างไม่รู้เบื่อ เพราะในยามนี้พวกเขากำลังสนใจพุทธศาสนาที่แผ่เข้ามาจากทางภิกษุและพ่อค้าอินเดียบนเส้นทางการค้าขายที่ชื่อว่า เส้นทางสายไหม ด้วยทุกคนมุ่งหวังยังจุดมุ่งหมายอันแน่วแน่ คือ ความพ้นทุกข์แห่งสรรพสัตว์นั่นเอง

จบตอนที่ ๒
ติดตามต่อตอนที่ ๓ พระธิดาน้อยกับวีรกรรมในสวนอุทยาน


อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.ph...roup=9&gblog=4

__________________
นู๋ Beee เองค่ะ
http://beee.bloggang.com
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 14-03-2009, 05:47 PM   #3
สมาชิก

วันที่สมัคร: Aug 2007
อายุ: 31
ข้อความ: 42
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 65
ได้รับอนุโมทนา 166 ครั้ง ใน 39 โพส
พลังการให้คะแนน: 0
Beee_bu is on a distinguished road

ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๓ พระธิดาน้อยกับวีรกรรมในสวนอุทยาน


ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

ตอนที่ ๓
พระธิดาน้อยกับวีรกรรมในสวนอุทยาน



ฝ่ายพระนางเป้าเต๋อ ทรงเลี้ยงดูพระธิดาน้อยอย่างรักใคร่ทนุถนอมจนเจริญวัยได้ถึง ๖ พรรษา พระธิดาเมี่ยวซ่านก็แสดงให้เห็นว่าทรงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด กิริยามารยาทเรียบร้อย อ่อนหวาน เปี่ยมด้วยน้ำพระทัย ผิดกับพระพี่นางทั้งสอง คือ องค์หญิงเมี่ยวอิม และองค์หญิงเมี่ยวเวี๋ยนอย่างยิ่ง ขณะที่พระพี่นางชอบเสื้อผ้าแพรพรรณ เครื่องประดับสีสด ๆ แต่พระธิดาเมี่ยวซ่านกลับชอบผ้าพื้น ๆ ทอหยาบ ๆ ส่วนอาหารเลิศรสที่ตั้งถวายก็เสวยมิได้ ทรงรับแต่เพียงผักผลไม้ที่รสไม่จัด กลิ่นไม่ฉุน โดยเฉพาะเนื้อสัตว์และน้ำมันจากสัตว์จะเสวยมิได้เลย หากเพียงเข้าพระโอษฐ์ ก็จักอาเจียนออกหมดแม้ยังไม่ได้กลืนลงท้องก็ตาม

เมื่อกล่าวถึงการเล่าเรียน พระธิดาสามก็ฉลาดเป็นหนึ่ง พระอาจารย์สอนสิ่งใดก็จดจำได้ แม้เพียงผ่านตาก็ไม่ลืม ผิดกับพระพี่นางที่ชื่นชอบแต่การร้องรำทำเพลงสิ่งบันเทิงใจต่าง ๆ มากกว่าการเล่าเรียน พระเจ้าเมี่ยวจวงปรึกษากับพระมเสีว่า "ลูกสามมีปัญญามากกว่าใคร เห็นทีจักต้องให้อภิเษกกับชายที่เพียบพร้อมเสียก่อน จึงค่อยแต่งตั้งบุตรเขตจากลูกสามให้เป็นรัชทายาท" พระนางเป้าเต๋อฟังแล้วเห็นชอบด้วยทุกประการ มีเพียงแววตาอาฆาตของธิดาองค์โตและองค์รองเท่านั้นที่แอบฟังพระบิดามารดาคุยกัน และน้อยใจจนกลายเป็นริษยาพระธิดาเมี่ยวซ่านจนยากจะพรรณนา

วันหนึ่งพระธิดาเมี่ยวซ่านประทับอยู่ในตำหนักด้วยความร้อนรุ่นไม่สบายใจ จึงเสด็จสู่อุทยานหลวงพร้อมนางกำนัลคนสนิท พระธิดาชมสวนเรื่อยมาจนถึงหน้าถ้ำเทวดาก็ทรงเห็นฝูงมดดำและฝูงมดแดงต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร พวกที่บาดเจ็บล้มตายกองสะเปะสะปะ พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงเก็บศพมดทั้งสองฝ่ายฝังดิน ก่อเป็นเนินดั่งฮวงซุ้ย ทำให้ฝูงมดรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน ก็เกรงอันตราย จึงต่างแยกย้ายกันกลับรังตน

พระธิดาเมี่ยวอิมและเมี่ยวเวี๋ยนทอดพระเนตรเห็นน้องคนสุดท้องใช้มือขุดดินอย่างไม่กลัวเปื้อน และไม่รู้สาเหตุมาก่อนก็ตรงเข้าไปเยาะเย้ยถากถางว่า "ดูเจ้าสามซิ เป็นถึงองค์หญิงองค์โปรดแต่ลดตัวลงมาเกลือกดินโคลนช่างน่าละอายนัก"

พระธิดาเมี่ยวซ่านอธิบายสาเหตุแล้วก็ชวนพระพี่นางทั้งสองมาช่วยกันจัดเรียงซากมดที่หัวขาดตัวขาดฝังลงดิน แต่พระพี่นางทั้งสองไม่สนใจช่วยกลับยิ้มหยามเหยียด กล่าวว่าร้ายต่าง ๆ นานาแล้วจากไป พระธิดาเมี่ยวซ่านมิได้ใส่พระทัย ยังคงอยู่กับการฝังศพมดต่างเผ่าด้วยความประณีต พลางคิดหาสาเหตุในการต่อสู้ จนสรุปได้ว่าอาหารที่มีอยู่ไม่พอเพียง จึงทรงนำขนมหวานมาป่นเป็นเศษแล้วโรยหน้าปากทางเข้ารังของมดทั้งสองชนิด ฝูงมดทั้งหมดสาละวนกับการขนอาหารเข้ารังมิได้สนใจต่อสู้กันอีก สร้างความยินดีให้แก่พระธิดาสามเป็นอันมาก

ครั้นเมื่อกลับเข้าสู่ตำหนัก พระนางเป้าเต๋อก็รับสั่งให้องค์หญิงสามเข้าเฝ้า ทรงตรัสถามว่า "ไปซุกซนที่ไหนมารึลูกสาม" พระธิดาสามทราบทันทีว่าพระพี่นางต้องมาฟ้องวีรกรรมของพระองค์แล้วเป็นแน่ แต่ก็ทรงกราบทูลตามความจริงว่าไปสร้างสุสานให้มด โดยไม่เกรงว่าจะถูกลงทัณฑ์ที่เล่นสกปรกแต่อย่างใด พระนางเป้าเต๋อพอใจที่ลูกรักมีจิตเมตตาและกล้าพูดความจริง จึงเพียงแต่เอ็ดว่า "ช่วยมดแม่ไม่ว่าแต่ถูกถูกกัดแล้วต้องแสบคันพราะแพ้พิษจะเดือดร้อนไปกันใหญ่ แม่ขอสั่งห้ามไม่ให้เจ้าทำเช่นนั้นอีก" พระธิดาสามจึงต้องยอมรับอย่างจำยอม


แต่ใครจะรู้ความจริงเล่าว่าในใจขององค์หญิงสามนั้นละวางการช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะผู้อ่อนแอกว่าได้ยากยิ่ง ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกลางฤดูร้อนคืนหนึ่ง พระธิดาเมี่ยวซ่านร้อนรุ่นพระทัยอย่างแปลกประหลาด จึงออกมานั่งเล่นใต้ต้นหลิวเพื่อรับลมเย็น ฟังจั่กจั่นกรีดเสียงเป็นจังหวะเพลิดเพลิน พระธิดาใคร่คราญถึงความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ความเอารัดเอาเปรียบ ก่อเวรสร้างกรรมอย่างไม่รู้สำนึก พลันคิดหาเหตุแห่งทุกข์และการดับทุกข์จนจิตสงบประหนึ่งเข้าฌาน ทันใดนั้นเสียงจั่กจั่นอันไพเราะได้ขาดห้วงลงเหมือนถูกบางสิ่งรบกวน พระธิดาสามตื่นจากภวังค์รีบค้นหาสาเหตุที่รบกวนเสียงจั่กจั่นทันที

และแล้วพระธิดาก็ได้เห็นตั๊กแตนตำข้าวขนาดใหญ่ ใช้สองขาหน้าจับจั่กจั่นพร้อมที่จะกัดกินทุกเมื่อ พระธิดาผู้เมตตาย่อมไม่ยอมให้เหตุเช่นนั้นเกิดขึ้น พระองค์รีบปีนม้าหินเหนี่ยวกิ่งหลิวจับตั๊กแตนแยกออกจากจั่กจั่น เจ้าแมลงตัวจ้อยบินจากไปอย่างไม่สำนึกบุญคุณ ฝ่ายตั๊กแตนตำข้าวแกว่งสองขาหน้าเหมือนโกรธแค้นที่มีผู้ช่วยเหลือเหยื่อของมัน จึงปักขาอันแหลมคมลงบนมือของพระธิดา กรีดเนื้ออ่อน ๆ เป็นแผลยาวแล้วบินหายไป พระธิดาตกใจจนตาพร่ามัวไร้เรี่ยวแรง ล้มคว่ำลงจากม้าหิน พระนลาฏ (หน้าผาก) กระแทกโขดหินที่ประดับสวนเจาะเป็นโพรงเลือดไหลนองพื้นแล้วสติก็ดับวูบลง



พระธิดาเมี่ยวซ่านฟื้นขึ้นอีกครั้งภายในห้องบรรทน บาดแผลบนศีรษะและมือได้รับการพยาบาลแล้ว กระดูกข้อเท้าที่ข้อต่อหลุดขณะล้มคว่ำถูกต่อให้เข้าที่ คงเหลือแต่ความเจ็บปวดจนยากจะบรรเทา แต่พระองค์ไม่ปริปากร้องอกมา เพราะพระบิดาพระมารดาเฝ้ามองอยู่อย่างทุกข์ใจ พระเจ้าเมี่ยวจวงรับสั่งถามว่า "ลูกรักไฉนจึงไปบาดเจ็บสาหัสอยู่ในสวนได้ แล้วรู้สึกเจ็บที่ตรงไหน บอกพ่อมาเร็ว" พระธิดาน้อยไม่กล้าโป้ปดจึงเล่าเรื่องตั๊กแตนทำร้ายจั่กจั่นแล้วตนเข้าไปช่วยให้ฟัง เมื่อรู้สาเหตุพระเจ้าเมี่ยวจวงก็ทรงพิโรธยิ่ง ตรัสว่า "พ่อบอกเจ้าอยู่เสมอว่ามิให้ทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ดีแล้วเจ็บคราวนี้จะได้สำนึก" พระมเหสีเห็นลูกรักทรมานกายและใจก็ได้แต่ร่ำไห้รำพึงว่า "ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย"

พระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นไม่เคยคิดโทษตัวเองที่ช่วยจั่กจั่นตัวจ้อยจนเกิดเหตุเลย หากจิตใจยิ่งปีติยินดีคิดหาทางช่วยเหลือผู้อื่นเพิ่มขึ้น ๆ มากกว่าเดิม

จบตอนที่ ๓
ติดตามต่อตอนที่ ๔ บุรุษหนุ่มลึกลับและยาวิเศษ


อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.ph...oup=9&gblog=11
__________________
นู๋ Beee เองค่ะ
http://beee.bloggang.com
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 14-03-2009, 05:52 PM   #4
สมาชิก

วันที่สมัคร: Aug 2007
อายุ: 31
ข้อความ: 42
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 65
ได้รับอนุโมทนา 166 ครั้ง ใน 39 โพส
พลังการให้คะแนน: 0
Beee_bu is on a distinguished road

ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๔ บุรุษหนุ่มลึกลับและยาวิเศษ


ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

ตอนที่ ๔
บุรุษหนุ่มลึกลับและยาวิเศษ



หนึ่งเดือนผ่านไปพระอาการต่าง ๆ ทั้งบาดแผลตามเนื้อตัวและกระดูกข้อเท้าที่หลุดใกล้หายดีดังเดิมแล้ว คงเหลือแต่แผลบนหน้าผากข้างขวาเท่านั้น ที่ยุบจนกลายเป็นแผลเป็นสีคล้ำทำลายความงามบริสุทธิ์บนใบหน้าของพระธิดาน้อยให้เป็นรอยมลทิน สร้างความกังวลให้กับพระบิดามารดามาก เพราะเกรงว่าจะเป็นข้อบกพร่องในการเลือกราชบุตรเขยมาอภิเษกกับพระธิดาสาม

พระเจ้าเมี่ยวจวงจึงมีพระราชโองการประกาศหาหมอฝีมือดีมารักษาแผลเป็นของพระธิดาสาม หากผู้ใดทำสำเร็จจะประทานรางวัลเป็นเงิน ทอง และตำแหน่งหมอหลวงประจำราชสำนัก ทันทีที่ประกาศติดทั่วเมือง บรรดาหมอและผู้รู้ทางยาก็ได้เข้าวังถวายการรักษาอย่างเต็มความสามารถ แต่ทว่าก็ไม่อาจทำให้แผลเป็นนั้นหายได้ พระเจ้าเมี่ยวจวงพิโรธมาก ทรงกักตัวหมอทั้งหมดไว้เตรียมสั่งเนรเทศ


กระทั่งวันหนึ่งมีบุรุษหนุ่มลึกลับปรากฏตัวขึ้น อาสารักษาแผลบนพระนลาฏ (หน้าผาก) ของพระธิดาเมี่ยวซ่าน โดยมีข้อแม้ว่าพระเจ้าเมี่ยวจวงต้องปล่อยตัวหมอคนอื่น ๆ ไปเสียก่อน นามของเขาคือ โล้วนาปู้เจี้ยน

พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงมีความหวังขึ้นมาทันที "เจ้าจงบอกมาว่าจะใช้ตัวยาชนิดใดมารักษาลูกสามของเรา" โล้วนาปู้เจี้ยนยิ้มแล้วตอบว่า "วิธีการรักษาพระธิดาจำเป็นต้องใช้ยาวิเศษกับหมอวิเศษเท่านั้น ข้าผู้น้อยไม่มีทั้งยาและไม่ใช่หมอวิเศษ เพียงแต่รู้และเข้าใจ" พระเจ้าเมี่ยวจวงฟังคำยอกย้อนซ่อนเงื่อนของชายลึกลับแล้วก็ได้แต่พิโรธ "ในเมื่อเจ้าไม่ใช่หมอวิเศษหรือมียาวิเศษ เพราะฉะนั้นการรักษาลูกสามก็มิอาจทำได้"

โล้วนาปู้เจี้ยนหัวเราะแล้วทูลว่า "ในที่สุดพระองค์ก็เข้าใจ" ชนวนสุดท้ายถูกจุดขึ้น อารมณ์พิโรธยากจะต้านทาน พระเจ้าเมี่ยวจวงสั่งจับตัวโล้วนาปู้เจี้ยนไปคุมขังรอการประหารชีวิตทันที "ทหาร...ลากตัวมันออกไป !"

พระนางเป้าเต๋อรีบห้ามพระสวามี "ช้าก่อนเพคะ ชายผู้นี้เพียงแต่บอกว่าเขาไม่มียาวิเศษ แต่ไม่ได้หมายความว่าบนโลกนี้ไม่มี ทรงพระทัยเย็นแล้วฟังเขาเจรจาความให้จบเถิด" พระเจ้าเมี่ยวจวงใคร่ครวญตามจนพระทัยเย็น จึงถามว่า "เจ้าจงบอกมาว่ายาวิเศษนั้นหาได้ที่ไหน" โล้วนาปู้เจี้ยนตอบว่า "บัดนี้พระองค์มีจิตใจมั่นคงแล้ว ข้าพระองค์จักทูลว่ายาวิเศษนั้นคือบัวดอกหนึ่ง ซึ่งเกิดกลางหิมะบนเขาซีมี่ซาน รากมิได้แตะดินโคลน ยากแก่การแสวงหา ผู้มีบุญญาธิการเท่านั้นจึงจะได้เป็นเจ้าของ ชื่อของยานั้นก็คือ บัวหิมะ"


"...ตั้งแต่ครั้งโบราณถึงปัจจุบันมีบัวหิมะเกิดขึ้นแล้วสามดอก พระแม่ฟ้าหลวงนำขึ้นสวรรค์ไปประดิษฐานกลางสระหยกแล้วหนึ่งดอก เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าอีกหนึ่งดอก ส่วนดอกสุดท้ายอยู่ระหว่างทิศตะวันออกและทิศใต้ของเขาซีมี่ซาน โดยอยู่ในโพรงหิมะ มีน้ำแข็งห่อหุ้มอยู่อีกชั้นหนึ่ง กลิ่นหอมของบัวนี้ลอยไปไกล แต่น้อยคนนักจะได้เห็น ผู้มีบุญบารมีและเปี่ยมด้วยศรัทธาเท่านั้นจึงจะได้มาโดยไม่ลำบาก" พระเจ้าเมี่ยวจวงฟังแล้วไม่เชื่อว่ามีอยู่จริงจึงตรัสว่า "เราจะควบคุมตัวเจ้าไว้ก่อน เมื่อส่งคนไปค้นหาจนพบแล้วจึงจะปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระ แต่ถ้าไม่มีบัวนั้นจริง เราจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่" ตรัสจบทหารองครักษ์จึงเข้าจับกุมชายลึกลับไว้ตามพระบัญชา

จบตอนที่ ๔
ติดตามต่อตอนที่ ๕ การตามหาบัวหิมะ และการหายตัวไปของบุรุษหนุ่มลึกลับ


อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.ph...oup=9&gblog=17
__________________
นู๋ Beee เองค่ะ
http://beee.bloggang.com
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 14-03-2009, 05:58 PM   #5
สมาชิก

วันที่สมัคร: Aug 2007
อายุ: 31
ข้อความ: 42
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 65
ได้รับอนุโมทนา 166 ครั้ง ใน 39 โพส
พลังการให้คะแนน: 0
Beee_bu is on a distinguished road

ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๕ การตามหาบัวหิมะ และการหายตัวไปของบุรุษหนุ่มลึกลับ


ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

ตอนที่ ๕
การตามหาบัวหิมะ และการหายตัวไปของบุรุษหนุ่มลึกลับ

วันรุ่งขึ้น ขุนพลเจียเยี้ย ผู้แกล้วกล้า รับอาสาออกตามหาบัวหิมะพร้อมทหารฉกรรจ์อีกห้าสิบนาย ได้ออกเดินทางโดยกองคาราวานอูฐ ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางสู่ยอดเขาซีมี่ซานอันทุรกันดารและลึกลับซับซ้อน

เส้นทางนั้นเป็นทะเลทรายอันเวิ้งว้าง บางครั้งก็เป็นป่าทึบรกชัฏเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายตลอดเส้นทางนั้นไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย จนกระทั่งเวลาผ่านไปครึ่งเดือน กองคาราวานที่เสาะหาบัวหิมะก็ถึงทิวเขาซีมี่ซานในพลบค่ำคืนหนึ่ง ขุนพลเจียเยี่ยสั่งการให้ตั้งกระโจมพักแรมที่เชิงเขา ในใจรู้สึกปีติยินดีที่ถึงจุดหมาย แต่อีกใจก็เป็นทุกข์เพราะมองไปทิศใดก็เห็นแต่เทือกเขายอดสูงเสียดฟ้าไม่แตกต่างกัน








ขณะที่ทหารทั้งหลายหลับสนิทในกระโจมด้วยความเหนื่อยอ่อน สายลมหนาวยะเยือกพัดปะทะร่างท่านขุนพลที่นั่งใคร่ครวญอยู่ลำพังจนปวดกระดูก แต่ก็ไม่ลดพลังศรัทธาในการอธิษฐานจิตของท่านลงได้ "เทพแห่งป่าไม้และขุนเขา ข้าผู้น้อยเจียเยี้ยขอประทานพรให้ได้พบบัวหิมะอันศักดิ์สิทธิ์สักครั้ง ให้รู้ว่าที่พวกเราเดินทางมามิได้สูญเปล่าเลยด้วยเทอญ" ฉับพลันได้มีรัศมีเจิดจ้า เปล่งประกายออกมาจากยอดเขายอดหนึ่ง ท่านขุนพลเพ่งมองแล้วก็พบว่า แสงนั้นคือรัศมีจากกลีบบัวหิมะนั่นเอง ท่านจึงรีบปลุกนายทหารขึ้นมาชมอภินิหารในครั้งนี้จนทั่ว เหล่าทหารต่างไชโยโห่ร้องโลดเต้นด้วยความยินดี



แต่ทั้งหมดก็ยินดีได้เพียงชั่วครู่ เหตุเพราะบัวหิมะนี้เป็นสิ่งวิเศษ รับสัมผัสของเสียงโห่ร้องได้ จึงค่อย ๆ จมลงไปในหิมะ ความมืดมิดก็เข้าปกคลุมทั่วพื้นที่นั้นอีกครั้ง เหตุดังกล่าวทำให้ทหารทุกคนรวมทั้งท่านขุนพลยินดีอย่างเหลือล้น เพราะเห็นแล้วว่าบัวหิมะนั้นมีอยู่จริง แผลเป็นของพระธิดาสามอันเป็นที่รักของทุกคนย่อมรักษาหาย หมอทุกคนที่ถูกคุมขังและชายลึกลับนามโล้วนาปู้เจี้ยนจะพ้นจากพระอาญาทั้งมวล คิดได้ดังนั้นแล้วจึงพักผ่อนอย่างเป็นสุข รอให้ถึงรุ่งเช้าโดยเร็ว

