Skip to content

Phuketdata

default color
Home arrow News arrow มนุษยศาสตร์ arrow บ้าปริญญา แต่ขาดปัญญา
บ้าปริญญา แต่ขาดปัญญา PDF พิมพ์ อีเมล์
เขียนโดย ปาณิศรา ชูผล มทศ.   
อังคาร, 11 สิงหาคม 2009

อาจารย์ ม.รังสิต จวก เด็กไทยสายสามัญ บ้าปริญญา แต่ขาดปัญญา จบ.ปริญญาเอก แต่ก็ยังโง่     

วิทยากรชี้ไทยคลั่งใบปริญญาแต่ขาดปัญญา

คณะบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต ชี้ ระบบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษา ในระดับอุดมศึกษา ยังไม่สอดคล้องกับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นสังคมคลั่งใบปริญญา แต่ขาดปัญญา

นายวิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยรายงานสภาวะการศึกษาไทยการศึกษากับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ในส่วนการประเมินผลการปฏิรูปการศึกษา โดยบุคลากรวงการต่าง ๆ

นายวิทยา ได้อ้างอิงมุมมองของ นายจีระ หงส์ลดารมภ์ เลขามูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ ว่าประเทศไทย เป็นประเทศเดียวที่คลั่งการเรียนปริญญาตรีมากกว่าสายอาชีพ ขณะที่ ประเทศอื่น ๆ เช่น ประเทศเกาหลีเน้นสายอาชีพมากกว่าคนไทยแห่เรียนปริญญาโท ปริญญาเอก มากขึ้นกลายเป็นสังคมบ้าใบปริญญา แต่ไม่บ้าปัญญาคนจบปริญญาเอก แต่ไม่มีปัญญา คิดไม่เป็น วิเคราะห์ไม่เป็น

http://www.innnews.co.th/social.php?nid

แห่เข้ากล่องห้องบ้าเห่อ 'ปริญญา'
- วิมุตตินันทะ -


ปีหนึ่งจะได้ดูหนังโรงอย่างเก่งก็ไม่กี่ครั้ง แม้ตั้งแต่ยังหนุ่มหลายสิบปีก่อน บางปีไม่ได้ดูสักหน มันก็ผ่าน พ้นไป โดยไม่อนาทร ยิ่งโตยิ่งแทบไม่สนใหญ่ ถึงจะชมทีไร มันต้องเลือกมีสาระหน่อย ยิ่งสมัยนี้จ้างให้ ยังต้องคิดหนัก เหมือนเกิด ผิดยุค เพียงยินชื่อ เห็นภาพโฆษณา ปวดเศียร ขวัญหนีดีฝ่อ ถ้าไม่ใช่เรื่อง มหาโหด เขย่าขวัญ ก็ขยะแขยง สะอิดสะเอียน มันหมดท่า เหมือนไม่มีอะไรให้สนุกสนานรื่นรมย์อีกแล้ว เลยแสนจะมึนงงกับอารมณ์ คนรุ่นใหม่ ไม่รู้ว่าไอ้เรามันวิปริต ผิดพวกไปเอง รึใครมันกลายพันธุ์เข้ารกเข้าพง บ้าบอคอฅน เป็นคอกระบือหรืออย่างไร

หนังที่ฉายๆ มันมีอยู่ ๓ เรื่องเท่านั้นแหละ พ่อท่านว่า คือ ราคะ โทสะ โมหะ มันจึงไม่มีอะไรใหม่ นอกจาก หาเรื่อง สร้างมุข หลอกต้มคนดูพวกรู้ไม่ทันเพราะโง่ไม่เสร็จสักที โดยเฉพาะครีเอทีฟทั้งหลาย เมื่อลวงคน หลงใหล อกุศลอสาระ ว่าเป็นสาระ กุศล ผลกำไรชีวิตบานเบิก เขานึกว่ามันเก่งเสียเหลือเกิน โลกของ ทุนนิยม กับบริโภคนิยม เขาไปกันได้เป็นปี่ เป็นขลุ่ย อย่างนี้แหละ ถึงจะรู้ว่าเขาหลอกล่อขนาดไหน ให้ลุ่มหลง ใจคอคนโดนต้มกลับเป็นปลื้มอีกต่างหาก...เวรนรกแท้ๆ

อย่างไรก็ตาม หนังน้ำเน่าๆ ถ้าเข้าใจดูสักหน่อย มันมีประโยชน์ให้ถือเอาได้ดีทีเดียว เรื่องเคยดูมีอยู่ตอนหนึ่ง ซาบซึ้งไม่หาย เขาฉายให้เห็น ถึงฤดูกาล บรรดาฝูงหนูมาจากไหนไม่รู้ เหมือนนัดกันมาเป็นหมื่นเป็นแสนตัว วิ่งตามกัน กรูเกรียวไปยังหน้าผา แห่งหนึ่ง ถัดจากหน้าผาสูงชันนั้นเป็นทะเลเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา เสร็จแล้ว บรรดาฝูงหนูเหล่านั้น พากันกระโดดลงทะเล ยะเยือกเย็น...

