Skip to content

Phuketdata

default color
Home arrow News arrow PHUKETDATA arrow กรุงสยามพงศาวดาร
กรุงสยามพงศาวดาร PDF พิมพ์ อีเมล์
เขียนโดย ปาณิศรา ชูผล มทศ.   
อาทิตย์, 12 พฤศจิกายน 2017

พระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียม หน้าที่ ๑-๓๗๐

พระราชพงศาวดารกรุงสยาม

วันที่ ๕ ฯ ๒ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๖๙ ปีเถาะ นพศก เพลาค่ำเสด็จออก ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ล้นเกล้า ฯ กรมพระราชวังบวร ฯ ทูลเกล้าถวาย เล่ม ๑

และในเรื่องราวเดิมเหตุนั้น ยังมีดาบสทั้งสองชื่อพระสัชนาลัยและเจ้าฤาษีสิทธิมงคล พี่น้องอายุยืนได้ ๑๐๐ ปี แต่พระชินศรียังเป็นพระยาตราบเท่าได้ตรัส และพราหมณ์ทั้ง ๑๐๐ บ้านยอมเป็นลูกหลาน พระฤาษีทั้งสองจึ่งสั่งสอนว่าสูทั้งหลายอย่าประมาท จงช่วยกันทำกำแพงกันตัว อย่าเมามัวแก่ตัณหา สาตราเร่งตกแต่งไว้ อันพงศ์พราหมณ์สืบไปในภายหน้า จะเป็นกระหัสจะตัดจุกเกล้า เหล่าชีพ่ออย่ามัวเมาทุกตำบล จะละคำทศพลเอาแต่ โลภะ โทสะ โมหะ มักได้ให้ท่านฉิบหาย อนึ่งท่านทั้งหลายจงเอาพนมเพลิงเข้าไว้ในเมืองเป็นที่บูชา ครั้นเจ้าฤาษีสั่งสอนลูกหลานแล้วก็เหาะไป

วันพฤหัสบดี เดือนอ้าย ขึ้น ๖ ค่ำ ปีมะโรงนักษัตร โทศก พุทธศักราชล่วงแล้ว ๑๑๐ ปี มีบาธรรมราชเป็นประธาน ให้ชีพ่อชีพราหมณ์ตัดเอาแลงมาทำกำแพง สถาปนาพระนคร ๗ ปี จึ่งแล้ว และให้สร้างอาวาสวิหารให้เป็นประธานแก่สงฆเจ้าทั้งหลาย จึ่งฝูงชีพ่อตั้งเทวสถาน และขึ้นรำพาวายแก่พระอิศวรผู้เป็นเจ้า ฝ่ายพระดาบสทั้งสองคำนึงตระกูล จึ่งเข้าฌาณสมาบัติอันเป็นบาทแห่งอภิญญา แล้วเหาะมาในอากาศก็เข้าถึงพนมบูชา ยังชีพ่อพราหมณ์ทั้งหลายและมีบาธรรมราชเป็นประธาน ว่าข้าแต่ปู่เจ้าทั้งสอง ตูข้าสร้างเมืองตามคำปู่เจ้าก็บริบูรณ์แล้ว และนามกรเมืองนี้จะสมควรประการใด พระฤาษีจึ่งว่า เราไปเยี่ยมพระอินทร์ ยังเทวโลกกลับลงมาบัดนี้ จึ่งประสาทนามว่า เมืองสวรรค์เทวโลก แล้วพระดาบสให้ชุมนุมชีพ่อพราหมณ์ทั้งหลายปรึกษาว่า เห็นผู้ใดจะคู่ควรด้วยพระนคร พราหมณ์ทั้งนั้นว่า เห็นแต่บาธรรมราชเป็นผู้แก่กว่าตูข้าทั้งหลาย พระฤาษีจึ่งว่า ในราชธานีนี้จะเป็นกษัตริย์มี ๓ ตระกูล คือคหบดีและเศรษฐีและพราหมณ์ประเสริฐในแผ่นดิน แล้วพระดาบสทั้งสองจึ่งอภิเษกบาธรรมราชให้เป็น พระยาชาธรรมราช และนำเอานางท้าวเทวี อันเป็นหลานสาวแห่งนางโมคัลลีบุตร ในบ้านหริภุญไชยมาเป็นอัครมเหสี แล้วบอกว่าธาตุเกศองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า อันพระยาศรีธรรมโศกราชแจกไว้ ยังฝังอยู่ใต้ต้นรัง แร้งตัวเมียหากอยู่เฝ้ารักษา และท่านจงนำมาประดิษฐานไว้เถิด