ทว่ากองทหารทุกนายก็ต้องผิดหวังเพราะไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรก็ไม้ผล ตำหน่งยอดเขาทุกยอดดูเหมือน ๆ กันไปหมด ยามค่ำคืนก็ไม่พบวี่แววที่บัวหิมะจะเปล่งรัศมีสว่างไสวอีกเลย

จนล่วงเข้าวันที่ ๕ ขุนพลเจียเยี้ยเห็นว่ารอคอยต่อไปก็ไร้ประโยชน์จึงยกพลกลับสู่เมืองซิงหลิง เข้าเฝ้าพระเจ้าเมี่ยวจวงแล้วกราบทูลว่า "กำลังพลของข้าพระองค์ได้พบบัวหิมะบนยอดเขาซีมี่ซานจริงดังคำกล่าวของโล้วนาปู้เจี้ยน แต่ไม่สามารถนำกลับมาได้เพราะบัวหิมะซ่อนตัวใต้ยอดเขายากแก่การค้นหาพระเจ้าข้า" พระเจ้าเมี่ยวจวงถึงกับตรัสไม่ออก เมื่อฟังคำของท่านขุนพลจบลง

นั่นก็เพราะย้อนไปหลายวันก่อน เมื่อขบวนของขุนพลเจียเยี้ยออกเดินทางจากเมืองไป พระมเหสีเป้าเต๋อก็ทรงประชวรด้วยโรคประหลาด คือหลับอย่างกะทันหัน เมื่อตื่นก็ไม่ตรัสอะไรกับใคร แล้วก็หลับลงไปอีก แม้หมอหลวงก็ไม่อาจเยียวยาได้ ท่านเสนาซ้ายอานาลั๋วจึงกราบทูลให้ปล่อยตัวโล้วนาปู้เจี้ยนมาดูอาการพระนางเป้าเต๋า พระเจ้าเมี่ยวจวงใคร่คราญแล้วว่ายังไม่พบวิธีอื่น จึงรับสั่งให้ปล่อยตัวโล้วนาปู้เจี้ยนออกมาทำการรักษาพระมเหสี เมื่อจับชีพจรแล้วเขาทูลพระเจ้าเมี่ยวจวงว่า "ชีพจรทั้งหกยังเต้นเป็นปกติ แต่บางครั้งก็เหลือเพียงเส้นบาง ๆ เส้นเดียวที่เต้นอยู่ เป็นเพราะจิตวิญญาณของพระนางจะแยกออกจากร่างใน ๗ วัน ไม่มีวิธีรักษาเลย"

พระเจ้าเมี่ยวจวงฟังแล้วไม่พอพระทัยยิ่ง รับสั่งให้นำตัวโล้วนาปู้เจี้ยนไปประหารทันที แต่เสนาซ้ายรีบทูลทัดทานว่า "ขอได้ทรงโปรด หากประหารชีวิตคนในขณะนี้ย่อมไม่เป็นสิริมงคลแก่การประชวรของพระมเหสี อาจเกิดเหตุร้ายได้ ทรงใคร่ครวญด้วยเถิด" พระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสว่า "เมื่อท่านเห็นดังนั้นเราก็จะไว้ชีวิตมันแต่โทษเป็นย่อมละไม่ได้ ทหารลากตัวไอ้หนุ่มโอหังผู้นี้ไปโบยสองร้อยไม้" โล้วนาปู้เจี้ยนต้องโทษตามพระอาญา แล้วจึงถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวงที่ยากแก่การหลบหนี ทว่าเวลาล่วงไปเพียง ๕ วัน ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อโล้วนาปู้เจี้ยนหายไปจากเรือนจำอย่างไร้ร่องรอย เป็นเวลาเดียวกันกับชีวิตของพระมเหสีเป้าเต๋อที่จากไปอย่างสงบพร้อม ๆ กัน !!

จบตอนที่ ๕
ติดตามต่อตอนที่ ๖ โศลกปริศนาจากหนุ่มลึกลับ และการเริ่มศึกษาพระธรรมของพระธิดาเมี่ยวซ่าน


อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.ph...oup=9&gblog=21
__________________
นู๋ Beee เองค่ะ
http://beee.bloggang.com
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 14-03-2009, 06:06 PM   #6
สมาชิก

วันที่สมัคร: Aug 2007
อายุ: 31
ข้อความ: 42
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 65
ได้รับอนุโมทนา 166 ครั้ง ใน 39 โพส
พลังการให้คะแนน: 0
Beee_bu is on a distinguished road

เกร็ดเรื่องบัวหิมะ


เกร็ดเรื่องบัวหิมะ และดอกไม้ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา

บัวหิมะที่มีอยู่จริงในโลกนี้ ที่ลอง search หาใน Internet คือภาพข้างบนค่ะ ส่วนบัวหิมะในเนื้อเรื่องที่กล่าวถึงนั้นเป็นคนละอย่าง ซึ่งไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า แต่บังเกิดขึ้นขณะพระพุทธเจ้าประสูติ หรือผู้มีบุญเท่านั้นตามที่ได้ยินในพุทธศาสนา จะเป็นดอกบัวขนาดใหญ่ที่สามารถนั่งหรือยืนได้ ของจีนจะเรียกว่าดอกบัวหิมะ ซึ่งเป็นดอกไม้วิเศษของผู้มีบุญเท่านั้น ส่วนของไทยเราจะเรียกว่าดอกปทุมหลวง จะเกิดขึ้นสำหรับพระพุทธเจ้าเท่านั้น โดยทุกขณะที่พระพุทธเจ้าย่างเท้าไปจะเกิดดอกปทุมหลวงขึ้นมารองรับพระบาทเสมอ ส่วนดอกใหญ่ ๆ ที่เด่น ๆ มีตัวอย่างเช่น

ตอนประสูติ
ดอกบัวผุดขึ้นมารอบรับพระพุทธเจ้าขณะประสูติและทรงเดิน ๗ ก้าว



ตอนตรัสรู้
มีดอกบัวมาเป็นแท่นรองรับพระวรกาย



ตอนปรินิพพาน
มีดอกบัวเกิดขึ้นอีกครั้ง มารองรับร่างของพระองค์



ส่วนของเจ้าแม่กวนอิม ที่เห็นในหนังหรือภาพวาด




__________________
นู๋ Beee เองค่ะ
http://beee.bloggang.com
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 14-03-2009, 06:13 PM   #7
สมาชิก

วันที่สมัคร: Aug 2007
อายุ: 31
ข้อความ: 42
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 65
ได้รับอนุโมทนา 166 ครั้ง ใน 39 โพส
พลังการให้คะแนน: 0
Beee_bu is on a distinguished road

เกร็ดเรื่องบัวหิมะ และดอกไม้ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา 2


เกร็ดเรื่องบัวหิมะ และดอกไม้ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา 2

ส่วนดอกไม้พิเศษอีกชนิดหนึ่งสำหรับพระพุทธเจ้าซึ่งจะเกิดขึ้นแค่ 3 ครั้งเท่านั้นในพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งคือ "ดอกมณฑา" หรือ "ดอกมณฑารพ" ซึ่งเชื่อว่าเป็นดอกไม้ทิพย์จากสวรรค์ซึ่งจะเกิดขึ้นมาเมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น เมื่อประสูติ เมื่อตรัสรู้ และเมื่อปรินิพพาน โดยดอกมณฑารพจะร่วงหล่นลงมาจากสวรรค์ กล่าวกัน ในเวลาที่พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว ทุกหนแห่งในเมืองกุสินาราเต็มไปด้วยดอกมณฑารพ

"มณฑา" หรือ "มณฑารพ" ดอกไม้แห่งสวรรค์



[LEFT][COLOR=blue][B]
__________________
นู๋ Beee เองค่ะ
http://beee.bloggang.com
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 14-03-2009, 06:18 PM   #8
สมาชิก

วันที่สมัคร: Aug 2007
อายุ: 31
ข้อความ: 42
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 65
ได้รับอนุโมทนา 166 ครั้ง ใน 39 โพส
พลังการให้คะแนน: 0
Beee_bu is on a distinguished road

ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๖ โศลกปริศนาจากหนุ่มลึกลับ และการเริ่มศึกษาพระธรรมของพระธิดา


ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

ตอนที่ ๖
โศลกปริศนาจากหนุ่มลึกลับ และการเริ่มศึกษาพระธรรมของพระธิดาเมี่ยวซ่าน



พระนางทิ้งไว้แต่คำตรัสสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้ายต่อพระธิดาสามว่า "ลูกรัก แม่คงมิได้อยู่เห็นเจ้าเติบใหญ่มีครอบครัวที่เป็นสุข แม่เสียใจเหลือเกิน ต่อไปนี้เจ้าจงทำตามพระทัยเสด็จพ่อ อย่ายึดถือความเชื่อของตนอีกเพราะจะทำให้เสด็จพ่อเสียพระทัย" ขาดคำพระนางก็ทรงมีอาการกระตุกและสิ้นพระชนม์ พระธิดาองค์ใหญ่และองค์รองกรรแสงอย่างโศกเศร้า ส่วนพระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นเสียพระทัยจนหมดสติลง เหล่านางกำนัลต้องพยาบาลกันอลหม่าน

การจากไปของพระมเหสีอันเป็นที่รักยิ่งของพระสวามี พระธิดาทั้งสาม และเหล่าชาวเมือง ทำให้ทั้งอาณาจักรซิงหลิงตกอยู่ในความโศกเศร้าอย่างเหลือประมาณ โดยเฉพาะพระธิดาเมี่ยวซ่านที่แม้นมีพระชันษาเพียง ๗ ปี แต่กลับต้องสูญเสียพระมารดาที่รักยิ่งไปต่อหน้าพระพักตร์

ฝ่ายพระเจ้าเมี่ยวจวงนั้น เสียพระทัยจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด เฝ้าแต่ทอดพระเนตรกระดาษแผ่นหนึ่งที่ทหารนำมาถวาย โดยกล่าวว่ากระดาษแผ่นนี้ ตกอยู่ในที่คุมขังโล้วนาปู้เจี้ยน ภายในกระดาษมีอักษาเขียนเป็นโศลก (โศลก หมายถึง คำขับร้องสรรเสริญ) สี่บรรทัดทิ้งไว้ว่า

"แต่เดิมธรรมอันวิเศษมีหกสาย
ผลที่สุดความดีฉายเหนือยิ่งใหญ่
มองความว่าง ฤา สีหน้ากิเลสไร้
เสาะแสวงแต่เสียงไห้ปริเวทนาการ"