เห็นพวกหนูพากันไปตายหมู่เป็นว่าเล่น หันมาดูผู้คนโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่วัยเจ้าปัญหา พวกเขาช่างไม่ต่าง อะไรกับ ฝูงหนู เหล่านั้น ซึ่งพากันโจนหน้าผาโดดทะเลตามๆ กัน เพราะเด็กมันสมองฝ่อ หรือมีสมอง อยู่เหมือนกัน แต่มันไร้หัวคิด เสียฉิบ แม้เนื้อตัวจะเป็นคนเต็มๆ ในหัวคิดแท้ๆ คล้ายหัวกระบือเสียมากกว่า ในเมื่อมันดีแต่ตามก้น พวกดาราหัวโจกไปต้อยๆ เท่านั้นเอง พวกตกเป็นทาสค่านิยมฝรั่งบ้าๆบวมๆ ตามกระแส ลากจูงจะพัดพาหัวหกก้นขวิด แบบนี้ยังจะมีสิทธิ์เป็นคนไทย ได้ท่าไหนกันเชียว...

การศึกษาสมัยใหม่ เหตุไฉนถึงไม่ช่วยให้คนเจริญขึ้นในยุคกระแสโลกาภิวัตน์ ทำไมคนรุ่นใหม่ ถึงเพี้ยน เปลี่ยน เป็นป่าเถื่อน เหมือนถอยหลังหลุดโลก แต่ก่อนคนชอบกินหมากสูบยากันเยอะ เดี๋ยวนี้หมากพลู เลิกกันไปหมดแล้ว บุหรี่ขี้ยา ก็ถอย ไม่ค่อยเอากัน แต่หันมาถองเบียร์เหล้า หนักเข้าไปอีก จึงน่าจะต้อง เดินหน้า ชนรุกใหญ่ เพื่อล้างสมอง คนรุ่นใหม่ ไม่ต้องบ้า น้ำเมาได้ไหม ลองเอาที่มหา'ลัยก่อนเลย จะเป็นยังไง ให้เป็นเขตปลอดสุราไปเลย

ไม่รู้ใครมันสั่งสอนให้ผู้ชายต้องเมาเหล้าและเมื่อไหร่จะสาปส่งกันสักที รู้สึกดีใจที่มีข่าวชาวโคราชออกทีวี ทำฌาปนกิจ น้ำเมา ถ้าลุยประโคม กันทั่วหัวระแหงทุกวันคืน ชาวพุทธไทยคงตื่นจากขี้เหล้าเมายาเสียที รัฐบาลเองแหละตัวแสบ ทำเอื้ออาทร ให้ต้มเหล้าเข้าโอท็อป เสร็จแล้วเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ต้องมา ลุยหนัก ชักชวนคนเลิกเมาอีกทีหนึ่ง

ฝ่ายผู้หญิงแม้ไม่บ้าน้ำเมาเหมือนชาย แต่ก็บ้าจะตายกับแฟชั่นไม่แพ้กันเลย ซ้ำร้ายขายขี้หน้าไร้ยางอาย จนผู้ชาย หน้าไม่ด้านเท่า ดูสาวรุ่นใหม่เปิดหน้าเปิดหลัง เปิดบนล่างข้างก้น จนเนื้อหนังเปลือย โล่งโจ้ง มากกว่าเนื้อตัว ส่วนสงวน ควรปกปิดเสียอีก...

มันเกิดอะไรขึ้นหนอ ถึงชอบขายเนื้อหนังมังสาโดยไม่ได้เงินสักสลึง เพื่อดึงดูดสายตาสาธารณะ ยั่วอารมณ์ ทุกผู้ทุกคน เป็นว่าเล่น ข่มขืนฆ่าจึงเป็นข่าวไม่ว่างเว้น สาวเอยช่างแข่งกันอวดโอ่อกโต เอวองค์บางร่างน้อย เผื่อจะลอยปลิวลม เพราะอ่อนแรงย่างก้าว

ทั้งหมดเพียงอวดโฉมโนมพรรณว่าฉันสวยเปลือกๆ นะจ๊ะ หารู้ไม่ว่ามันประจานตัวเองรึเปล่า คือลึกๆ ตัวเธอ ไม่มีอะไรดีน่าอวด ไม่มีปัญญาอวดดี ฝีมืองามงาน เลยหันมางามแงะเสียมากกว่า พวกงามโง่ จึงอวดโป๊เหลือกำลังวังชา จนล้ำหน้า หญิงขายบริการเสียอีก

สมัยก่อนดูออกง่าย ไหนเป็นหมอนวดหญิงหากิน เช่น นุ่งสั้นจู๋ ฟิตปั๋ง ทาสีแจ๋นกลบหน้าตาอันซีดเซียว ทุกวันนี้ ใช้เป็นตัว ชี้วัดเหมือนเก่าไม่ได้แล้ว พวกหล่อนไม่ว่าอาชีพไหนๆ ล้วนแต่งตัวมั่วทรามพอกัน ไม่แบ่ง ชั้นวรรณะ ไฮโซโลโซ จึงมองไม่ออกว่า ไผเป็นไผ...เป็นเสียอย่างนั้น

