เขาคา : ศูนย์กลางจักรวาลของเมืองตามพรลิงค์
เมื่อฤดูร้อนปี พ.ศ. 2543 ข้าพเจ้าและนักโบราณคดีรุ่นน้องไปขุดค้นอยู่ที่เขาศรีวิชัย (หรือเขาพระนารายณ์ในชื่อเดิม) อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เขาศรีวิชัยเป็นภูเขาลูกโดด ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ กว้างประมาณ 100 เมตร ยาวประมาณ 650 เมตร บนยอดเขามีเนินโบราณสถานตั้งอยู่ตลอดแนวสันเขาประมาณ 8 เนิน ณ ภูเขาแห่งนี้เคยพบเทวรูปพระวิษณุหรือพระนารายณ์ขนาดเท่าคนจริง (สูงประมาณ 170 เซนติเมตร) อยู่บนยอดเขาทางด้านทิศเหนือ ต่อมาได้มีการนำพระนารายณ์องค์นี้ไปไว้ที่กรุงเทพฯเมื่อ 80 กว่าปีมาแล้ว ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร หลังจากนั้นก็ได้พบเทวรูปพระนารายณ์อีก 3 องค์ในสภาพไม่สมบูรณ์ หลักฐานที่กล่าวมานี้ชี้ให้เห็นว่าโบราณสถานบนยอดเขาควรจะเป็นเทวสถานเพื่อบูชาพระวิษณุในศาสนาฮินดูลัทธิไวษณพนิกาย
ในการขุดค้นครั้งนี้สิ่งที่สร้างความตื่นตาตื่นใจที่สุดก็คือ การค้นพบฐานหินทรงปิระมิดยอดตัด ที่เกิดจากการนำก้อนหินขนาดใหญ่มาก่อเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ ตั้งแต่เชิงเขาขึ้นไปในรูปฐานปิระมิดจนถึงยอดเขาก็จะปรับพื้นข้างบนให้เป็นที่ราบเรียบ ฐานปิระมิดนี้จึงได้รับชื่อเรียกว่าฐานปิระมิดยอดตัด ระหว่างการเรียงหินได้ถมดินลูกรัง ก้อนหินขนาดใหญ่ หินที่ถูกทุบให้แตกเป็นก้อนเล็กๆ ถมอัดลงไปบนภูเขาธรรมชาติที่มีระดับสูงต่ำไม่เท่ากัน เมื่อถึงยอดเขาก็ปรับพื้นที่ให้เป็นแนวระนาบเรียบเพื่อสร้างเทวาลัยศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขา สิ่งก่อสร้างที่กล่าวถึงนี้เป็นการดัดแปลงภูเขาธรรมชาติให้กลายเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ด้วยฝีมือของแรงงานจำนวนมากที่คงมีระบบการควบคุม จัดการและดำเนินการให้เป็นไปตามความต้องการของผู้มีอำนาจ ถึงแม้ว่าความศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นแรงผลักดันอย่างหนึ่งในการสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา แต่ในการก่อสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่ที่ต้องเกณฑ์แรงงานคนจำนวนมาก น่าจะมีสิ่งที่แฝงอยู่และสิ่งนั้นก็คืออำนาจรัฐ หรืออำนาจทางการเมืองการปกครองที่เข้ามาดำเนินการให้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งของผู้ปกครอง ซึ่งเข้าใจว่าผู้ปกครองในยุคนี้ (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-14) น่าจะยกระดับเป็นพระราชาหรือกษัตริย์มิใช่ผู้นำหมู่บ้านธรรมดาๆ