พระเจ้าเมี่ยวจวงหักห้ามความเสียใจ พิจารณาข้อความในโศลกนั้น ๆ จนตีความได้ว่า ธรรมอันวิเศษ หมายถึง เมี่ยว บรรทัดที่สองปรากฏคำว่า ความดี หมายถง ซ่าน ส่วนในบรรทัดที่สามมีคำว่า มอง หมายถึง กวน และต่อมามีคำว่า เสียง หมายถึง อิม รวมความแล้วคือ เมี่ยวซ่านกวนอิม แต่จะแฝงความนัยสื่อถึงสิ่งใดนั้นพระเจ้าเมี่ยวจวงมิอาจรู้ได้เลย

การหายตัวไปของนักโทษโล้วนาปู้เจี้ยนและการสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีได้รับการกล่าวขานไปทั่วเมือง บ้างก็ว่าชายลึกลับเป็นพุทธเทวะแปลงมา เพราะแม้นเครื่องจองจำพันธนาการตั้งแต่คอจรดเท้าก็มิอาจกักขังเขาไว้ได้ บ้างก็ว่าพระนางเป้าเต๋อสิ้นเพราะพระเจ้าเมี่ยวจวงสั่งประหารโล้วนาปู้เจี้ยน ใครเลยจะทราบว่าพระเจ้าเมี่ยวจวงเสียพระทัยกับการกระทำที่มิอาจย้อนคืนของพระองค์ยิ่งนัก


เจ้าแม่กวนอิม ปางประทานพร ยืนประทับนิ่ง เนื้อโลหะสีทอง ประดิษฐานอยู่ ณ โรงพยาบาลเทียนฟ้า ตั้งอยู่ริมถนนเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร
ฝ่ายพระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นเล็งเห็นว่าความทุกข์และความตามไม่มีใครหนีพ้นได้ อีกทั้งตนต้องอกตัญญูยิ่งนักเมื่อยังมิได้ตอบแทนคุณพระมารดา ทางเดียวที่เราจะบรรเทากรรมนี้ได้คือสละกายแห่งปุถุชนสู่หนทางแห่งพุทธธรรม จากวันนั้นเป็นต้นมาพระธิดาเมี่ยวซ่านทรงท่องภาวนาพระสูตรบำเพ็ญตน พร้อมกับพระน้านางผู้เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของมเหสีเป้าเต๋อและเป็นพี่เลี้ยงของพระธิดาสามอย่างเคร่งครัดเรื่อยมา

ความตั้งมั่นของพระธิดาเมี่ยวซ่าน แม้พระเจ้าเมี่ยวจวงก็มิอาจทัดทานได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังทรงเสียพระทัยที่พระมเหสีจากไป และเห็นว่าการท่องบ่นพระสูตรนั้นเป็นเรื่องน่ารำคาญก็จริง แต่ย่อมดีกว่าการออกไปช่วยมดหรือจั่กจั่นจนเจ็บตัวปางตายยิ่งนัก

ทว่าในใจจริงของพระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นมุ่งหวังที่จะเข้าเป็นพุทธสาวิกา คือออกบวชเป็นภิกษุณีเพื่อบำเพ็ญธรรมนสำเร็จสมบูรณ์ แล้วจึงจะโปรดบรรดาสรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์เข็ญ ชาวโลกจักได้พบความสุขอันแท้จริง


คืนหนึ่ง ขณะพระธิดาเมี่ยวซ่านกำลังบรรทมครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่บนพระที่ พลันก็มีแสงสว่างโพลงเจิดจ้าขึ้นทั่วตำหนัก ตรงกลางแสงนั้นปรากฏร่างของพระพุทธองค์ พระวรกายสีทองเปล่งรัศมีโดยรอบ ประทับยืนอยู่กลางดอกบัว พระธิดาเมี่ยวซ่านรีบทรุดกายลงกราบ และอ้อนวอนให้ทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องให้ พระพุทธองค์ตรัสว่า สังขารแลทุกข์ไม่เที่ยง ผู้รู้แจ้งสำเร็จจะทำใจให้เข้มแข็งขจัดทุกข์ได้ที่สุด จะเป็นผู้บริสุทธิ์รู้แจ้งด้วยตนเองเมื่อถึงเวลา พระธิดาถามว่าตนจะสำเร็จเป็นผู้วิเศษเมื่อใด จึงได้รับคำตอบว่า ในไม่ช้านี้ เมื่อเจ้าได้ดอกบัวแห่งเขาซีมี่ซานและแจกันหยกขาวที่มีน้ำสุธาทิพย์โดยมีผู้มอบให้ จงจำไว้ให้ดี ตรัสจบก็ทรงหายวับไปพร้อมแสงจ้าที่ดับวูบลง

นับจากวันนั้น พระธิดาเมี่ยวซ่านยิ่งทรงมุ่งมั่นศึกษาพระธรรมจากพระไตรปิฎก ละวางสิ่งบันเทิงจนหมดสิ้น เพื่ออุทิศเวลาบำเพ็ญภาวนาอย่างจริงจัง จนแตกฉานในพระพุทธธรรม

วันคืนล่วงเลยไปจากพระธิดาน้อยได้เจริญวัยเป็นสาวงามสะพรั่งมีพระชนมายุครบ ๑๖ พรรษา และยังคงฝักไฝ่ในทางธรรมเสมอมา ท่ามกลางความไม่พอพระทัยของพระราชบิดาและความริษยาของพระพี่นางทั้งสอง จะมีก็แต่พระน้านางเพียงองค์เดียวที่คอยดูแลและสนับสนุนให้พระธิดาเมี่ยวซ่านได้ปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่เรื่อยมา

จบตอนที่ ๖
ติดตามต่อตอนที่ ๗ การแต่งงาน และการรับบทลงโทษแรก


อ้างอิง: http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=beee

ปล. จากนี้ไปจะอัพวันละตอนนะคะ ^_^ ติดตามกันด้วยค่ะ
ปล. 2 รูปภาพทั้งหมด search มาจาก Internet
__________________
นู๋ Beee เองค่ะ
http://beee.bloggang.com
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 14-03-2009, 11:19 PM   #9
สมาชิก

natspdo's Avatar

วันที่สมัคร: May 2008
สถานที่: เขตสัมพันธวงศ์
อายุ: 39
ข้อความ: 876
Groans: 9
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 795
ได้รับอนุโมทนา 4,114 ครั้ง ใน 669 โพส
พลังการให้คะแนน: 114
natspdo has a spectacular aura aboutnatspdo has a spectacular aura aboutnatspdo has a spectacular aura about

เป็นไม้แก่นจันทร์ไม่ใช่เนื้อโลหะ



ในองค์ท่านเป็นไม้จันทร์หอมที่มีอายุมากกว่า 500 ปี ที่โรงพยาบาลเทียนฟ้า มูลนิธิ ถนนเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร
__________________
อนาคตกำหนดได้ด้วยปัจจุบัน กำลังใจ ความสำเร็จ เริ่มจากใจตนเอง
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 15-03-2009, 07:32 AM   #10
สมาชิก

วันที่สมัคร: Aug 2007
อายุ: 31
ข้อความ: 42
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 65
ได้รับอนุโมทนา 166 ครั้ง ใน 39 โพส
พลังการให้คะแนน: 0
Beee_bu is on a distinguished road

ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๗ การแต่งงาน และการรับบทลงโทษแรก


ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

ตอนที่ ๗
การแต่งงาน และการรับบทลงโทษแรก


กำเนิดเจ้าแม่กวนอิม เวอร์ชั่นเจ้าหย่าจือ

ครั้นพระธิดาทั้งสององค์ถึงวัยสมควรมีคู่ครอง พระเจ้าเมี่ยวจวงจึงทรงจัดการอภิเษกพระธิดาองค์โตให้แก่ โฮเฟง แม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกร และให้พระธิดาองค์รองอภิเษกกับ เจาไคว บัณฑิตผู้มากปัญญา พระเจ้าเมี่ยวจวงนั้นทรงคิดว่าราชบุตรเขยทั้งสองนี้เป็นผู้เปี่ยมด้วยวิชาความรู้ จึงทรงรักใคร่เอ็นดูเป็นอย่างดี หากแต่ทรงหารู้ไม่ว่า บุรุษทั้งสองนี้ทำดีเฉพาะยามอยู่หน้าพระพักตร์ลับหลังก็ชมแต่ระบำรำฟ้อน ปรนเปรอความสุขใส่ตนและภรรยาที่เป็นถึงองค์หญิงโฉมงานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

พระเจ้าเมี่ยวจวงนั้นยังทรงแน่นแน่กับความคิดที่จะยกราชสมบัติให้แก่พระธิดาสามดังเช่นที่เคยตรัสหารือกับพระนางเป้าเต๋อตอนมีพระชนม์ชีพอยู่ ดังนั้นจึงต้องเฟ้นหาชายหนุ่มมาอภิเษกกับพระธิดาเมี่ยวซ่านเป็นพิเศษ โดยนำเรื่องนี้เข้าปรึกษาเหล่าเสานาบดีในท้องพระโรง เมื่อข่าวการอภิเษกแว่วมาถึงพระกรรณของพระธิดาเมี่ยวซ่านก็ทำให้พระองค์ตกพระทัยยิ่ง รีบเข้าเฝ้ากราบทูลต่อพระเจ้าเมี่ยวจวงทันที "เสด็จพ่อเพคะ ลูกมิอาจสยุมพรได้ (สยุมพร หมายถึง แต่งงาน) เพราะลูกถือพรหมจรรย์ อุทิศตนเป็นพุทธสาวกของพระพุทธองค์แล้วเพคะ หากลูกผิดคำสัตย์ที่ให้ไว้จักตกนรกมิได้ผุดได้เกิดเพคะ"


พระเจ้าเมี่ยวจวงได้ฟังก็ทรงพิโรธเป็นอย่างยิ่ง ตรัสลงโทษพระธิดาทันที "ลูกไม่รักดีเป็นองค์หญิงอยู่สุขสบายไม่ชอบ ริจะไปบวชชี ดูซิถ้าเจ้าไม่มีเวลาคิดเรื่องพระธรรมอะไรนั่นแล้วจะเป็นอย่างไร ข้าจะให้เจ้าลดบรรดาศักดิ์ลงไปทำงานหนักในอุทยานหลวง แม้นทหารรับใช้ก็ยังมียศสูงกว่าเจ้า ไสหัวไปเดี๋ยวนี้ !" แม้พระน้านางจะขอร้องอย่างไร พระเจ้าเมี่ยวจวงก็ไม่ทรงลดโทษให้เลย พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงย้ายจากตำหนักมาอาศัยกระท่อมท้ายอุทยาน มีหน้าที่ตื่นแต่เช้าตรู่มารดน้ำต้นไม้ กวาดลาน เช็ดถูพระที่นั่งในศาลาหลวง


ถูกลงโทษ ให้ปลดออกไปเป็นสามัญชน

พื้นที่ในอุทยานั้นแสนกว้างใหญ่ แต่พระธิดาทรงทำงานหนักโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยตั้งแต่เช้าจรดค่ำ สองแขนและพระวรกายจึงอ่อนล้ายิ่งนัก