ครั้นพระฤาษีสั่งแล้วก็เหาะไปถึงภูผา ล่วงเจ็ดวันก็กระทำกาลกิริยาตาย พระยาศรีธรรมราชเจ้าให้บาพิษณุและบาชีชาพิทบาทั้ง ๕ คน อันเป็นช่างมาคิดการสถาปนาพระมหาธาตุ ว่าเราจะทำให้ประหลาดกว่าช่างทั้งหลายในแผ่นดิน จึ่งให้ตัดเอาแลงมาทำแผ่นรจนาเป็นหน้ากระดานฐานสิงห์ และลดชั้นคันเชิงบาท บัวหงาย บัวกลุ่ม ระฆังบัลลังก์เสร็จสำเร็จ แล้วให้ขุดสระกรุแล้วด้วยแลง จึ่งตั้งฐานชั้นหนึ่ง และสมเด็จพระบรมธรรมราชาธิราชเจ้าจึ่งเสด็จด้วยพยุหยาตราราชยศอันเป็น อัศจรรย์ ครั้นถึงต้นรังแล้ว จึ่งให้ขุดเอาผอบแก้วใหญ่ ๕ กำ ซึ่งใส่พระสารีริกบรมธาตุนั้นขึ้นถวายอามิสมหันตสักการบูชาแล้ว จึ่งอัญเชิญเสด็จมาสู่พระนครด้วยราชานุภาพ และที่นั้นจึ่งเรียกว่าเขารังแร้งแต่นั้นมา พระธรรมราชาจึ่งป่าวประกาศแก่คนทั้งหลายผู้ศรัทธาเอาทองมาประมวลกันได้ ๒๕๐๐ ตำลึง ให้รจนาเป็นสำเภาเภตรา แล้วจึ่งประดิษฐานพระบรมธาตุเจ้าลอยไว้ในสระน้ำ ให้สถาปนาพระสถูปครอบที่นั้น ปีหนึ่งจึงสำเร็จ และอัคคีธาตุพระสารีบุตรเถรเจ้าก็บรรจุไว้ในพระเจดีย์ข้างเหนือ ในเมืองสวรรคโลก และพระธาตุพระโมคคัลลาเจ้าก็บรรจุไว้ในบ้านนางโมคคัลลีบุตรในพระนครนั้น ขณะนั้นสมเด็จพระเจ้าธรรมราชาธิราชให้ทำกำแพงในจันตมัฌชคามรอบคอบแล้ว ให้ชื่อเมืองหริภุญไชย จึ่งรับเจ้าอุโลกกุมารราชโอรสมาราชาภิเษก ทรงนามพระยาศรีธรรมโศกราช และให้ชาวบ้านอุตรคามทำกำแพงล้อมบ้านมั่นคง แล้วจึ่งใช้ชีพ่อผู้ใหญ่มารับเจ้าธรรมกุมารราชบุตรไปราชาภิเษกด้วยนาง พราหมณี จึ่งได้ชื่อว่ากำโพชนครศรีเมืองทุ่งยั้ง แล้วให้ตกแต่งบูรคามชื่อพิบูรณะครบบริบูรณ์ แล้วจึ่งเสกเจ้าเจ้าสิงหกุมารกับด้วยนางพราหมณีไว้ แต่กษัตริย์สืบ ๆ กันมาทั้งสี่เมืองถึงเจ็ดชั่วตระกูลช้านาน มิได้มีหิงสาการแก่กัน จึ่งมีพระยาองค์หนึ่งชื่ออภัยคามินี ทรงศีลาจารย์บริสุทธิ์อยู่หริภุญไชยนคร ย่อมไปจำศีลอยู่ในเขา จึ่งนาคธิดาขึ้นมาจากนาคพิภพ แปลงตนเป็นมนุษย์นารีมาอยู่ร่วมเมถุนสังวาสด้วยพระมหากษัตริย์ ๗ ราตรีแล้ว พระเจ้าอภัยคามินีจึงพระราชทานผ้ากำพลและธำมรงค์วงหนึ่ง นางก็ลาไป ครั้นจำนวนนานมานาคบุตรีนั้นทรงครรภ์แก่ จึ่งขึ้นมาคลอดบุตรไว้ในคีรีราชาอาสน์ ที่พระมหากษัตริย์เคยมาจำศีลอยู่แต่ก่อน และบุตรนั้นเป็นมนุษย์กุมารทรงโฉมบริสุทธิ์ นางจึ่งไว้ผ้ากำพลและแหวนกับลูกตน แล้วก็กลับไป ขณะนั้นยังมีวนจรกผู้หนึ่งพเนจรมาพบทารกนั้น