จากหลักฐานที่เขาศรีวิชัยเป็นกระจกสะท้อนภาพศาสนสถานบนยอดเขาในเมืองนครศรีธรรมราชที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันคือ เขาคา ในเขตอำเภอสิชล ซึ่งเป็นภูเขาลูกโดด บนยอดเขานี้มีเทวสถานเรียงรายกันหลายหลัง ที่น่าสนใจที่สุด คือโบราณสถานที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุดของเขาคา สภาพปัจจุบันค่อนข้างรก ยังมิได้ขุดแต่งศึกษารูปแบบสถาปัตยกรรม จึงยังมิได้พัฒนาแต่อย่างใด อีกทั้งตำแหน่งที่ตั้งของโบราณสถานอยู่บริเวณยอดเขาคนละเนินกับโบราณสถานก่ออิฐทางยอดเนินด้านทิศใต้ จึงทำให้เป็นที่ลับตา คนทั่วไปที่ไปเยี่ยมชมเขาคาจึงเดินทางไปไม่ถึง
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดของเนินโบราณสถานทางทิศเหนือคือ มีโขดหินธรรมชาติแท่งใหญ่โผล่พ้นดินขึ้นมาในมุมเอียงประมาณ 70 –80 องศา สูงประมาณ 2 เมตรเศษ ก้อนหินนี้มีร่องรอยการกะเทาะที่ขอบส่วนบนให้มีลักษณะคล้ายเส้นเอ็นของส่วนหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย เรียกว่าเส้นพรหมสูตร ซึ่งจะสลักเป็นเส้นดิ่งบนส่วนหน้าแล้วลากลงมาทางซ้ายและขวา ลากไปพบกันด้านหลังเรียกว่า เส้นปารศวสูตร แม้ว่าแท่งหินธรรมชาติแท่งนี้จะมีเส้นลักษณะของพรหมสูตรและปารศวสูตรไม่ชัดเจนเหมือนส่วนสำคัญของมานุษลึงค์ (ลึงค์ที่มนุษย์สร้างขึ้น) แต่องค์ประกอบอื่นๆที่ประกอบกันเป็นศาสนสถานบ่งชี้ว่าแท่งหินนี้มิใช่แท่งหินธรรมดาๆ แต่เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ
องค์ประกอบที่กล่าวถึงนี้ ได้แก่ แนวหินที่ก่อเรียงซ้อนกัน 3 แถวในลักษณะยกเป็นแท่นภายในถมดินแล้วปรับด้านบนให้เรียบ อยู่ในผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 14.20 x 16 เมตร ก่อล้อมแท่งหินที่น่าจะเป็นศิวลึงค์ไว้ตรงกลาง ถัดจากแนวแท่นหินออกไปด้านนอกมีลักษณะสิ่งก่อสร้างที่เกิดจากการนำก้อนหินมาก่อเรียงกันเป็นแนวเขตคล้ายกำแพงแก้วเพื่อกำหนดขอบเขตศาสนสถาน มีผังเกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง-ยาวประมาณด้านละ 34.50 เมตร แนวหินขอบนอกที่ครั้งแรกข้าพเจ้าเข้าใจว่าเป็นกำแพงแก้วนี้ก็พบที่โบราณสถานบนยอดเขาศรีวิชัย แต่เมื่อดำเนินการขุดค้น ขุดแต่งโบราณสถานแล้วจึงพบว่าสิ่งนี้คือ ฐานหินทรงปิระมิดยอดตัด ไม่ใช่กำแพงแก้วที่ก่อล้อมเพื่อกำหนดเขตโบราณสถาน เพราะฉะนั้นแนวฐานหินที่เขาคาก็น่าจะสร้างด้วยเทคนิคเดียวกันกับโบราณสถานที่เขาศรีวิชัย คือมีการนำก้อนหินขนาดใหญ่ก่อเรียงมาจากเชิงเขาในรูปทรงของฐานปิระมิด เมื่อถึงยอดเขาก็ปรับพื้นที่ให้เรียบโดยการถมอัดปรับพื้นและปรับระดับแล้วก่อสร้างเทวสถานบนยอดเขา ดังนั้นแท่งหินธรรมชาติที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนฐานหินนี้จะต้องเป็นสัญลักษณ์สูงสุดทางศาสนา ซึ่งจะเป็นอะไรอย่างอื่นไปไม่ได้นอกเสียจาก “ศิวลึงค์”