ฝ่ายพระเจ้าเมี่ยวจวงทรงให้นางกำนัลผู้หนึ่งชื่อ ย่งเหลียน ติดตามดูพฤติกรรมของพระธิดาแล้วคอยรายงานว่าความลำบากที่ได้รับทำให้ทรงกลับใจได้หรือไม่ แต่ไม่ว่าจะนานเพียงใดย่งเหลียนก็นำความมานะอุตสาหะของพระธิดาไปกราบทูลพระเจ้าเมี่ยวจวงทุกครั้ง

หลายเดือนผ่านไปจนถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระเจ้าเมี่ยงจวง พระธิดาเมี่ยวซ่านเข้าเฝ้าถวายพระพรแต่เช้าตรู่ พระเจ้าเมี่ยวจวงเห็นสภาพทรุดโทรมของพระธิดาแล้วทรงอ่อนพระทัยลง ตรัสให้พระธิดาเปลี่ยนใจหาคู่สยุมพรโดยเร็ววันจะได้ไม่ลำบากกาย แต่ทว่าพระธิดากลับยืนกรานว่า การทำงานหนักทำให้จิตใจหนักแน่นและปลอดโปร่งอย่างที่สุด พระเจ้าเมี่ยวจวงพิโรธยิ่งตรัสว่า "ดี เป็นคนสวนยังไม่พอก็จงมาเป็นคนรับใช้ข้า พี่สาว และพี่เขยของเจ้าในวันเกิดข้านี่ล่ะ ไปจัดการปัดกวาดอุทยานแล้วตั้งเครื่องเสวยเดี๋ยวนี้" พระธิดาเมี่ยวซ่านรับพระบัญชามาทำความสะอาดและจัดเตรียมสถานที่ทันที


เมื่อขบวนเสด็จของพระเจ้าเมี่ยวจวงและสองพระธิดามาถึงก็ได้พบกับสถานที่อันรื่นรมย์ ทั้งไม้ดอกนานาพันธุ์ เครื่องเสวยเลิศรส หมู่นางระบำรำฟ้อนสวยงาม แต่พระธิดาสามกลับยืนอยู่ไกล ๆ มองตรงแน่วแน่ ไม่สบตาใคร เพราะเห็นว่าไม่ควรพบปะราชบุตรเขยซึ่งเป็นชาย ตามจารีตที่หญิงชายไม่ควรใกล้ชิดกัน พระพี่นางทั้งสองต่างเข้ายึดพระกรพระธิดา พูดจาหว่านล้อมให้มาเสพสุขด้วยกัน ดีกว่าอยู่ตัวคนเดียว พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงตรัสว่า "ทรัพย์นอกกายเหล่านั้นทำให้ผู้คนแก่งแย่งจนเกิดสงครามกันมิใช่หรือ ลาภยศ สุข สรรเสริญ ล้วนทำให้คนลุ่มหลงอยู่ในห้วงอบายภูมิ พุทธธรรมเท่านั้นจะฉุดรั้งและกำจัดมารได้ อีกทั้งความเมตตาอันแผ่ออกไปในบทสวดมนต์ของน้อง เพื่อช่วยชาวโลกให้พ้นจากทุกข์ภัย สู่บรมสุขแห่งนิพพานด้วยกัน"

พระเจ้าเมี่ยวจวงได้ฟังก็กริ้วจนสุดระงับ บริภาษว่า "ข้าให้เจ้ามารับใช้เพราะหวังจะให้สำนึกกลับตัวกลับใจเสียใหม่ แต่เจ้ายังกล่าวเท็จถึงความเมตตาจอมปลอมนั่น เจ้าลองคิดดูสิว่าสตรีใดในโลกจะมีสุขเพราะปราศจากบิดาและสามี พุทธธรรมที่เจ้าอ้างนั้นเคยมาช่วยทำสงครามหรือ นับจากนี้ไปเจ้าต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น น้ำสะอาดต้องเต็มเจ็ดตุ่ม ต้องผ่าฟืนวันละสองหาบ ช่วยหุงข้าว ต้มแกง และงานในครัวทั้งปวง ยามว่างก็จงเย็บรองเท้าฟางอย่างประณีต ดูซิว่าจะมีเวลาท่องมนต์อะไรอีกหรือไม่" สิ้นพระบัญชาพระองค์เสด็จจากไปทันที พระธิดาและราชบุตรเขยทั้งสองจึงรีบตามเสด็จไป

จบตอนที่ ๗
ติดตามต่อตอนที่ ๘ การรับบทลงโทษที่หนักขึ้น

__________________
นู๋ Beee เองค่ะ
http://beee.bloggang.com

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Beee_bu : 15-03-2009 เมื่อ 08:17 AM เหตุผล: แก้ไขคำผิด
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 15-03-2009, 09:56 PM   #11
สมาชิก

azalia's Avatar

วันที่สมัคร: May 2008
ข้อความ: 565
Groans: 0
Groaned at 4 Times in 4 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 5,575
ได้รับอนุโมทนา 7,433 ครั้ง ใน 644 โพส
พลังการให้คะแนน: 78
azalia will become famous soon enoughazalia will become famous soon enough
อนุโมทนาด้วยค่ะ
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 16-03-2009, 11:48 AM   #12
สมาชิก

วันที่สมัคร: Aug 2007
อายุ: 31
ข้อความ: 42
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 65
ได้รับอนุโมทนา 166 ครั้ง ใน 39 โพส
พลังการให้คะแนน: 0
Beee_bu is on a distinguished road

ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๘ การรับบทลงโทษที่หนักขึ้น


ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

ตอนที่ ๘
การรับบทลงโทษที่หนักขึ้น


นับจากวันนั้นพระธิดาเมี่ยวซ่านก็ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ไปตักน้ำในบ่อมาใส่ตุ่มจนครบเจ็ดใบ แม้กายจะอ่อนเปลี้ยเหนื่อยล้าแต่ก็ต้องรีบมาติดไฟหุงข้าว ระหว่างรอข้าวสุกก็ออกไปผ่าฟืนจนครบตามพระบัญชา ซึ่งเป็นเวลาอาหารเย็นพอดี พระธิดาจึงต้องติดไฟหุงข้าวอีกครั้ง หน้าที่ในคราวนี้หนักหนาสาหัสยิ่งนัก แต่พระธิดาก็ไม่ปริปากบ่นหรือเรียกให้ใครช่วยเหลือเลย ในครัวกลับมีเสียงหัวเราะเยาะและคำเสียดสีถากถางให้ได้ยินอยู่เสมอ แต่พระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นทรงอดทนอดกลั้นต่อการว่าร้ายต่าง ๆ มิเคยกริ้วหรือบริภาษให้คนเหล่านั้นหยุดพูดแม้แต่ครั้งเดียว


พระธิดาทำงานหนักตลอดหลายวันที่ผ่านมา แม้ยามค่ำก็ยังจุดตะเกียงเพื่อสานรองเท้าฟาง และสวดสาธยายพระสูตรไปด้วย จนดึกดื่นจึงเข้าบรรทมบนเตียงแคบ ๆ แข็งกระด้างในบ้านพักของพระองค์ วันต่อ ๆ มาก็ทรงปฏิบัติหน้าที่ทุกประการมิได้มีว่างเว้นเลย นานเข้าเสียงซุบซิบนินทาก็ค่อย ๆ หายไปและมีเสียงพร่ำบ่นสงสารพระองค์เข้ามาแทน แม้แต่นางกำนัลย่งเหลียน ผู้รายงานพฤติกรรมของพระธิดาต่อพระเจ้าเมี่ยวจวงยังอดเคารพรักในตัวพระธิดาไม่ได้ นางและข้าราชบริพารในห้องครัวจึงช่วยกันวางแผนการบางอย่างเพื่อพระธิดาอันเป็นที่รักของทุกคน


เช้าวันหนึ่ง พระธิดาลุกขึ้นจากเตียงไม้อันแข็งกระด้าง สลัดความอ่อนล้าทางกายทิ้งไป ตรงเข้าครัวไปหยิบถังเตรียมหาบน้ำ ปรากฏว่าเมื่อมองไปในตุ่มกลับพบว่ามีน้ำใสสะอาดอยู่เต็มปริ่มครบทั้งเจ็ดใบ ที่ท้ายครัวก็มีฟืนผ่าแล้วครบตามจำนวน อุทยานหลวงก็ได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างดี พระธิดาเหลียวมองรอบกายด้วยความอัศจรรย์ใจ คงเหลือแต่งานจุดไฟหุงข้าวเท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นงานที่เบาที่สุดในบรรดาหน้าที่ทั้งหมด พระธิดาจึงลงมือติดไฟทันที

เมื่อเหล่าพนักงานในครัวเข้ามาทำงานของตนตามปกติแล้ว พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงกล่าวว่า "พวกท่านได้ช่วยกันทำงานในส่วนของเรากันอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เราเสียอีกกลับเป็นภาระให้พวกท่าน เราไม่มีทรัพย์รางวัลอันใดตอบแทนน้ำใจของพวกท่านเลย มีเพียงคำขอบคุณเท่านั้น ช่างน่าละอายนัก แต่ต่อจากนี้ไปขอให้พวกท่านได้ให้เราทำงานตามพระบัญชาเช่นเดิมเถิด เพราะเรามิอาจทนเห็นผู้เหนื่อยยากแทนตัวเราได้" ย่งเหลียนและทุก ๆ คนได้ฟังต่างรู้สึกรักและเห็นใจองค์หญิงเป็นเท่าทวี ย่งเหลียนทูลว่า "ไม่ใช่พวกหม่อมฉันหรอกเพคะ คงเป็นเทพมาช่วยเหลือเพราะหมายให้พระองค์ได้มีเวลาว่างสวดมนต์ปฏิบัติธรรมและบรรลุมรรคผลโดยเร็ว" พระธิดาจนใจด้วยเหตุผลจึงได้แต่น้อมกายคารวะทุกคนอย่างซาบซึ้ง


ทุก ๆ วันพระธิดาเมี่ยวซ่านตื่นขึ้นมา งานในครัวก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ครั้นเสด็จไปทำความสะอาดอุทยานหลวงก็พบว่า ดอกไม้ ต้นไม้ และศาลาพักผ่อน ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี พระธิดาได้แต่น้อมคารวะผู้ที่กระทำหน้าที่แทนตนด้วยความลำบากใจและเกรงใจทุกครั้งไป เมื่อใดที่ไต่ถามว่าผู้ใดปฏิบัติงานให้ตนก็จะได้รับคำปฏิเสธทุกครั้งว่าไม่มีใครรู้เห็น ย่งเหลียนเองก็บ่ายเบี่ยงว่าอาจเป็นเพราะอำนาจของพระพุทธคุณมาช่วยพระธิดาอยู่เสมอ พระธิดาผู้ชาญฉลาดมีหรือจะไม่รู้ว่าทุกคนเปลี่ยนแปลงความคิดที่มีต่อพระองค์ไปจากเดิม แล้วกลับหันมาช่วยเหลือแบ่งเบาภาระแทน