เห็นประหลาดก็นำมาเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรมแห่งตน ครั้นกุมารนั้นค่อยวัฒนาการจำเริญขึ้น พอบพิตรกรุงหริกุญไชยตั้งการสถาปนาพระที่นั่งมงคลพระมหาปราสาท และพรานนั้นเข้าไปทำการ จึ่งยังกุมารนั้นให้สำนักอยู่ในฉายามหาปราสาท จึ่งปรากฏเป็นอัศจรรย์ด้วยพระมหาปราสาทนั้นเอียงโอนหนีเป็นหลายทีประจักษ์ แก่คนทั้งปวง บพิตรทอดพระเนตรเห็นจึ่งตรัสถามว่า กุมารนี้เป็นบุตรผู้ใดวนจรกนั้นกราบทูลตามความจริงแล้ว ถวายผ้ากำพลกับธำมรงค์อันได้จากกุมารนั้น พระเจ้าอภัยคามินีก็ตรัสทราบว่ากุมารนี้เป็นราชบุตรแห่งพระองค์ พระองค์จึ่งประสาทราชรางวัลแก่พรานนั้นแล้ว จึ่งตรัสให้ชะแม่และนางท้าวพระสนมอัญเชิญเสด็จพระราชโอรสเข้าสู่พระราช มนเทียรสถาน แล้วตั้งการสมโภชพระราชทานนามว่า พระอรุณราชกุมาร และพระฤทธิกุมารราชบุตรอันเกิดด้วยพระอัครมเหสีนั้นอ่อนกว่าพระอรุณราช และเจ้าพี่น้องทั้งสองนิยมรักใคร่ร่วมใจกัน อนึ่งในอดีตภพครั้งเมื่อสมเด็จพระบรมสัมพุทธเจ้ายังทรงพระทรมานอยู่นั้น พระองค์เสด็จมาฉันในที่นอกบ้านปัจมัฌชคาม ครั้งนั้นยังมีพระยาอุรคราชตัวหนึ่ง มีศรัทธาบันดาลน้ำถวายยังพระองค์ให้สรงในที่นั้น พระองค์จึ่งแย้มพระโอษฐ์ดำเนินวิลาสพุทธพยากรณ์ต่อพระอานนท์ว่า พระยาพุชคินธรตนนี้ เมื่อตถาคตนิพพานแล้วได้ ๙๕๐ ปี จะบังเกิดเป็นกษัตริย์ ชื่อพระยาอรุณราช จะได้ลบศักราชตถาคตเมื่อถ้วนพัน และเดชะผลานิสงส์ให้น้ำเป็นทานนี้ และกระแสน้ำไหลไปถึงที่ใดก็จะเป็นอาณาเขตไปถึงที่นั้น ท้าวพระยาทั้งชมพูทวีปจะทนทานอานุภาพมิได้ ครั้นพระองค์ตรัสทำนายแล้ว ก็เสด็จไปโปรดเวไนยสัตว์โดยพุทธวิสัย ฝ่ายพระเจ้าอภัยคามมินีตรัสเห็นพระอรุณราชจำเริญขึ้น พระองค์จึ่งนำไปราชาภิเษกไว้ ณ เมืองสัชนาลัย จึ่งได้พระนามว่าพระยาร่วงแต่นั้นมา พระองค์จึ่งให้สร้างพระวิหารทั้งสี่ทิศติดพระมหาธาตุ และระเบียงสองชั้น เอาแลงทำค่ายและเสาโคมรอบวิหาร แล้วให้ช่างทองเอาทองแดงกระทำลำพุขันยาว ๘ ศอก แก้วใสยอด ๑๕ ใบ บัลลังก์ใหญ่ ๙ กำ หุ้มทองแดงแต่ครีบขนุนลงมาถึงเชิงคูหา แล้วให้สถาปนาอุโบสถกุฎีวิหารสะพานศาลา อุทิศถวายเป็นทานแก่สงฆเจ้าทั้งหลาย อนึ่งให้กระทำที่ต้นรังบรรจุพระบรมธาตุนั้นเป็นวิหารและเจดีย์ แล้วให้ชื่ออารามเขารังแร้ง และครั้งนั้นกรุงกษัตริย์ทั้งปวงก็น้อมนำราชบรรณาการมากราบถวายบังคมทูล ชมพระบุญฤทธิ์อานุภาพแห่งสมเด็จพระร่วงเจ้าสกลชมพู