บางท่านเรียกศิวลึงค์ที่โบราณสถานแห่งนี้ว่า “ลิงคบรรพต” อาจารย์ก่องแก้ว วีระประจักษ์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านภาษาโบราณ กรมศิลปากร ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการอธิบายว่าสิ่งใดคือลิงคบรรพตว่า ให้ดูที่องค์ประกอบแวดล้อมของสถานที่นั้น ถ้ามีองค์ประกอบแวดล้อมชัดเจนว่าสิ่งนั้นสร้างขึ้นหรือปรับใช้เพื่ออุทิศถวายแต่พระศิวะโดยการสถาปนาศิวลึงค์ธรรมชาติบนยอดเขา สิ่งนั้นก็จะเป็นลิงคบรรพตคือ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ในแคว้นปาณฑะรังคะซึ่งเป็นของพวกจามทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม มีภูเขาลูกหนึ่งตรงปลายแหลมบนยอดภูเขาที่เด่นตรงออกมาคล้ายกับแท่งศิวลึงค์ เขาลูกนี้เห็นได้ทั้งจากที่ราบภายในและจากทะเล โดยเฉพาะจากทะเลนั้น เป็นสิ่งที่นักเดินเรืออาจใช้สังเกตเป็นสัญลักษณ์ของภูมิประเทศ (Land mark) ว่าได้เดินทางมาถึงชายฝั่งทะเลของเมืองใดแล้ว ดูเหมือนความโดดเด่นของภูเขาที่มีเดือยคล้ายศิวลึงค์อยู่บนยอดเขานี้ได้มีผู้จดบันทึกไว้ในจดหมายเหตุจีนโบราณ และเรียกภูเขาลูกนี้ว่าลิงคบรรพต
มีเขาสูงอีกลูกหนึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ในเขตเมืองจัมปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีชื่อว่าภูเก้า สูงตระหง่านอยู่เหนือที่ราบลุ่มของเมืองจัมปาสัก บนยอดเขามีเดือยหรือแท่งหินที่ดูคล้ายลึงค์ธรรมชาติ ตรงไหล่เขาและเชิงเขาลูกนี้เป็นที่ตั้งปราสาทขอมที่มีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 (พ.ศ.1545-1593) แห่งอาณาจักรกัมพูชา เรียกกันทั่วไปในปัจจุบันว่า ปราสาทวัดภู เป็นปราสาทขนาดใหญ่และสวยงามไม่แพ้เขาพระวิหาร รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดมตีความว่าบริเวณที่เป็นเมืองจัมปาสักเดิมมีเมืองขอมรูปสี่เหลี่ยมเกือบเป็นจัตุรัสตั้งอยู่ เป็นร่องรอยของเมืองเศรษฐปุระ และมีความเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองในสมัยเจนละที่หลายท่านตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเมืองสำคัญของเจนละบก ร่องรอยของเมืองเศรษฐปุระที่มีมาก่อนเมืองพระนคร (Angkor) ปราสาทวัดภู และภูเก้า ที่มีศิวลึงค์ธรรมชาตินั้นก็คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความนึกคิดของคนเจนละและขอมโบราณที่เกี่ยวกับการสร้างบ้านแปงเมืองที่สัมพันธ์กับภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้นแท่งหินที่โบราณสถานด้านทิศเหนือของเขาคาจึงเข้าข่าย “ลิงคบรรพต” เป็นการเลือกสรรชัยภูมิที่มีความเหมาะสมกับคติความเชื่อทางศาสนา จึงเกิดบูรณาการของการสร้างบ้านแปงเมืองที่ผูกพันกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์ โดยที่ภูเขาลูกนี้มีลึงค์ที่พระศิวะทรงประทานมาให้ เป็นลึงค์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เรียกว่า “สวยัมภูลึงค์” หากสวยัมภูลึงค์เกิดการแตกหักไปต้องเอาทองหรือทองแดงไปซ่อม จึงสันนิษฐานว่าสวยัมภูลึงค์หรือลิงคบรรพตนี้อาจเป็นที่มาของคำว่า “ตามพรลิงค์” และเป็นศาสนสถานแห่งแรกที่สร้างขึ้นบนเขาคา ในลักษณะเทวสถานกลางแจ้งที่ไม่มีตัวอาคารคลุม สร้างกลมกลืนอยู่กับธรรมชาติ หลังจากนั้นต่อมาจึงได้มีการสร้างเทวสถานก่ออิฐเพิ่มเติมขึ้นทางยอดเนินด้านทิศใต้