อนึ่ง ถึงจะถือภาษิต ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง แต่ธรรมชาติเพศเมียมีปมด้อย ไม่ค่อยมีสีสัน สาวไทย พันธุ์แท้ แต่โบราณ เสริมองค์ทรงเครื่องด้วยผ้านุ่งผ้าห่มท่อนสไบ เหมือนไก่ตัวเมียเพิ่มสีสัน เติมแต้มแต่ง ขนตัวเองบ้างยังพอดูได้ แต่หญิงไทย ทุกวันนี้ กลับหัวหาง ยิ่งแต่งตัวยิ่งแข่งกันนุ่งนิดห่มน้อย แย่กว่าคนป่าดงเถื่อน พวกหล่อน แข่งกันเปิดอก เปลือยเต้า แหว่งเว้า เนื้อนวลยั่วยวนคนไม่เลือกหน้า เธอคงอยากสวยแบบไก่ถอนขน ต้มสุก เห็นเนื้ออ่อน ล่อนจ้อน ประมาณนั้น คิดดูเอาเถอะ ไก่งาม ขนหุ้มห่อตัว เทียบกับไก่ถอนขนอวดเนื้อหนังเปล่าๆ ใครเข้าท่ากว่ากัน อนิจจา เป็นไก่ตัวเมีย มีขนน้อย ด้อยสีสันอยู่แล้ว น่าจะเจียมตัวถนอมขนไว้ แต่นี่ดันผ่าอยากเปิดเนื้อเผยหนัง อย่างไก่ถอนขนเสียอีก จะงามแก้ผ้า มากกว่าใส่เสื้อผ้า ผู้หญิงนะผู้หญิง...

เพียงฉายหนังตัวอย่างสองเมาชายหญิงน้ำเมากับแฟชั่น คนมันปั่นหัวหมุนวุ่นวายเวียนว่ายตายเกิด ซ้ำซาก โง่ไม่เสร็จสักที เช่น แฟชั่น เดี๋ยวบานๆ หุบๆ เดี๋ยวยืดตรง เดี๋ยวดัดงอ ยาวๆ สั้นๆ เวอร์ชั่นนั้น เวอร์ชั่นนี้ อยู่ไม่สุข ทุกข์ไม่หยุด จุดยืนไม่มี นิ่งไม่เป็น ตามแต่กระแส จะลากขึ้นช้างลงม้า ว่ากันไปสมัยนิยม เกินกว่าจะร่ายยาวได้หมดสิ้น

วงจรชีวิตคนที่หมุนวนกินสูบดื่มเสพแล้วก็ตายทิ้งไปชาติหนึ่ง มันก็เสียชาติเกิดเหลือเกิน ดีไม่ดีมีหนี้บาป หนี้เวร ติดตัวไป ใช้กรรมต่ออีกต่างหาก ขาดทุนยับเยิน แย่กว่าหมูหมากาไก่ ที่มันกินขี้ปี้นอนเป็นเหมือนกัน เพียงแต่มันเพิ่มบาปไม่เป็น หาเรื่องทุกข์ ไม่เก่งเท่าคน

ดังนั้น เมื่ออุตส่าห์มีบุญดีกว่าเดรัจฉาน ได้เกิดเป็นมนุษย์สุดประเสริฐของสัตวโลก จึงน่าจะบูรณาการ ชีวิต ให้คุ้มค่าโอกาส อย่าเสีย ชาติคนไปเปล่าๆ ยิ่งชิงสุนัขเกิดคงแย่ไม่ไหวแน่

ส่วนตัวข้าพเจ้า เข้าใจคิดแหวกแนวโลกียวิสัยตั้งแต่วัยเด็ก จุดประกายแรกเริ่มจากการได้เห็นอนิจจัง คือ เล่ากง หรือปู่ทวด จากจีน ซัวเถา มาตั้งหลักหากินเมืองไทยจนรวยด้วยค้าขาย มีที่นาหลายร้อยไร่ ก๋งเป็นหนึ่ง ในลูกหลายคน ที่รับมรดก แต่ก๋งสูบฝิ่น เลยไม่เหลืออะไรถึงเตี่ย ซึ่งมาจากจีนหลังสงคราม เตี่ยต้องมาเป็นจับกัง ตัดอ้อย แบกข้าว

เราจึงเห็นทุกข์ของสมบัติ มันวิบัติไม่หมดชั่วลูกก็ชั้นหลานและต่อไป เลยได้ข้อคิดว่า วิถีเศรษฐีอย่างปู่ทวด เรา ไม่เอาด้วยหรอก!..

สูตรสำเร็จของชีวิต กำหนดกันว่าเมื่อน้อยเรียนหนังสือ โตขึ้นทำงานหาเงิน สร้างหลักฐานบ้านช่อง แต่งงาน ออกลูกหลาน แก่เฒ่า สุดท้ายตายจาก ปิดฉากลงโลงจบไปอีกชาติหนึ่ง แค่นั้นเอง

ก่อนจะปิดตาลาโลก มันคงเศร้าขนาดหนัก ทั้งน่ากลัวไม่เบา เมื่อไม่รู้จะเกิดอะไรในภาคสอง และคง ไม่สนุกเลย ที่จะตายไป อย่างมืดฟ้า มัวดิน จะเดินทางไกลไปข้างไหนในโลกหน้าอย่างเดียวดาย มีอะไร เป็นหลักประกัน ให้มั่นใจบ้าง