ครั้นพระชนม์ได้ ๕๐ พรรษา พุทธศักราชถ้วน ๑๐๐๐ จึ่งคนอันเป็นใหญ่กว่าคนทั้งหลายนำเอาช้างเผือกงาดำมาถวาย ครั้งนั้นพระองค์จะลบศักราช จึ่งให้นิมนต์พระอชิตเถร พระอุตคุตเถร พระมหาเถร และพระอรหันต์เจ้าทั้ง ๕๐๐ พระองค์ ทั้งพระพุทธโฆษาวัดเขารังแร้งมาชุมนุม ณ วัดโคกสิงฆารามกลางเมืองสัชนาลัย และพร้อมท้าวพระยาในชมพู คือไทยและลาว มอญ ญวน พม่า ลังกา พราหมณ์เทศเพทต่าง ๆ ในปีมะแม เดือนหกขึ้นค่ำหนึ่ง และพระพุทธเจ้าเสด็จนิพพานปีมะเส็ง ตั้งมะเมียเป็นเอกศก ทีนี้ตั้งมะแมโทศก พระองค์จึ่งให้หนังสือไทยแล และเฉียงไทย และลาวไทย มอญไทย พม่าไทย และขอมเฉียง ขอม ก็มีมาแต่ครั้งนั้น จึ่งพระราชทานที่สัดนาสัดวัดอาราม ไว้ค้ำชูพระศาสนา ๕๐๐๐ พระวัสสาเป็นกัลปนา อุทิศไว้แด่กษัตริย์ได้เสวยราชสมบัติทั้ง ๕ เมือง จนศักราช ๑๒๐๐ ปี พระร่วงเจ้าทิวงคตแล้วจึ่งเกิดรบพุ่งกัน ชีพ่อกลายเป็นกระหัสเป็นอกุศลนัก เพราะประมาทลืมตน ย่อมถ่ายเทเมืองเสียให้เป็นป่าช้า ป่าเสือก็บังเกิดมีมากแก่คนทุกภาษา