บนเกาะชวาภาคกลางมีจารึกกล่าวถึงการประดิษฐานศิวลึงค์ที่เขาวูกีร์ เมื่อ พ.ศ.1275 โดยพระเจ้าสัญชัย ตามคติความเชื่อที่ว่าการกระทำเช่นนั้นทำให้พระศิวะสามารถเข้ามาสู่องค์กษัตริย์และให้ความเป็นอมตะแก่พระองค์ ต่อมาที่เกาะชวาภาคตะวันออก พระเจ้าเกียรตินครได้ประดิษฐานศิวลึงค์ไว้ในห้องกลางของจันทิสิงหัดส่าหรี เมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ 19
ในเขมรสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ได้ประดิษฐานลัทธิเทวราช หมายถึงลัทธิที่ถือว่าพระราชาได้รับอำนาจจากพระศิวะผ่านพราหมณ์ และพราหมณ์จะประดิษฐานอำนาจของพระราชาที่ศิวลึงค์ซึ่งสร้างขึ้นบนภูเขาโดยสมมติว่าศิวลึงค์นั้นประดิษฐานบนยอดเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของโลก โดยประกอบพิธีประดิษฐานศิวลึงค์ขึ้นบนเขาพนมกุเลน (มเหนทรบรรพต) ในพุทธศตวรรษที่ 14 ด้วยคติความเชื่อนี้ศิวลึงค์จึงแพร่หลายมากในกัมพูชา
ในจัมปา(เวียดนาม)พบจารึกจำนวน 130 หลัก มีถึง 92 หลัก ที่กล่าวถึงพระศิวะ จารึกมิเซิน (พ.ศ. 1200) กล่าวว่าพระเจ้าภัทรวรมันทรงประดิษฐานศิวลึงค์นามว่า ภัทเรศวร ที่เทวสถานมิเซิน ซึ่งเป็นเทวสถานแห่งแรกของจัมปา และเป็นประเพณีสืบต่อมาว่ากษัตริย์องค์ต่อมาต้องประดิษฐานศิวลึงค์ ซึ่งมีศิวลึงค์ที่ประดิษฐานโดยกษัตริย์จัมปาทั้งหมด 12 องค์
คติความเชื่อเรื่องการประดิษฐานศิวลึงค์บนยอดเขาแพร่กระจายไปทั่วอุษาคเนย์ เริ่มตั้งแต่รัฐเก่าแก่ที่สุดเช่นรัฐฟูนัน เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 8-11 ก็เป็นรัฐที่นับถือศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย พระราชาแห่งฟูนันมีสมญาว่า กษัตริย์แห่งภูเขา ( King of the mountain) ดังนั้นศิวลึงค์และภูเขาศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นสัญลักษณ์ของการสร้างบ้านแปงเมืองและการสถาปนาอำนาจของกษัตริย์ที่อิงอยู่กับหลักความเชื่อทางศาสนา ที่เปรียบพระราชาเป็นดั่งพระจักรพรรดิราช พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่เหนือพระราชาอื่นๆทั้งปวงในจักรวาล จึงได้มีพิธีกรรมสถาปนาศิวลึงค์ขึ้นบนยอดเขาที่สมมติให้เป็นเขาพระสุเมรุอันเป็นแกนกลางของจักรวาล บ้านเมืองของพระจักรพรรดิราชพระองค์นั้นจึงเป็นดั่งศูนย์กลางของโลก มีอำนาจสูงสุดในจักรวาล ความเจริญรุ่งเรืองของรัฐจึงผูกพันกับการทำพิธีบูชาศิวลึงค์
บนยอดเขาคามีเทวสถานทั้งสิ้น 5 หลัง เทวสถานด้านทิศเหนือที่มีสวยัมภูลึงค์เป็นเทวสถานที่ไม่มีอาคารคลุม เข้าใจว่าเป็นเทวาลัยรุ่นแรกบนเขาคาที่ก่อสร้างโดยการดัดแปลงภูเขาธรรมชาติให้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ โดยนำก้อนหินมาก่อเป็นฐานโอบล้อมภูเขาในส่วนที่เป็นฐานของเทวาลัย เพื่อประดิษฐานศิวลึงค์ธรรมชาติหรือ สวยัมภูลึงค์ เข้าใจว่าช่วงนี้เป็นยุคแรกของเมืองตามพรลิงค์น่าจะเริ่มต้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 