เมื่อทรงมีเวลามากพอ พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงใช้เวลาสานรองเท้าฟางโดยไม่มีกำหนดจำนวนตามพระบัญชา พร้อมกับท่องภาวนาพระสูตรไปพร้อมกัน ทำให้ปฏิบัติธรรมได้มากขึ้น บางครั้งก็ทรงแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ที่ต้องถูกฆ่าเป็นอาหารในโรงครัววันละหลายสิบตัว จำนวนบทสวดก็เพิ่มขึ้นหลายร้อยเที่ยว ในบางครั้งก็ทรงหาวิธีถนอมอาหารให้เก็บไว้ใช้ยามขาดแคลน เช่น ทรงให้เก็บข้าวที่เหลือเป็นจำนวนมากในแต่ละมื้อไว้ไปดงไฟไล่ความชื้น แล้วนำไปตากแดด เมื่อแห้งดีแล้วจึงเก็บใส่ถุงผ้าเตรียมไว้ใช้หรือแจกจ่ายแก่ผู้ยากไร้ อีกทั้งพระองค์ยังสนิทสนมกับทุกคนโดยไม่เห็นแก่บรรดาศักดิ์ ทุกคนจึงรักและเคารพพระธิดาเมี่ยวซ่านเป็นทวีคูณ


เจ้าแม่กวนอิมอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ของไต้หวัน


พระธิดาปฏิบัติหน้าที่ของตนทุกวันเรื่อยมาจนครบ ๑ ปี พระเจ้าเมี่ยวจวงก็ค่อย ๆ คลายโทสะลง วันหนึ่งพระองค์มีรับสั่งให้พระธิดาสามเข้าเฝ้ายังท้องพระโรง แล้วก็ได้ทอดพระเนตรเห็นพระธิดาผู้มีความตั้งมั่นอันแรงกล้า แม้ร่างกายจะซูบผอม เสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยปะชุน แต่ความเด็ดเดี่ยวยังฉายเปี่ยมในแววตา พระเจ้าเมี่ยวจวงบริภาษด้วยเสียงอันดังว่า "เราซึ่งไม่เคยพ่ายแพ้ในการรบก็ต้องไม่พ่ายแพ้คนในครอบครัวเช่นกัน ! เมี่ยวซ่านเจ้าจงเลือกคู่ครองจากชายหนุ่มผู้มีสกุลหรือมีความรู้คนใดคนหนึ่งมาสยุมพรด้วยเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป"


พระธิดาเมี่ยวซ่านไม่หวั่นไหวกับคำขู่กลับตรัสว่า "เสด็จพ่อ ลูกได้ตั้งมั่นแล้วว่าจะช่วยดับทุกข์ของผู้คนทั้งหลาย ไม่ฝักใฝ่ในทางโลก หากเลือกได้หม่อมฉันขอสละชีวิตทางโลก เพื่อบวชเป็นภิกษุณีบำเพ็ญธรรมค่อยปลดเปลื้องความทุกข์ของสัตว์โลกดีกว่าเพคะ" พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงแผดสุรเสียงก้องท้องพระโรงว่า "ลูกไม่รักดี คิดจะบวชเป็นชีกระทำตนอ่อนแอหลบอยู่หลังพระคัมภีร์ เราผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินขอประกาศว่าไม่เคยมีลูกเช่นเจ้า จงไสหัวไปใส่เครื่องขาวแล้วออกไปให้พ้นราชวังของเราเดี๋ยวนี้" พระธิดาเมี่ยวซ่านถวายบังคมลาแทบพระบาทแสดงความคารวะสูงสุด จากนั้นจึงเดินทางออกจากวัง ท่ามกลางความเศร้าโศกของเหล่าข้าราชบริพาร โดยเฉพาะเหล่าคนครัวและชาวสวนที่อยู่ใกล้ชิดผูกพันกันมาแรมปี

จบตอนที่ ๘
ติดตามต่อตอนที่ ๙ บททดสอบก่อนออกบวช

__________________
นู๋ Beee เองค่ะ
http://beee.bloggang.com

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Beee_bu : 16-03-2009 เมื่อ 09:20 PM เหตุผล: แก้ไขคำผิด
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 16-03-2009, 01:32 PM   #13
สมาชิก ถูกแบน

วันที่สมัคร: Aug 2006
ข้อความ: 197
Groans: 21
Groaned at 25 Times in 11 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 88
ได้รับอนุโมทนา 1,164 ครั้ง ใน 155 โพส
พลังการให้คะแนน: 0
กุนเชียง will become famous soon enoughกุนเชียง will become famous soon enough
เป็นเรื่องที่น่าดูมากครับ น้องเฮง ขอแสดงความเห็น เอามาลงเร็วๆครับ ขอบคุณ..

ออมิถอฝอ ออมิถอฝอ เสี่ยวไจ้ เสี่ยวไจ้
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 16-03-2009, 01:48 PM   #14
สมาชิก

@^น้ำใส^@'s Avatar

วันที่สมัคร: Oct 2005
ข้อความ: 2,592
Groans: 0
Groaned at 10 Times in 10 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 12,920
ได้รับอนุโมทนา 15,099 ครั้ง ใน 2,022 โพส
พลังการให้คะแนน: 901
@^น้ำใส^@ has a reputation beyond repute@^น้ำใส^@ has a reputation beyond repute@^น้ำใส^@ has a reputation beyond repute@^น้ำใส^@ has a reputation beyond repute@^น้ำใส^@ has a reputation beyond repute@^น้ำใส^@ has a reputation beyond repute@^น้ำใส^@ has a reputation beyond repute@^น้ำใส^@ has a reputation beyond repute@^น้ำใส^@ has a reputation beyond repute@^น้ำใส^@ has a reputation beyond repute@^น้ำใส^@ has a reputation beyond repute
อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

ขอบคุณคะ &#
__________________
พุทธังชีวิตังเมปูเชมิธัมมังชีวิตังเมปูเชมิ สังฆังชีวิตังเมปูเชมิ
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 16-03-2009, 06:44 PM   #15
สมาชิก

sumolthida's Avatar

วันที่สมัคร: Jul 2008
ข้อความ: 6
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 28
ได้รับอนุโมทนา 27 ครั้ง ใน 6 โพส
พลังการให้คะแนน: 0
sumolthida is on a distinguished road
นับถือเจ้าแม่เหมือนกันนะค่ะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ

ร่วมอนุโมทนาด้วยค่ะ
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 16-03-2009, 08:34 PM   #16
สมาชิก

janepat2549's Avatar

วันที่สมัคร: Oct 2006
สถานที่: บ.บางกอก มหานคร
ข้อความ: 1,992
Groans: 10
Groaned at 19 Times in 18 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 23,300
ได้รับอนุโมทนา 23,115 ครั้ง ใน 2,224 โพส
พลังการให้คะแนน: 299
janepat2549 has much to be proud ofjanepat2549 has much to be proud ofjanepat2549 has much to be proud ofjanepat2549 has much to be proud ofjanepat2549 has much to be proud ofjanepat2549 has much to be proud ofjanepat2549 has much to be proud ofjanepat2549 has much to be proud ofjanepat2549 has much to be proud of
ส่งข้อความผ่าน MSN ถึง janepat2549
สาธุ...นโมโพธิสัตว์กวานอิน ขอโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้ ที่ศรัทราต่อองค์พระโพธิสัตว์อย่างแรงกล้า...สาธุๆ
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 16-03-2009, 09:15 PM   #17
สมาชิก

กรวี's Avatar

วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: หน้าเขามหาชัย นครศรีธรรมราช
ข้อความ: 115
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 237
ได้รับอนุโมทนา 596 ครั้ง ใน 92 โพส
พลังการให้คะแนน: 19
กรวี is on a distinguished road
ส่งข้อความผ่าน MSN ถึง กรวี
เราจะทำได้สักเสี้ยวนึงของพระแม่รึเปล่าหนอ..
__________________
~มีความสุขกับสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ @^_^@..คือฉัน คือตะวัน คือกรวี..
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 17-03-2009, 08:04 AM   #18
สมาชิก

วันที่สมัคร: Aug 2007
อายุ: 31
ข้อความ: 42
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 65
ได้รับอนุโมทนา 166 ครั้ง ใน 39 โพส
พลังการให้คะแนน: 0
Beee_bu is on a distinguished road

ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๙ บททดสอบก่อนออกบวช


ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

ตอนที่ ๙
บททดสอบก่อนออกบวช



พระธิดาเมี่ยวซ่านยังคงเดินจากไปอย่างงามสง่า เสมือนหลุดพ้นจากห่วงทุกข์อันยิ่งใหญ่ เพราะในใจนั้นแสนปีติที่ได้ออกบวชบำเพ็ญธรรมสมความตั้งใจ มิได้อาลัยอาวรณ์กับทรัพย์สมบัติหรือราชบังลังก์เบื้องหลังเลย

พระธิดาเมี่ยวซ่านเสด็จสู่อารามนกยูงขาว พร้อมทหารรักษาพระองค์หนึ่งกองร้อยเป็นผู้ติดตาม ผ่านถนนสายต่าง ๆ ในพระนคร ชาวเมืองต่างพากันมาชมพระบารมีไม่ขาดสาย ต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า พระธิดาผู้งดงามสูงศักดิ์ยอมสละทรัพย์สมบัติมหาศาล เสด็จสู่ทางแห่งพุทธธรรม น่าสรรเสริญยิ่งนัก

ครั้นกองทหารนำทางพระธิดาสู่วัดนกยูงขาวเรียบร้อยแล้ว เตรียมจะลากลับ นายทหารผู้นำกองร้อยจึงแจ้งสาสน์ลับแก่ภิกษุณีเจ้าอาวาสว่า "พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงมีพระบัญชาให้พระธิดาเมี่ยวซ่านทำงานหนักที่สุดและต่ำช้าที่สุด ห้ามให้ผู้ใดช่วยเหลือเป็นอันขาด มิเช่นนั้นทั้งวัดนี้และวัดอื่น ๆ ในราชอาณาจักรจะถูกทำลายจนหมดสิ้น" พระภิกษุณีต้องรับพระบัญชาด้วยความจำยอม


หลังจากกองทหารนำเสด็จกลับไปแล้ว พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงตรัสขอออกบวชเพื่อแสวงหาทางดับทุกข์ และช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งปวง ภิกษุณีเจ้าอาวาสท่านมีจิตสงสารพระธิดาเป็นที่สุด จึงกล่าวว่า "พระธิดาผู้สูงศักดิ์ พระเจ้าเมี่ยวจวงมีรับสั่งมาให้พระองค์ทำงานอันหนักและต่ำช้าเป็นการทดสอบก่อนบวช ไม่ทราบว่าพระองค์จะอดทนได้หรือไม่" พระธิดาเมี่ยวซ่านตรัสยืนยันว่า "พระแม่เจ้าอย่าได้กังวลเลย ร่างกายของข้าพเจ้านี้ได้ผ่านงานหนักมาแรมปี ย่อมอดทนต่อกิจทั้งปวงได้อย่างแน่นอน" ภิกษุณีเจ้าอาวาสจึงพาพระธิดาเข้าปฏิญาณตนต่อพระพุทธปฏิมาทองคำในยามสนธยานั้นเอง