ข้าพเจ้าอยู่ระหว่างย่างก้าวเข้าเส้นทางสว่างแจ้ง ผลสำเร็จแห่งโลกธรรมคือลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ใดๆ จึงไม่ใช่ คำตอบสุดท้าย ในเป้าหมายพึงประสงค์ของตัวเองแน่นอน

ผู้เขียนคงเป็นอีกรายหนึ่งซึ่งชอบเบื่อโลกไม่ใช่เล่น เพราะไม่เห็นจะสนุกครึกครื้นอะไรนัก ตอนเป็นเด็ก บ้านนอก เที่ยวงานวัด ก็ไม่รู้สึกว่า มันน่าบันเทิงเริงใจตรงไหน ดูนั่นชมนี่ก็ยังงั้นๆแหละ เคยคิดโง่ๆ เมื่อยังเด็ก ไม่ทัน เดียงสาเท่าใด ในใจโทษพ่อแม่ว่า ทำให้เรา เกิดมาทำไม ไม่รู้ซี เกิดมาแล้วต้องทนหิว ทนร้อน ทนหนาว ทุกข์โน่นนี่ไม่เห็นดีเลย ถ้าไม่ต้องเกิดสักอย่าง ก็ไม่ต้อง ทนทุกข์ทรมานอันใด ประสาเด็กโง่ หนูไม่รู้คิดตื้นๆ ไปอย่างนั้น

# # # บ้าเห่อกระแสแห่เรียนมหา'ลัย
การศึกษาสมัยใหม่ เราตื่นตัวกันอย่างขนานใหญ่เมื่อราว ๖๐ ปีที่แล้ว ข้าพเจ้าเป็นหนึ่งซึ่งเรียนไปตามแห่ ทั้งที่ เป็นคนหัวปี ลูกเจ๊กจับกัง โรงสี มีน้องอีกเป็นพรวน มันน่าจะออกเรียนแต่ประถม ช่วยบ้านทำมา หากินบ้าง กลับได้เรียน ไปถึงไหนๆ เช่นเดียวกับเพื่อน ในตลาดร้านถิ่น วิสัยทัศน์ของเตี่ยไม่รู้หนังสือ จึงอยาก ให้ลูกเรียนสูง ทำงานใช้หัว แทนแบกหาม ตามค่านิยมสังคม

ตอนเรียนอยู่ ป.๓ สอบได้ที่ ๑-๒ ข้างท้ายในชั้น เกือบตกเหมือนเพื่อนอีกคน เราที่โหล่ทั้งสอง คุณครูเทียบ ให้กับ บัวใต้น้ำ เหล่าที่ ๔ ดอกจิ้มโคลน ทำไมถึงทึ่มปานนั้นไม่ทราบ

พอจบ ม.ต้นสูงสุดในอำเภอ แม้ไม่เรียนต่อ ก็ไม่มีฝีมือทำอาชีพ ไปเรียน ม.ปลายถึงจังหวัดไกล ๒๐ กม. เวลา นั่งรถกลับ นึกถาม ตัวเองบ่อยๆ ว่าวันนี้เราได้อะไรพอคุ้มค่าบ้าง เสียดายที่ไม่เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน กลับบ้านเลย

จบ ม.๖ ถึงจะออก เป็นตกงานอีก เพราะไม่เห็นทางทำอาชีพอะไร เอ้าเรียนต่อเตรียมอุดมสูงสุดในจังหวัด แม้จะยากจน ลูกเตี่ยกรรมกร แม่ซักรีด ทุกเช้าแม่ต้องจ่ายค่ารถค่ากินหลายบาท ท่านคงจ่ายจนมืออ่อน วันหนึ่ง แม่บอกว่า ข้าวกลางวัน ไม่ต้องกินก็ได้นะ (แม่ให้ลูกรัดเข็มขัดขนาดนั้น เพราะแม่ทำงานอยู่กับบ้าน ข้าวเช้ากับกลางวัน มันเป็นมื้อเดียวกัน ลูกก็ควรข้ามมื้อเที่ยง ไปได้ด้วย)

สมัยเรียนมัธยม นึกไปถึงอนาคต กว่าจะเรียนจบอีกตั้งหลายปีนัก กว่าจะหาเงินได้นานปีดีดัก เป็นพี่ใหญ่ มีน้องอีกครึ่งโหล คือ ภาระต้องจุนเจือ คิดแล้วท้อแท้จังเลย...

ชีวิตทำไมจะต้องหาเงินอะไรนักหนา ต้องแข่งขันยื้อแย่งกันไม่ใช่เล่นๆ มันไม่ใช่ของสนุก แท้จริงคือทุกข์ถนัด คิดไปไกล ในวันข้างหน้า ต้องหาเงินเหนื่อยยากเหลือเกิน แค่คิดคำนึงมันพาลเมื่อยเหนื่อยเสียก่อนแล้ว

จึงเกิดฉุกคิดวันหนึ่งว่า เออ...ถ้าไม่ต้องเที่ยวแก่งแย่งหาเงินซ็อกๆ เหมือนใครๆ มันคงสบายดีเป็นบ้าเชียว เลยได้เพียงวาดฝัน ลอยวิมาน กลางอากาศว่า หากมีที่ไหนสักแห่ง รับประกันจัดหาปัจจัยสี่ ให้มีกินใช้ ไม่ขาดแคลน โดยเราไม่ต้องหวาดกลัว จะอดอยากยากไร้ ประมาณนี้ เราจะขอตั้งหน้าทำงานตอบแทนให้ (สังคม) ตลอดชีวิต เสร็จแล้วไม่ต้องรับเงิน ให้หนักมือ ทั้งไม่ต้องใช้เงิน ให้เมื่อยมือ มันบ้าเพ้อฝันไปปานนั้น...