เป็นอย่างช้า กษัตริย์องค์ต่อๆมาของเมืองตามพรลิงค์คงจะสร้างเทวาลัย(วิมาน)ประจำพระองค์ โดยการประดิษฐานศิวลึงค์ที่เรียกว่า มานุษลึงค์ คือลึงค์ที่มนุษย์สร้างขึ้นตามกฎเกณฑ์ที่บ่งบอกไว้ในอาคม คือมานุษยลึงค์ที่สมบูรณ์แบบจะต้องประกอบด้วยส่วนต่างๆ 3 ส่วน คือส่วนล่างสุดเป็นรูปสี่เหลี่ยมเรียกว่า พรหมภาค ส่วนกลางเป็นรูปแปดเหลี่ยมเรียกว่า วิษณุภาค และส่วนยอดเป็นรูปทรงกระบอกยอดมนเรียกว่ารุทรภาค ศิวลึงค์นี้จะวางอยู่บนฐานที่ทำเป็นแท่นมีร่องน้ำหรือพวยยื่นออกมาทำหน้าที่รองรับน้ำสรงศิวลึงค์ แท่นฐานศิวลึงค์นี้เป็นสัญลักษณ์แทนรูปโยนิ (อวัยวะเพศหญิง) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเทพีตามคติการบูชาอิตถีพละในลัทธิศักติ ซึ่งบนยอดเขาคาได้พบฐานโยนิที่สวยงามจำนวน 2 แท่นฐาน ที่โบราณสถานหมายเลข 2 และ 4 อาคารโบราณสถานหมายเลข 2 เป็นอาคารก่ออิฐขนาดใหญ่มีฐานสูง เป็นเทวาลัยประธานที่สร้างขึ้นเพื่อการประดิษฐานศิวลึงค์ ในการขุดแต่งโบราณสถานแห่งนี้ได้พบวัตถุมงคลที่ใช้ประกอบในพิธีวางศิลาฤกษ์ (คงฝังไว้ใต้ฐานอาคาร) เช่นเดียวกับเทวสถานในอินเดีย พิธีวางศิลาฤกษ์หมายถึงการประกอบพิธีกรรมในการวางรากฐานของจักรวาลหรือหลักแห่งจักรวาล วัตถุมงคลที่พบได้แก่ แผ่นทองคำรูปช้างในลักษณะช้างค้ำที่เชิงเขาพระสุเมรุ อันหมายถึงศาสนสถานนั้นคือศูนย์กลางจักรวาลนั่นเอง ดังนั้นผู้ที่สร้างเทวสถานบนยอดเขาคาควรจะเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งเมืองๆนั้นน่าจะเป็นเมืองตามพรลิงค์มากกว่าเมืองใด ตัวเมืองคงประกอบด้วยหมู่บ้านใหญ่น้อยที่รายล้อมรอบอยู่ในบริเวณพื้นที่ราบรอบเขาคาและพื้นที่รอบนอก ซึ่งปัจจุบันได้พบแหล่งโบราณคดีจำนวนมากในพื้นที่ราบตั้งแต่คลองท่าเรือรี คลองท่าควาย คลองท่าเชี่ยว คลองท่าทน คลองท่าลาด คลองหิน คลองกลาย คลองท่าสูง คลองท่าพุด ลงมาถึงคลองปากพยิง จนเข้าเขตคลองท่าดีและคลองท่าเรือ
ตามพรลิงค์บนหาดทรายแก้ว เมื่อ พ.ศ.1773 ยังปรากฏชื่อเมืองตามพรลิงค์ในจารึกหลักที่ 24 ของพระเจ้าจันทรภาณุ ศรีธรรมราช หากนับย้อนกลับขึ้นไปถึงยุคตามพรลิงค์ที่เริ่มต้น ณ เขาคาเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 ก็จะกินเวลาประมาณ 600 ปี ระยะเวลายาวนานเช่นนี้น่าจะเกิดกระแสความเปลี่ยนแปลงมากมายในเมืองตามพรลิงค์ เพียงแต่เราไม่มีหลักฐานว่าสิ่งนั้นคืออะไร ถึงกระนั้นอย่างน้อยที่สุดในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 ก็ปรากฏหลักฐานจากภายนอกที่น่าจะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเมืองตามพรลิงค์ นั่นคือสงครามจากโจฬะ