วัดนกยูงขาวในคืนนั้นจึงมีเสียงสวดสาธยายพระสูตรดังเจื้อยแจ้วเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงจากพระธิดาเมี่ยวซ่าน ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบเงียบ กลิ่นธูปควันเทียนลอยขึ้นฟ้าปนกับกลิ่นใบสนในอากาศ นับเป็นความสุขสงบเรียบง่ายทั้งกายและใจที่พระธิดาไขว่คว้ามาตลอดชีวิต

พระธิดาเมี่ยวซ่านเข้าที่พักเมื่อเวลาดึกสงัด จวบจนยามใกล้รุ่งจึงลุกขึ้นจากที่บรรทมเตรียมปฏิบัติภารกิจที่พระบิดาสั่งการไว้ โดยแต่งองค์ในชุดขาวคล้ายชี แต่ขมวดผมมุ่นเป็นมวยเพราะยังมิอาจปลงผมได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระบิดา


ครั้นพระองค์เสด็จผ่านลานวัดเพื่อจะไปตักน้ำ ปรากฎว่ามีชายแปลกหน้าผู้หนึ่งท่าทางมีสง่าเหนือคนทั่วไปกำลังยืนรอพระธิดาอยู่ พร้อมกับกล่าวว่า "พระธิดาผู้ภักดีในพระพุทธศาสนาจะเสด็จไปตักน้ำในบ่อที่ห่างไกล เสมือนสิ่งกีดขวางการปฏิบัติธรรมตามประสงค์ร้ายของพระบิดา แต่เราจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่" ทันใดนั้นได้มีบ่อน้ำพุอุบัติขึ้นมากลางลานวัด น้ำสะอาดบริสุทธิ์ใสปานแก้วไหลพวยพุ่งดังจะไม่มีวันสิ้นสุด ภิกษุณีเมี่ยวซ่านตะลึงงัน และเมื่อจะหันไปคารวะท่านผู้วิเศษ ชายผู้นั้นก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าและกล่าวว่า วิบากกรรมของผู้มีบุญบารมี เช่นท่านทำให้สวรรค์ร้อนดั่งเพลิง เราจึงลงมาช่วยเหลือท่าน อย่าแปลกใจไปเลย"

พระธิดาเมี่ยวซ่านยินดียิ่งนักจึงเปล่งวาจาว่า "หากผลบุญจากแรงภาวนาของข้าพเจ้ามีจริงขอให้น้ำพุจากธารนี้จงกลายเป็นโอสถบำบัดความเจ็บป่วยแก่ผู้มาลิ้มรสหรือผู้มาวัดนี้ด้วยใจศรัทธาเทอญ"

ด้วยแรงอธิษฐานนั้นเอง ทำให้น้ำพุนั้นกลายเป็นน้ำทิพย์ ช่วยผู้คนจากทั่วสารทิศที่เดินทางมาทำบุญในวัดนี้ ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ยกเว้นผู้มีบาปอกุศลอันร้ายแรงเท่านั้นที่ดื่มกินเท่าไรก็ไม่บังเกิดผล

ต่อมาพระธิดาเมี่ยวซ่านได้เสด็จสู่พระวิหาร เพื่อจะเก็บกวาดทำความสะอาด แต่ทว่าได้มีบุรุษแปลกหน้ากำลังกวาดพื้นอยู่ เมื่อชายผู้นั้นเห็นพระธิดาจึงกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเป็นเทพบนสวรรค์ แต่บุญกุศลที่มียังไม่เท่าการได้รับใช้พระโพธิสัตว์ในขณะยังมีพระชนม์ชีพ ดังนั้นขอให้ข้าพเจ้าได้กวาดวิหารนี้ต่อไปเถิด" พระธิดาเมี่ยวซ่านจำต้องยินยอม

จากนั้นได้เสด็จออกจากวัดขึ้นเขาเพื่อเก็บฟืน ทันใดนั้นก็ปรากฏชายสวมเสื้อผ้าสีเขียวแบกฟืนเดินมาคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์แล้วกล่าวว่า "ข้าแต่องค์พระโพธิสัตว์ ข้าพเจ้าเป็นเทพารักษ์แห่งภูเขานี้มาหลายพันปี ขอให้ข้าพเจ้าได้รับใช้แบกฟืนแทนพระองค์ เพื่อผลบุญอันยิ่งใหญ่ด้วยเทอญ" พระธิดาเมี่ยวซ่านฟังแล้วจึงว่า "สาธุ ขอจงเป็นไปตามที่ท่านปรารถนาเถิด"

เมื่อพระธิดาว่างเว้นจากการทำงาน พระองค์จึงประทับเจริญภาวนา สาธยายพระสูตรเรื่อยไป ขณะนั้นเองได้มีฝูงนกบินมาจากทั่วทุกทิศลงมาห้อมล้อมพระธิดาพร้อมถวายผลไม้ให้เสวยมากมาย ช่วงเวลาเดียวกันก็บังเกิดเสียงพึมพำซุบซิบลอดเข้าไปในวิหาร เสียงระฆังดังกังวานโดยไม่มีคนตี นับเป็นความอัศจรรย์อันเกิดขึ้นได้ยากบนโลกนี้

จบตอนที่ ๙
ติดตามต่อตอนที่ ๑๐ ปาฏิหารย์จากแรงภาวนา
__________________
นู๋ Beee เองค่ะ
http://beee.bloggang.com
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 18-03-2009, 09:35 AM   #19
สมาชิก

วันที่สมัคร: Aug 2007
อายุ: 31
ข้อความ: 42
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 65
ได้รับอนุโมทนา 166 ครั้ง ใน 39 โพส
พลังการให้คะแนน: 0
Beee_bu is on a distinguished road

ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๑๐ ปาฏิหารย์จากแรงภาวนา


ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

ตอนที่ ๑๐
ปาฏิหารย์จากแรงภาวนา



เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ทุกวัน จนกระทั่งพระภิกษุณีหวั่นเกรงอำนาจแห่งสวรรค์เป็นอันมาก เพราะเสียงลึกลับดังกล่าวนั้นเป็นเสียงของเหล่าเทวดากระซิบกระซาบและเสียงย่างก้าวตามขั้นบันไดของผู้ไม่ปรากฏตัวตน เพื่อมาช่วยงานพระธิดาเมี่ยวซ่านทั้งสิ้น

ท่านเจ้าอาวาสจึงให้ภิกษุณีลูกวัดนำความไปแจ้งแก่พระเจ้าเมี่ยวจวงว่า บัดนี้วัดนกยูงขาวมิอาจทำตามบัญชาของพระองค์ที่ให้ทรมานพระธิดาเมี่ยวซ่านผู้มากบารมีได้อีกต่อไป

ภิกษุณีผู้แจ้งข่าวเข้าเฝ้าพระเจ้าเมี่ยวจวง ณ ตำหนักฤดูร้อนอันงดงามตระการตา โอบล้อมด้วยกองทัพอันเกรียงไกรสมพระเกียรติองค์จักรพรรดิแห่งซิงหลิง แต่เมื่อภิกษุณีกราบทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพระธิดาในยามนี้แล้ว พระเจ้าเมี่ยวจวงก็ทรงพิโรธยิ่ง ตรัสแก่ภิกษุณีว่า "จงกลับไปก่อนแล้วเราจะส่งสาสน์คำสั่งให้แก่เจ้าวาอาสโดยเร็ว" หลังจากนั้นพระเจ้าเมี่ยวจวงก็ไม่สามารถทอดพระเนตรมหรสพตรงหน้าด้วยใจเบิกบานได้อีกต่อไป เพราะความกริ้วพระธิดาสามเป็นกำลัง


"ทหาร ! ไปตามแม่ทัพฮูบีหลี มาเดี๋ยวนี้" พระเจ้าเมี่ยวจวงสั่งทหารองครักษ์ เมื่อทรงคิดแผนการบางอย่างได้ ชั่วครู่แม่ทัพฮูบีหลีก็มาเข้าเฝ้า พระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสว่า "ท่านรับใช้เรามาในการสงครามกว่าร้อยครั้ง ยังไม่เคยทำให้เราผิดหวัง ในยามนี้เกิดสงครามขึ้นในครอบครัวของเราเอง นั่นคือลูกสามของเราหลงไปนับถือลัทธิของผู้อ่อนแอจากต่างแดน และลัทธินี้กำลังบ่อนทำลายชาวเมืองของเรา ขอท่านจงนำกำลังไปล้อมวัดนกยูงขาวแล้วเผาผลาญให้สิ้นไป ภิกษุณีทุกคนต้องตายไม่เว้นแม้แต่ลูกสาวของเรา" แม่ทัพฮูบีหลีรับบัญชาด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม "เช้าตรู่พรุ่งนี้พระองค์จะได้ทอดพระเนตรเพลิงแดงฉานทางทิศตะวันตก หม่อมฉันขอให้สัญญา"

คืนนั้น แม่ทัพฮูบีหลีนำกำลังทหารเดินทัพสู่วัดนกยูงขาวโดยมิหยุดพักเลย ครั้นใกล้รุ่งชะตากรรมของวัดแห่งนี้ก็ถูกล้อมไว้ด้วยทหารนับร้อยที่แกว่งคบเพลิงขึ้นเผาวัดนกยูงขาวทันที

บรรดาภิกษุณีวิ่งหนีความร้อนจากเพลิงกันอลหม่าน โดยทั้งหมดวิ่งไปยังกุฏิของพระธิดาเมี่ยวซ่าน ร้องขอชีวิตกันละล่ำละลัก "พระธิดาช่วยพวกเราด้วย เพลิงนี้เกิดขึ้นเพราะพระองค์ พวกเราไม่ต้องการตายในกองเพลิง" พระธิดาเมี่ยวซ่านตระหนักดีว่าทหารของพระเจ้าเมี่ยวจวงอำมหิตถึงขนาดเผาวัดฆ่าชีได้โดยไม่กลัวบาปกรรม จึงทำใจให้สงบและรวมสมาธิให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวระลึกถึงพระพุทธคุณด้วยใจตั้งมั่น