ด้วยเหตุนี้ ประสาคนขี้เกียจหาเงินทองของมายา ขณะเดียวกัน อยากจะทำงานลูกเดียวมากกว่า แม้ต่อมา จำเป็นต้องหาเงิน ไปตามเรื่องบ้าง ก็จำใจจำนนทนทำไปไม่ค่อยเต็มฝีมือ จำยอมทำไปประมาณหนึ่ง เพื่อคนอื่นก่อน เป็นสำคัญ ทั้งนั้นแหละ ลำพังกินใช้แค่เลี้ยงขันธ์ตัวเอง อยู่รอดวันๆ ไม่เห็นจะต้องดิ้นหากิน อะไรมากเลย พูดไปทำไมมี ที่จะต้องหาเงิน กอบโกย หวงแหน เหมือนพวกรวยไม่เสร็จ แม้ทุกวันนี้ จะยังจนไม่เสร็จ ทีเดียวนัก (ยังไม่หมดเนื้อหมดตัวเท่า สมณะผู้เจริญ) แต่เศรษฐกิจพอเพียง เหลือสุข ไม่ทุกข์โข อย่างคนรวยล้นฟ้า น่าลองท้ากระทบไหล่ดีไหมเนี่ย...

หลังจบ ม.๘ ยังออกไปหากินอะไรไม่เป็นท่าอีกนั่นแหละ เรียนครึ่งๆ กลางๆ มันใช้งานอะไรไม่ได้เลย อย่างเก่ง เป็นกรรมกรได้บ้าง ไหนๆ ก็ไหนๆ จนยากยังไงมันตกกระไดพลอยโจน ต้องต่อยอด ถึงมหา'ลัย ไปโน่น สอบติดธรรมศาสตร์ ซึ่งยังเป็น ตลาดวิชา ค่าเรียนปีละ ๔๐๐ ค่าสอบวิชาละ ๒๐/๔๐ บาท ลูกคนจน พอไหว เรียนไป ทำงานไปบ้างยังได้ เคราะห์ดี อาศัยบ้านญาติอยู่ใกล้ๆ ด้วย ค่อยยังชั่ว

เมื่อเข้าธรรมศาสตร์ เลยถึงบางอ้อ แค่รู้พื้นฐานคิดอ่านเป็น ใครๆ ย่อมสามารถฟังบรรยายกฎหมายบัญชี เศรษฐีศาสตร์สังคม โดยไม่เห็นจะต้อง ผ่านเตรียมอุดมอะไรกันมากมาย จนเสียแรงเสียเวลาเปลืองเปล่า ไม่เห็น มันจะเกี่ยวเท่าใด กับหลักสูตร ปริญญา

เรียนไปเรียนมา จากเด็กโง่ระดับดอกบัวจิ้มโคลน มันผ่าเรียนจนได้พาณิชย์-บัญชีบัณฑิต เป็นกระดาษ สองใบ คงดีกว่า จบออกมา ได้กระดาษแผ่นเดียว ดังเพลงร้องมหา'ลัย มหาหลอก...

เคราะห์ดีที่ตอนนั้น ไม่เคยนึกสะเออะไปต่อโทเมืองนอก ซึ่งกำลังเห่อไม่เบาเหมือนกัน กระทั่งคุณเตี่ย ท่านเชียร์ อยู่ด้วย ส่วนตัวแค่ตรี ยังเอียนจะตายชัก ปริญญาโทมันจะมีอะไรนักหนา เพียงภาคพิสดาร ต่อขยายไป จากปริญญาตรีแค่นั้น ได้ยินว่า เมืองนอก เขาจัดให้เรียนโทสำหรับพวกทำงาน มีประสบการณ์ แล้วค่อยมา ต่อยอดมากกว่า

เดี๋ยวนี้ขี้เยี่ยวจบตรีพวกต่อโททันทีเป็นแถว เพราะขืนออกมาไม่ตกงานจะมีงานทำก็ได้เงิน ไม่พอกินใช้ อยู่แล้ว ในเมื่อตอนเรียน ยังใช้เงิน มากกว่าเงินเดือนทำงานเสียอีก ไม่รู้จะเรียนมากเกินทำไมนักหนา จนหนวดหงอก หัวบวมเปล่าๆ กว่าจะตั้งต้น ใช้ชีวิตทำมาหากิน เป็นกะเขาบ้าง มันช่างยากเย็น แสนเข็ญ เหลือร้ายนะเจ้าประคุณเอ๋ย...