ในจารึกเมืองตันชอร์ของพระเจ้าราเชนทร์โจฬะที่ 1 แห่งอินเดียใต้ กล่าวถึงการยกกองทัพของพระเจ้าราเชนทร์เข้าปล้นสดมภ์เพื่อตัดทอนอำนาจของศรีวิชัยในหมู่เกาะทะเลใต้ เมื่อปี พ.ศ. 1568 ทั้งนี้เพราะศรีวิชัยดำเนินนโยบายผูกขาดการค้าทำให้โจฬะไม่พอใจ ความตอนหนึ่งของจารึกเมืองตันชอร์ กล่าวว่า พระเจ้าราเชนทร์ส่งกองทัพเรือขนาดใหญ่ยึดประตูชัยที่ชื่อว่า “วิทยาธรโตรณะ” ซึ่งอยู่ตรงประตูชัยของนครหลวงที่ชื่อ “ศรีวิชัย” นอกจากนี้พระเจ้าราเชนทร์ยังยกทัพเข้ายึดและปล้นสดมภ์เมืองต่างๆจำนวน 12 เมือง ซึ่งสันนิษฐานว่าตั้งอยู่บนคาบสมุทรมลายูและเกาะสุมาตรา 1ใน 12 เมืองนี้มีชื่อเมือง “มาทมาลิงคัม” ปรากฏอยู่ด้วย นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าคือเมืองตามพรลิงค์ (อย่างน้อยที่สุดก็ปรากฏคำว่า “ลิงคม” ในขณะที่เมืองอื่นๆไม่มีเมืองใดลงท้ายด้วยคำนี้) หมายความว่าชื่อตามพรลิงค์ถ้าหากมีมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 ก็ยังดำรงอยู่สืบต่อมาถึงพุทธศตวรรษที่ 16 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 18 การโจมตีของโจฬะน่าจะส่งผลกระทบต่อเมืองตามพรลิงค์อย่างแน่นอน เพียงแต่เราไม่มีหลักฐานว่ามีผลกระทบมากน้อยแค่ไหน เพียงใด ถึงขั้นต้องย้ายเมือง(ศูนย์กลาง)หรือไม่
อย่างไรก็ตามเมื่อถึงสมัยของพระเจ้าจันทรภาณุผู้เป็นใหญ่ในตามพรลิงค์ เมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ 18 มีหลักฐานค่อนข้างแน่ชัดว่าเมืองตามพรลิงค์ คือเมืองที่ตั้งอยู่บนสันทรายที่เรียกว่า หาดทรายแก้ว และศาสนาในเมืองตามพรลิงค์ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นพุทธศาสนาที่พระราชามีราชนิติเทียบเท่าพระเจ้าธรรมาโศกราช(แห่งอินเดีย) พระเจ้าจันทรภาณุ ศรีธรรมราชก็มีหลักฐานว่าเกี่ยวข้องกับทางลังกา สอดคล้องกับหลักฐานพุทธศาสนาบนหาดทรายแก้วในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 คือองค์พระบรมธาตุก็เป็นสถูปทรงกลมแบบลังกา ประวัติพุทธศาสนา รวมทั้งตำนานการอัญเชิญพระทันตธาตุก็ล้วนมาจากลังกา เมืองตามพรลิงค์ในสมัยพระเจ้าจันทรภาณุ หรือเมืองตามพรลิงค์ในสมัยราชวงศ์ปทุมวงศ์(ราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช)ก็เป็นเมืองตามพรลิงค์ที่ได้รับอิทธิพลพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเมืองตามพรลิงค์ จากชื่อดั้งเดิมที่หมายถึงเมืองแห่งพระศิวะ กลายเป็นนครศรีธรรมราชอันหมายถึงนครแห่งพระราชาผู้ทรงธรรมอันประเสริฐ
ชื่อที่เปลี่ยนไปนี้ปรากฏหลักฐานจากการที่เมืองอื่นๆเรียกชื่อเมืองนี้ตามพระนามของพระราชาผู้ทรงพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ตัวอย่างจากหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ เอกสารตำนานในแคว้นล้านนา เรียกเมืองตามพรลิงค์ว่า “สิริธรรมนคร” อันเป็นชื่อที่มีความหมายเดียวกับ “นครศรีธรรมราช” และเรียกพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชว่า “พระเจ้าสิริธรรมนคร” ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงเรียกว่า “ศรีธรรมราช” และในเอกสารสมัยอยุธยาก็เรียกเมืองแห่งนี้ว่า นครศรีธรรมราช ชื่อเมืองตามพรลิงค์จึงค่อยๆสาบสูญไป