ศุภมัสดุ ๑๐๒๖ พระร่วงเจ้าทรงพระกัลปนาที่ไร่และนาสัด ไว้สำหรับวัดโคกสิงฆาราม วัดอุทธยาน วัดเขาหลวง วัดราชประดิษฐานและไตรภูมิป่าแก้ว วัดพระมหาธาตุ วัดเขาอินทร์ คณะคามวาสีอรัญวาสีเสร็จบริบูรณ์ แล้วตรัสแก่พระฤทธิกุมารอนุชาว่า กรุงกษัตริย์ทั้งปวงก็มาช่วยเราตั้งการลบศักราชในสมัยนี้เป็นมหาสโมสรสมาคม อันใหญ่ แต่พระยามัคธราชกรุงเดียวนี้โอหังนัก มิมาคารวะ ควรเราจะไปน้อมนำมาเป็นเมืองขึ้นแก่เรา

ครั้น ณ วัน ๑ อุษาโยคอุดมฤกษ์ ทั้งสองกษัตริย์ก็ลงสู่วรรณนาวา เสด็จโดยชลมารคมหาสมุทรหาภัยอันตรายมิได้ ถ้วนกำหนดเดือนหนึ่งจึ่งถึงกรุงจีน สมัยนั้นปรากฏเป็นอัศจรรย์ คือ แผ่นดินไหว และอากาศเป็นหมอกมัว ไม่เห็นดวงพระอาทิตย์ บรรดาจีนในราชธานีและชนบทประเทศ ก็บังเกิดขนลุกหนังพองไป สิ้น ฝ่ายบพิตรกรุงมัคธตรัสเห็นการเป็นอัศจรรย์ ดังนั้น จึ่งให้ ขุนแก้วกาญจนอำมาตย์ไปพิจารณาเหตุในมหาสมุทร เห็นกษัตริย์ทั้งสองขี่เรือน้อยเข้ามาสู่อ่าว ก็รีบมากราบทูล พระเจ้ากรุงจีนก็ทราบพระญาณโดยได้ทรงฟังเรื่องพระพุทธพยากรณ์ไว้แต่ก่อนว่า จะมีกษัตริย์ฝ่ายกรุงสยามสองพี่น้องทรงบุญฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ ข้าม ทะเลมาหาดูถึงมัคธประเทศ ด้วยเสร็จการลบศักราชแห่งองค์ สัมพุทธบพิตรเจ้าเที่ยงแท้ แล้วพระองค์จึ่งแต่งพลทหารออกมาอัญเชิญกษัตริย์ทั้งสองขึ้นไปสู่ราชธานี กรุงมัคธก็กราบถวาย บังคมแล้ว จึ่งนำพระราชธิดามาทูลถวาย บพิตรก็มีพระทัย ยินดี พระยากรุงจีนจึ่งให้แต่งสำเภาถวายลำหนึ่ง พร้อมด้วยเครื่องมงคลราชบรรณาการ แล้วผ่าตรามังกรออกเป็นสองภาค และให้ ราชธิดามาภาคหนึ่ง เพื่อจะสันทัดในราชสาส์นอันไปมาถึงกัน สมเด็จพระร่วงเจ้าจึ่งพาพระอนุชาธิราช พระอัครมเหสี และจีนบริวาร ๕๐๐ ลงสู่สำเภากลับมากรุงสัชนาลัย สำเภาลูกค้าวาณิชก็ไปมา ได้สะดวก และจีนทั้งหลายทำถ้วยชามถวาย จึ่งเกิดมีถ้วยชามแต่ นั้นมา พระองค์จึ่งให้เจ้าสุทธิกุมารผู้น้องตั้งพระราชวังอยู่นอกเมือง