ขอได้ทรงโปรดช่วยภิกษุณีผู้ไม่มีความผิดทั้งหลายให้รอดพ้นจากเพลิงกาฬทั้งปวงด้วยเถิดและขอทรงช่วยข้าพระองค์ได้บรรลุเจตนาในการสำเร็จสู่โพธิญาณเช่นเดียวกับพระองค์ในปางก่อน โปรดส่งธาราอันเยือกเย็นลงมาดับความร้อนนี้ด้วยเทอญ ทันใดนั้นเมฆฝนทมึนได้ก่อตัวขึ้นเทสายฝนลงมาห่าใหญ่ ดับไฟที่กำลังแผดเผาวัดจนมอดหมดสิ้น ผู้คนที่ได้สัมผัสสายฝนนั้นต่างรู้สึกชุ่มฉ่ำสดชื่นขึ้นอย่างแปลกประหลาด จะมีก็แต่แม่ทัพฮูบีหลีเท่านั้นที่ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว "แม้แต่ลมฝนยังช่วยพระธิดาหรือนี่ ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก" ท่านแม่ทัพรีบสั่งให้นายทหารไปกราบทูลเหตุการณ์ดังกล่าวโดยด่วน

ฝ่ายพระเจ้าเมี่ยวจวงเมื่อได้ฟังก็พิโรธยิ่ง จึงสั่งการลงไป "ไปนำตัวเมี่ยวซ่านมาเดี๋ยวนี้ ! มันต้องตาย !" เมื่อพระบัญชาลงมาเยี่ยงนี้แล้วย่อมมิอาจขัดได้ นายทหารผู้นั้นนำความมาแจ้งแก่แม่ทัพฮูบีหลี และดำเนินการตามพระประสงค์โดยด่วน

พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงถูกควบคุมตัวจากอารามนกยูงขาว แม้เพิ่งพ้นเคราะห์กรรมจากเพลิงกาฬมาหมาด ๆ แต่เหล่าทหารยังคงนำพระธิดาไปสู่ทางแห่งความทุกข์และความตามอย่างไม่ปราณี

พระเจ้าเมี่ยวจวงจัดสถานที่ในอุทยานอย่างงดงามตระการตา เต็มไปด้วยหมู่นางระบำรำฟ้อง นักร้อง นักดนตรี ขับกล่อมเพลงประสานเสียงอย่างไพเราะ หมู่นางกำนัลปรนนิบัติอำนวยความสะดวกสบาย พระธิดาเมี่ยวซ่านทอดพระเนตรสรรพสิ่งรอบกาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งไม่จีรังด้วยสายตาแน่วแน่ไม่หวั่นไหวไปกับความบันเทิงใด ๆ พระเจ้าเมี่ยวจวงเห็นดังนั้นจึงพิโรธยิ่งกว่าทุกครั้ง บริภาษเสียงลั่นว่า "ข้าอุตส่าห์จัดสิ่งเริงรมย์ไว้ให้ดูเป็นครั้งสุดท้ายเพราะเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก เผื่อเจ้าจะเปลี่ยนใจกลับมาใช้ชีวิตปกติเยี่ยงกษัตริย์ แต่ดูสิว่าไอ้ลัทธิที่มันนับถือได้ทำลายชีวิตลูกสาวข้าจนไม่เหลือดี ทหาร ! นำนางเมี่ยวซ่านไปประหารเสียในป่า อย่าให้เลือดมันตกต้องตำหนักนี้"

จบตอนที่ ๑๐
ติดตามต่อตอนที่ ๑๑ ประหารพระธิดา


อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.ph...oup=9&gblog=32
__________________
นู๋ Beee เองค่ะ
http://beee.bloggang.com
ฯ ๗๑   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 19-03-2009, 12:49 PM   #20
สมาชิก

วันที่สมัคร: Aug 2007
อายุ: 31
ข้อความ: 42
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 65
ได้รับอนุโมทนา 166 ครั้ง ใน 39 โพส
พลังการให้คะแนน: 0
Beee_bu is on a distinguished road

ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๑๑ ประหารพระธิดา


ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

ตอนที่ ๑๑
ประหารพระธิดา



เหล่าทหารกรูเข้ามาล้อมรอบตัวพระธิดา นำพาไปยังลานประหารทันที ซึ่งพระองค์ก็มิได้มีอาการหวั่นไหวสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใดเลย กลับเสด็จอย่างแน่วแน่มั่นคง และเหมือนฟ้าเบื้องบนรับรู้ถึงความวิปโยคอันเกิดต่อพระธิดาผู้เมตตา อากาศรอบกายจึงอบอ้าว เมฆทมึนปกลุมทั่วท้องฟ้า แสงดาวฉายแสงริบหรี่ พระอาทิตย์แดงฉานดั่งลูกไฟ ทว่ารอบกายพระธิดาเมี่ยวซ่านกลับมีแสงรัศมีแห่งความสงบแผ่โดยรอบ พระธิดาดำเนินไปพร้อมจิตที่มุ่งอธิษฐานถึงพระพุทธองค์ ขอให้ดวงจิตของข้าพเจ้าสามารถแผ่ความเมตตาไปทั่วทุกทิศในสากลโลก แปรความชังเป็นความการุณ แม้ข้าพเจ้าจักตายก็ไม่ปรารถนาความสุขสบายบนสวรรค์ แต่ขอให้ข้าพเจ้านำแสงสว่างไปสู่ผู้คนแม้ในขุมนรกด้วยเทอญ



เมื่อมาถึงแดนประหาร เพชฌฆาตผู้คอยจ้องคร่าชีวิตก็มิได้ปรานีพระธิดาแม้แต่น้อย เขาเงื้อดาบเล่มยักษ์ฟันเข้ากลางลำตัวของพระธิดาทันที แต่ทว่าดาบอันคมกริบกลับไม่สามารถทำให้พระธิดาบาดเจ็บได้แม้แต่น้อย เพราะอารักษ์แห่งขุนเขาเนรมิตเกราะทองอันแข็งแกร่งคุ้มกันรอบองค์โดยไม่มีผู้ใดเห็น เพชฌฆาตประหลาดใจนัก คว้าหอกเข้าแทงซ้ำ ด้ามหอกก็หักสะบั้นลง ดาบปลายหอกแตกเป็นเสี่ยง ๆ เพชฌฆาตตกใจถอยกราด แม่ทัพฮูบีหลีและเหล่าทหารต่างตะลึงงัน แต่พระราชโองการเป็นสิ่งที่มิอาจขัดขืน ท่านแม่ทัพจึงสั่งให้เพชฌฆาตใช้เชือกประหารแทน

เพชฌฆาตรีบนำผ้าแพรพันรอบพระศอแล้วผูกโยงขึ้นกับกิ่งไม้ใหญ่ ชั่วครู่พระธิดาเมี่ยวซ่านก็สิ้นลมหายใจ ทันใดนั้นสายลมหนาวยะเยือกพัดอวลสู่แดนประหาร โลกทั้งโลกมืดมิดลงไปกับตา สายฟ้าแลบแปลบปลาบทั่วฟ้า พื้นแผ่นดินไหวสะเทือน ดุจอาณาจักรจะพินาศไปพร้อมมรณกรรมของพระธิดา ท่ามกลางความมืดมิดและเสียงกรีดร้องของผู้คนได้ปรากฎแสงเรืองดั่วเปลวไฟบนยอดเขาใกล้แดนประหารทะยานลงมาสู่ร่างพระธิดา เปลวไฟนั้นแลคล้ายเสือโคร่งร่างใหญ่ รับเอาพระธิดาขึ้นหลังแล้วทะยานจากไป

ความจริงแล้วเสือโคร่งตัวนั้นเป็นร่างนิมิตของเทพารักษ์แห่งขุนเขา แปลงมาเพื่อพาพระธิดาไปสู่เขาเยี้ยม้อซานให้ห่างไกลอันตรายจากพระเจ้าเมี่ยวจวง ณ เชิงเขาแห่งนั้นมีวัดจินกวงหมิงตั้งอยู่ วัดแห่งนี้เป็นวัดร้าง เพราะเมื่อไม่นานมานี้มีเสือโคร่งออกอาละวาดกัดกินพระภิกษุ และป้วนเปี้ยนอยู่ในบริเวณเชิงเขา ทำให้ชาวบ้านไม่กล้ามาทำบุญ พระเหล่านั้นจึงย้ายไปจำพรรษาที่อื่น และเมื่อไม่มีเหยื่อก็ไม่มีผู้ใดเห็นเสือโคร่งตัวนั้นอีกเลย กระทั่งปัจจุบันเทพารักษ์ในร่างเสือโคร่งได้นำร่างของพระธิดาเมี่ยวซ่านมาไว้ภายในอาราม นำยาเม็ดอมตะใส่ปากพระธิดาเพื่อป้องกันร่างเน่าเปื่อย รอให้ดวงวิญญาณกลับคืนร่างเดิม แล้วเทวดาในร่างเสือก็จากไป

ครั้นยามรุ่งสางพระธิดาจึงค่อย ๆ ฟื้นขึ้น แล้วก็ต้องแปลกใจยิ่งนักเมื่อพบว่าตนเองยังมิได้สิ้นลมหายใจไป เมื่อเหลียวมองรอบกายก็พบว่าทรงอยู่ในอารามร้างแห่งหนึ่ง เบื้องหน้ามีพระพุทธรูปของพระอมิตตาอันทรุดโทรม ทอดพระเนตรมายังพระธิดาเมี่ยวซ่านด้วยแววตาเปี่ยมความการุณย์ พระธิดาก้มกราบองค์พระพุทธรูปแล้วตรัสว่า "พระอมิตตา โปรดอภัยในความผิดเพราะความไม่รู้ของพระบิดาของลูกด้วย บัดนี้ลูกไร้ที่พึ่งอื่นใดนอกจากขออาศัยในอารามแห่งนี้เพื่อปฏิบัติพุทธกิจอย่างเต็มที่ ขอทรงอนุญาตด้วยเทอญ" พระธิดาก้มกราบกระทำคารวะสูงสุด พร้อมกันนั้นได้มีสายลมเย็นซาบซ่าพัดแผ่วพลิ้วผ่านองค์ของพระธิดาเสมือนเบื้องบนรับรู้กระนั้น

จบตอนที่ ๑๑
ติดตามต่อตอนที่ ๑๒ พระเจ้าเมี่ยวจวงกลับใจ
__________________
นู๋ Beee เองค่ะ
http://beee.bloggang.com

อ้างอิง

http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://people.hofstra.edu/geotrans/eng/ch1en/conc1en/img/silkroad.gif&imgrefurl=http://board.palungjit.com/f13/%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2588%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A1-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B9%2593%25E0%25B9%2592-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%259A-%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25A7%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2597%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2581-%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2593-%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599-%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B2-%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2-3-a-178700.html&usg=__egCTiQkXI8tu7WEOO5r0UCZrXI0=&h=339&w=630&sz=19&hl=th&start=4&um=1&tbnid=ivNby_hDl4-_9M:&tbnh=74&tbnw=137&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AA%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%26hl%3Dth%26sa%3DN%26um%3D1
 
< ก่อนหน้า   ถัดไป >

สมุดภาพเหมืองแร่

Counter

mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterวันนี้432
mod_vvisit_counterเมื่อวาน1456
mod_vvisit_counterทั้งหมด11414175