ถึงกระนั้นเมืองตามพรลิงค์ก็มิได้ถึงกาลอวสานเพียงแต่เปลี่ยนสภาพไปเป็นเมืองแห่งพระราชาผู้ทรงธรรมอันประเสริฐ จุดเปลี่ยนของศาสนาน่าจะชี้นำถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 17 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 18 ที่ปรากฏราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราชขึ้นในศิลาจารึกหลักที่ 35 ที่ดงแม่นางเมือง อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อ พ.ศ. 1710 สืบต่อมาถึงการปรากฏของพระเจ้าจันทรภาณุ ศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ. 1773
กล่าวโดยสรุปเมืองตามพรลิงค์น่าจะมีจุดเริ่มต้นที่การสถาปนาอำนาจรัฐ โดยพระราชาผู้นับถือศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย โดยการประดิษฐานหรือสถาปนาศิวลึงค์บนยอดเขาในลักษณะศูนย์กลางแห่งจักรวาล ซึ่งภูเขาแห่งนั้นปัจจุบันเรียกว่า “เขาคา” มีโบราณวัตถุ โบราณสถานเนื่องในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกายจำนวนมาก และที่สำคัญคือการปรากฏของสวยัมภูลึงค์หรือลิงคบรรพต ที่เกี่ยวข้องกับพระราชาตามแบบแผนทางคติความเชื่อของฮินดูที่เชื่อว่าพระราชารับถ่ายทอดอำนาจมาจากพระศิวะมหาเทพ อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มักจะเกี่ยวข้องกับการสร้างบ้านแปงเมืองที่ปรากฏในบ้านเมืองต่างๆทั่วดินแดนอุษาคเนย์ จุดเริ่มต้นของเมืองตามพรลิงค์น่าจะเริ่มขึ้นแล้วไม่หลังกว่าพุทธศตวรรษที่ 12 และชื่อตามพรลิงค์ยังคงอยู่ถึงพุทธศตวรรษที่ 18 ซึ่งในช่วงนี้น่าจะมีจุดหักเหทางการเมือง รวมไปถึงการเปลี่ยนราชวงศ์มาเป็นราชวงศ์ปทุมวงศ์หรือที่รู้จักกันในนามของราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช ที่พระราชาทรงเป็น “ศรีธรรมราช” เมืองตามพรลิงค์จึงกลายเป็นเมืองนครศรี ธรรมราช มีพุทธศาสนาเป็นหลักชัยของบ้านเมืองสืบต่อมาจนทุกวันนี้
ส่วนคำถามเรื่องกะมะลิงที่ตั้งโจทย์ไว้ข้างต้น ข้าพเจ้าอยากตั้งข้อสังเกตว่า เมืองกะมะลิงอาจจะใช่หรือไม่ใช่เมืองตามพรลิงค์ก็ได้ เพราะหลักฐานยังไม่ชัดจึงไม่สามารถระบุแน่นอนลงไปได้ หากแต่ข้อมูลเรื่องเมืองท่ากะมะลิงในพุทธศตวรรษที่ 8 เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นถึงกระบวนการสร้างบ้านแปงเมืองของเมืองท่าต่างๆในคาบสมุทรมลายูที่มีแรงกระตุ้นจากกิจการพาณิชย์นาวีโพ้นทะเล ซึ่งต่อมาเมื่อมีการนำคติความเชื่อทางศาสนาเข้ามาเป็นพื้นฐานให้กับอำนาจรัฐ เราจึงเห็นบ้านเมืองที่มีพระราชาตามแบบแผนอย่างอินเดีย เมืองกะมะลิงจึงอาจเป็นเมืองท่าแถบคลองท่าเรือหรือเป็นเมืองท่าแถบคลองท่าทนก็มีความเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง แต่ภาพของเมืองตามพรลิงค์กลับปรากฏชัดในแถบอำเภอสิชลและอำเภอท่าศาลา ส่วนเมืองพระเวียงที่ตั้งอยู่บนหาดทรายแก้วใกล้กับเมืองโบราณนครศรีธรรมราช ซึ่งนักวิชาการหลายท่านให้ความสนใจว่าเป็นเมืองเดิมก่อนที่จะมาตั้งเมืองใหม่ที่เมืองอันมีพระบรมธาตุนั้น ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าบนสันทรายอันเป็นที่ตั้งเมืองพระเวียงและเมืองโบราณนครศรีธรรมราช น่าจะมีผู้คนตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยอย่างน้อยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 5 เป็นต้นมา เมืองพระเวียงมีลักษณะเป็นย่านการค้ามาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 แต่หลักฐานด้านศาสนวัตถุที่มีอายุเก่าลงไปถึงช่วงพุทธศตวรรษที่ 10-14 ยังด้อยกว่าบ้านเมืองแถบสิชล-ท่าศาลามาก แม้เมืองพระเวียงอาจจะเคยเป็นเมืองตามพรลิงค์ในยุคสมัยหนึ่ง แต่คงไม่ก่อนเมืองตามพรลิงค์ที่สิชล-ท่าศาลาเป็นแน่ เพราะหลักฐานแถบนี้หนาแน่นและหนักแน่นกว่ามาก ชนิดที่นำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้เลยทีเดียว
ก่อนจะจบบทความนี้ก็อยากให้ท่านตั้งข้อสังเกตว่า เมืองตามพรลิงค์ไม่น่าใช่กรุงศรีวิชัยที่ปรากฏในจารึกหลักที่ 23 ที่วัดเสมาเมือง เมื่อพุทธศตวรรษที่ 14 เมืองตามพรลิงค์คงไม่เปลี่ยนไปใช้ชื่อกรุงศรีวิชัย แล้วอยู่ๆไปก็กลับมาใช้ชื่อตามพรลิงค์อีกครั้งหนึ่ง แต่เมืองตามพรลิงค์ดำรงไว้ซึ่งนามนี้ตลอดมาจนในที่สุดเปลี่ยนชื่อเป็นนครศรีธรรมราช ตามพระนามของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช และเมืองบริวารของเมืองนครศรีธรรมราชก็คือเมือง 12 นักษัตร ที่ปรากฏในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ดังนั้นจึงไม่มีกรุงศรีวิชัย 12 นักษัตร ซึ่งจะเขียนถึงในตอนต่อไป
…………………………
บรรณานุกรม
นงคราญ ศรีชาย , เขาคา : วิมานแห่งพระศิวะมหาเทพ, ประวัติศาสตร์ โบราณคดี นครศรีธรรมราช, กรุงเทพฯ: บริษัท เอ.พี. กราฟิค ดีไซน์ และการพิมพ์ จำกัด, 2543
นงคราญ ศรีชายและวรวิทย์ หัศภาค , โบราณคดีศรีวิชัย : มุมมองใหม่การศึกษาวิเคราะห์แหล่งโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน , นครศรีธรรมราช : โรงพิมพ์เม็ดทราย ,2543
ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์ , อาณาจักรตามพรลิงค์ , รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช ครั้งที่1, วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช ,กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์ ,2521
ผาสุข อินทราวุธ , ศิวลึงค์ : ในภาคใต้ , สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ เล่ม 9, สถาบันทักษิณคดีศึกษา ,กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์ ,2529
ศิลปากร,กรม , จารึกในประเทศไทย เล่ม 4 , หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร พิมพ์เผยแพร่ ,กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ภาพพิมพ์,2529
ศรีศักร วัลลิโภดม , ภูเขาศักดิ์สิทธิ์กับความเป็นสากล, เมืองโบราณ , ปีที่ 25 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน ,2542