เฉพาะอย่างยิ่ง มหา'ลัยตัวแสบบ้าหลอกให้คนเรียนโทอุตลุด ต้องไปเที่ยวเมืองนอกในหลักสูตรด้วย ช่างหาเรื่อง ให้เด็ก เสียเงิน ผลาญเปล่าไม่ใช่น้อยๆ ไม่รู้พวกคิดพิลึกออกมาได้ยังไง ข้าน้อยเป็นงงไม่หาย มหา'ลัยดี แต่หลอกขยายความรู้ส่งเดช เพื่อเม็ดเงิน เป็นสำคัญ มันหมดหวังกับธุรกิจมหาลัย-มหาหลอก แต่บอกไป ไม่มีใครฟัง เพราะค่านิยม บ้าเห่อปริญญา

ในฐานะศิษย์เก่าผู้เป็นเหยื่อยุคแรกเห่อการศึกษาสมัยใหม่ ข้าพเจ้าสามารถเป็นประจักษ์พยานได้ว่า นอกจาก แผ่นกระดาษ สองใบ ไม่เห็นมีแก่นสาระอันใดพอคุ้มค่าเลย สำหรับระบบเข้ากล่องห้องเรียน สำเร็จรูป ดังที่พ่อท่าน วิจารณ์ว่า ล้มเหลว เพราะเรียนแยกส่วนไกลห่างวิถีชีวิตจริงๆ

เริ่มต้นเอาเด็กลงกล่องตั้งแต่อนุบาล มันผิดพลาดแล้ว ยิ่งเรียนจนหนุ่มใหญ่จบเมืองไทยไม่พอต่อนอกอีก ยิ่งร้ายใหญ่ เพราะไม่รู้วิถีไทยตัวจริงของจริงด้วยความรู้แคบๆ แบบแยกส่วนโดดๆ ในตำรา กระโดดออกมา เป็นผู้นำ ทุกระดับ ผลพวง เมืองไทยย่ำแย่ ดังที่เห็นมันเป็นฝีมือสำคัญ ของท่านทั้งหลาย ผู้เจริญด้วย การศึกษาสมัยใหม่ ฉบับทุนนิยมทั้งนั้น นั่นแหละ

สมมติชาติหน้า ถ้าต้องเรียนใหม่ ข้าพเจ้าจะไม่ขอเรียนตามแบบที่ล้มเหลวเกือบสิ้นเชิงเป็นอันขาด

อย่างไรก็ดี กว่า ๑๗ ปีของชีวิตนักเรียนในกล่องสำเร็จรูป จะเหมาเอาว่าไม่มีอะไรดีเสียเลย คงจะ อกตัญญูและ อคติเกินไป

ดังนั้น จึงใคร่ฟันธง อานิสงส์การศึกษาที่ได้รับ ประทับใจยิ่งใหญ่เฉพาะตัวเอง คือขอบพระคุณที่ได้รู้ภาษา ตรรกะ จนประจักษ์ สาระอรรถะแห่งสัจธรรมวิถีพุทธ ข้อนี้เป็นเหตุสำคัญประการเดียวที่ภูมิใจเสมอว่า พ่อแม่ ส่งเสีย ให้เล่าเรียน แล้วไม่เสียหลาย

เราคงไม่หลงตนที่จะนับตัวเองว่ามีบุญได้รู้บาปบุญคุณโทษ กุศล-อกุศล จนเกิดศรัทธาในไตรสิกขา และ สัมมา อาริยมรรคองค์ ๘ เป็นต้น อันเป็นการศึกษามหา'ลัยชีวิตยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ และประทานไว้โดย พระบรมศาสดาเอก แห่งโลก สองพันกว่าปีมาแล้ว ยังจะมีหลักสูตรการศึกษาอื่นใด ในมหา'ลัย แห่งไหน ของโลก จะพึงนำมาเทียบชั้นได้อีก...

อนึ่ง ข้าพเจ้าเคยเรียนชั้นประถม ชื่อโรงเรียนย้อมนิสัยฯ แล้วการศึกษาทางโลก ที่หลงบ้าเรียนกัน หัวปัก หัวปำนั้น ทำให้คนเรียน นิสัยดีขึ้นไหม ช่วยนำพาให้ลดละหน่ายคลายกิเลสตัณหาอะไรได้บ้างหรือเปล่า ที่ไหน จะเกิดทำได้บ้าง คงมีน้อยเต็มที ไปดูทุกมหา'ลัย แล้วกัน รังแต่จะนำพาให้ขี้โลภ เห็นแก่ตัวมากขึ้น ตามประสา ลัทธิทุนนิยม การศึกษาที่หาแข่งขันชิงโลกธรรม ลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันโดนใจ ทุกผู้ทุกคน ว่ามันเป็นความเจริญของชีวิต เรียนจบออกมา เพื่อรับใช้ทุนนิยม เพื่อเป็น มนุษย์เงินเดือน เท่านั้น ไม่รู้จักพึ่งตนหากินเอง เช่นสร้างปัจจัยสี่ เลี้ยงชีวิตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง เรื่องพึ่งตัวเอง อย่างพ่อแม่ เคยหาอยู่หากิน คนพันธุ์ใหม่ไม่มีปัญญาแล้ว ถ้าเอาพวกเขาไปปล่อยป่า ต่อให้อุดมขนาดไหน เป็นอดตาย วายอย่างเขียดแน่นอน!

ด้วยเหตุนี้ ชีวิตคนต้องทำมาหากิน หาเลี้ยงด้วยลำแข้งตัวเอง พ่อแม่ใครๆ ล้วนสั่งสอนนำพาอยู่แล้วทั้งนั้น เพราะพ่อแม่ เป็นครูคนแรก ตัวจริงเสียงจริง ทำให้เห็นตำตา พ่อแม่ทำตัวอย่างดีๆ ลูกเรียนตามเอาอย่าง ได้ง่าย พ่อแม่ทำอะไร ต่ำทรามบ้าง ลูกที่ดีมีปัญญา ย่อมสามารถเรียนรู้ว่า ไม่น่าเอาเยี่ยงอย่าง

ประเด็นสำคัญ จึงอยู่ที่วิถีการเรียนรู้ชีวิตจริงอย่างมีภูมิปัญญาเชิงพุทธ การศึกษาไทยทุกระดับ กระทั่ง มหา'ลัย นำพาผู้คน กลายพันธุ์ เสียคนหมด คนไทยพันธุ์แท้ แบบฉบับชาวสยามเมืองยิ้มที่ลือชื่อ น่าภาคภูมิว่า คนไทยใจดี มีน้ำใจ เอื้ออารี สามัคคี เสียสละ กล้าแบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ได้เสมอ ภูมิปัญญา วัฒนธรรมเหล่านี้ กำลังสูญพันธุ์ไปทุกวัน ถ้าไม่โทษ การศึกษาไทย แล้วจะโทษอะไรดี...

อุดมศึกษาไทย ใครเรียนยิ่งเป็นทาสโลกธรรม แข่งกันขี้โลภเห็นแก่ตัว หลงมัวรับใช้ทุนนิยมและมัวเมา บริโภคนิยม จมปลักดักดาน วิถีโลกียวิสัยดังกล่าว จำเป็นด้วยหรือที่มหา'ลัยจะพึงยั่วยุส่งเสริม เพิ่มพูน กิเลสตัณหา ให้เป็นประหนึ่ง เสือติดปีก...เสร็จแล้วผู้คนจะจำเริญขึ้นได้ไฉน เมื่อใจขี้โลภไม่เสร็จ

คงเหลือแต่อุดรศึกษา เท่านั้นแหละที่สังคมไทยยังไม่ประสีประสา เพราะมองข้ามภูมิปัญญาไท ดูถูก เศรษฐกิจ พอเพียง กระทั่งละเลย ศรัทธาวิถีพุทธโลกุตระอันสวนกระแสโลกธรรมโลกีย์ทุนนิยม...

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๑ สิงหาคม ๒๕๔๘ -

อ้างอิง

http://www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Kid/k181/070.html

และ

http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X8190618/X8190618.html

 

 

สภาวะการศึกษาไทยดิ่งเหว

ข่าววันที่ 11 สิงหาคม 2552 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

 

 

 

                ** สภาวะการศึกษาไทยดิ่งเหว  พบสาเหตุออกกลางคัน ยากจน สกัดโอกาสทางการศึกษา  ระบุเรียนฟรี 15 ปีไม่ช่วย รัฐลงทุนสูงแต่ไร้ประสิทธิภาพ  ภาคแรงงานเกินครึ่งจบแค่ประถม ว่างงานเกือบล้าน ป.ตรี มากสุด 2 แสนคน สวนทางตลาดแรงงาน

                 ที่โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ เมื่อวันที่ 11 ส.ค.52 จากการสัมมนาเรื่อง สภาวะการศึกษาไทย ปี 2551/2552 การศึกษากับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมโดยนายวิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต ได้เสนอผลการวิจัยเรื่องสภาวะการศึกษาไทย ปี 2551/2552 ว่า ขณะนี้ประเทศไทยยังจัดการศึกษาไม่ทั่วถึง และคุณภาพต่ำ และที่ผ่านมาผู้บริหารประเทศมักเข้าใจผิด คิดว่าต้องพัฒนาเศรษฐกิจก่อนแล้วจึงมาพัฒนาการศึกษา ทั้งที่ความจริงแล้วต้องพัฒนาการศึกษาก่อน ขณะเดียวกันเศรษฐกิจของไทยก็ลดลง 5-10 ปีที่แล้ว โดยมีหลายประเทศแซงหน้าไทยไป และแม้ว่าสัดส่วนของผู้ได้เรียนต่อในทุกระดับการศึกษาในปี 2552 จะเพิ่มขึ้นจากปี 2550-2551 แต่ก็เป็นการเพิ่มในระดับเล็กน้อย        ทั้งนี้ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพิ่มจาก 79.89% เป็น 81.29% โดยยังมีประชากรวัย 3-17 ปีที่ไม่ได้เรียนประมาณ 2.76 ล้านคน จากประชากรในวัยเดียวกันที่มีประมาณ14.79 ล้านคน ซึ่งมีจุดที่น่าสังเกตคือเด็กที่เข้าเรียนชั้น ป.1 ในปี 2540 ได้เรียนถึงชั้น ม.6 และปวช.3 ในปี 2551 เพียง 47.2% ส่วนที่เหลือกว่าครึ่งหรือประมาณ 5.2 แสนคนออกกลางคัน ขณะที่เด็กวัย 3-5 ปี มีโอกาสได้เรียนน้อยและมีสัดส่วนที่ลดลงในรอบ 5 ปี นายวิทยากร กล่าวต่อว่า ปัญหาออกกลางคันเป็นปัญหาใหญ่ ที่ทุกรัฐบาลไม่ได้ให้ความสนใจแก้ไขอย่างเป็นระบบ ซึ่งจากข้อมูลแรงงานพบว่า 20.11 ล้านคนของแรงงานทั้งหมด 37 ล้านคน มีการศึกษาแค่ระดับประถมและต่ำกว่า มีแรงงานจบ ม.ปลาย เพียง 13.7 ของแรงงานทั้งหมด ในจำนวนนี้จบอาชีวศึกษา เพียง 3.3% ซึ่งต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับประเทศอื่น อีกทั้งจำนวนผู้ว่างงาน 8.2 แสนคน จบระดับอุดมศึกษามากที่สุด 2 แสนคน แสดงให้เห็นว่าเราผลิตคนได้ไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน  อย่างไรก็ตาม โครงการเรียนฟรี 15 ปีของรัฐบาลก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเด็กออกกลางคันได้ ดังนั้นจึงต้องพัฒนาครูและระบบโรงเรียน รวมทั้งต้องมีกองทุนช่วยเหลือนักเรียนยากจนแบบครบวงจร

อ้างอิง

http://www.norsorpor.com/ข่าว/n1619604/สภาวะการศึกษาไทยดิ่งเหว

 

สมหมาย ปิ่นพุทธศิลป์  เสริมเห็น ดังนี้

***

มห.ภูเก็จ

มนุษยศาสตร์ คุณธรรมจริยธรรม

- - - - -

สมหมาย ปิ่นพุทธศิลป์ เป็นห่วงงานคุณภาพทางการศึกษา

จึงเสนองานไว้ใน FaceBook FB เมื่อปลายเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ จากเหตุที่ ดร.ปราชญา กล้าผจัญ เสนอข้อความเป็นเชื้อไว้ว่า

นักการศึกษาเชื่อว่า พฤติกรรมมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้

นี่คือที่มาของความเป็นห่วงเพราะ

๑. ครูไม่สามารถนำนักเรียนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้

๒. ครูไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลไปเป็นความรู้ได้

๓. นักเรียนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลไปเป็นความรู้ได้ด้วยตนเอง

สมหมายจึงถามว่าจะให้ใครช่วยแก้ปัญหานี้

ข้อมูลใน FB มีดังนี้ :-

ระบบการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ของสัตว์(รวมถึงมนุษย์)เริ่มจาก
ความพร้อม(Readiness)ของ
อารมณ์ สังคม สติปัญญา
และร่างกาย(อายตนะ๖:ตาหู
จมูกลิ้นกายใจ)->ประสบการณ์
(อินทรีย์(อายตนะ๖)กับข้อมูล
(Data)มวลแวดล้อม)->การรับรู้
(Perception)->มโนภาพ(Con
ception)->มโนคติ(Ideal)->
อินทรีย์จะเปลี่ยนข้อมูล(Data)
ไปสู่ Goal อันก่อให้เกิด ๑.ความรู้
(Knowledge)[๑.ความจำ
๒.ความเข้าใจ ๓.การนำไปใช้
๔.การวิเคราะห์ ๕.การสังเคราะห์
และ ๖.การประเมินค่า]
๒.ทักษะ(Skill)
และ ๓.เจตคติ(Attitude)

งานวิจัยหลายฉบับแสดงชัดว่า
ครูไทยจัดกระบวนการเปลี่ยน
แปลงพฤติกรรมของฅน
(นักเรียนนิสิตนักศึกษา)ไปถึง
เพียง Perception  แล้วไม่ได้
สร้างทักษะการปรับเปลี่ยน
ข้อมูล(Data)ให้ผู้รับสาร
(นักเรียนนิสิตนักศึกษา)
ในระยะ Perception ดำเนิน
การต่อได้ด้วยตนเอง กระบวน
การเปลี่ยนแปลงจึงไปไม่ถึง
มโนภาพ(Conception) ส่วน
มโนคติ(Ideal)ยิ่งไกลห่างจาก
เด็กไทย(รวมถึงนิสิตนักศึกษา
ด้วย) ความล้มเหลวจึงเกิดขึ้น
คือสถาบันการศึกษาไม่สามารถ
จัดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ของผู้เรียนให้ถึงเป้าหมาย
(Goal) เด็กไทยจึงไม่มีความรู้
ไม่มีทักษะ และไม่มีเจตคติ
ต่อสาระดีดีในแผ่นดินตนเอง

บุคคลใดเป็นผู้ดูแลระบบหรือกระบวนการเรียนรู้(Learning Process) ของไทย ได้โปรดแสดงตนให้ประจักษ์

แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( อาทิตย์, 27 มีนาคม 2011 )
 
< ก่อนหน้า   ถัดไป >

News

สมุดภาพเหมืองแร่

Counter

mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterวันนี้108
mod_vvisit_counterเมื่อวาน1659
mod_vvisit_counterทั้งหมด10719367