ฝ่ายข้างเชียงใหม่นั้นพระเจ้าแผ่นดินทิวงคต มีแต่พระ ราชธิดา อำมาตย์จึ่งมากราบทูลขอพระฤทธิกุมารไปผ่านแผ่นดิน สมเด็จพระร่วงเจ้า จึ่งให้เจ้าสุทธิกุมารอยู่รักษาพระนครกับนางสุท เทวี แล้วพระองค์ทรงช้างเผือกงาดำพาพระอนุชาและเสนางคนิกร โยธาหาญเสด็จโดยพนมใหญ่ถึงกลางหนทาง จึ่งให้เจ้าฤทธิกุมาร ผ่านหน้าช้างเข้ามาต่อพระองค์ จึ่งจับคณฑีทองอันเต็มไปด้วยน้ำ หลั่งพิษฐานให้เป็นแดนแว่นแคว้นแห่งเจ้าวันนี้ แล้วให้เอาตะปูทองแดงอันใหญ่สามกำสามตัวปักแดนให้แล้ว ก็เสด็จขึ้นถึงเมือง นางมลิกาเทวีลูกเจ้าเชียงใหม่มารับเสด็จเข้าในเมืองหลวง ท้าว พระยาเสนาทั้งหลายก็กราบถวายบังคมทูล ขณะนั้นพระอรหันต์เจ้า ได้บุพเพนิวาสานุสติวิชชา ก็ยังมีเป็นหลายพระองค์ พระมหา กษัตริย์เจ้าจึงถามว่านางมลิกาเทวีผู้นี้เป็นฉันใด พระอรหันต์เจ้า จึ่งบอกว่าอุบาสกและนางนั้น เขาได้ให้ทานข้าวบิณฑบาตอันรายไป (ด้วย) ดอกมะลิ พระองค์ก็ชื่นชมยินดี จึ่งเสกเจ้าฤทธิกุมารกับด้วยนางมลิกาเทวี จึ่งได้นามว่าพระยาฤา ณ พิชัยเชียงใหม่ ติดตระกูล แต่นั้นมาสาวจึ่งสู่ขอผัวเป็นจารีต

ครั้นพระร่วงเจ้ากลับมาเมืองแล้ว พระเกียรติยศ ก็ปรากฏยิ่งกว่าแต่ก่อน พระองค์รอบรู้วิชาไตรเพทเชี่ยวชาญ หาผู้เสมอมิได้ และทรงวจีสัจสุจริตว่าให้ตายก็ตาย จะว่าให้เป็น ก็เป็น และขอมดำเนินดินผุดขึ้นมาแล้ว ก็กลายเป็นศิลามะขาม ก็ขึ้นมิได้ อนึ่งอำนาจแก้วอุทกประสาทอันพระยากรุงจีนให้มา แก่พระองค์นั้น จะไป ๗ วันจะบริโภคน้ำก็ได้ อยู่มาในสมัยหนึ่ง พระองค์ทรงว่าวขาดลอยไปถึงนครตองอู และพระยาตองอูนั้นเดิมเป็นคนอนาถา ไปทำไร่คล้องได้วานรเผือกมาถวายสมเด็จพระร่วง เจ้า พระร่วงเจ้าจึ่งโปรดให้เป็นพระยา แล้วตั้งเมืองตองอู และเมื่อ ว่าวทรงขาดไปคล้องยอดปราสาทอยู่นั้น พระร่วงเจ้าตามไปถึง เมืองตองอูแต่พระองค์เดียว เข้าอยู่ในบรรณศาลาภายนอกเมืองนั้น ครั้นเพลาค่ำ พระองค์ก็ลอบเข้าไปทำชู้ด้วยลูกสาวพระยาตองอูถึงปราสาทอันล้อมด้วยเหล็ก และเมื่อพระร่วงเจ้าจะขึ้นเอาว่าวนั้น พระบาทหนึ่งเหยียบอังสาพระยาตองอู พระบาทหนึ่งเหยียบศีรษะ ยื่นพระหัตถ์หยิบเอาว่าว พระยาตองอูก็มิถือ เพราะมีความสุจริต ครั้นพระองค์ได้ว่าวแล้ว เพลาค่ำก็หนีมา ธิดานั้นจึ่งนำประพฤติเหตุเข้าทูลแก่ท้าวบิดา พระยาตองอูก็ให้ติดตามเอาพระองค์คืนมาได้ ชักสาวเอาพระอันตะออกจากพระองค์ใส่พานไว้แล้ว ก็ทรงเสด็จขึ้น มาเมืองสัชนาลัย และพระองค์จะได้รู้เหตุนั้นหามิได้ อนึ่งเป็นวิสัยจะกละฉมบกินไส้พุงคนทั้งปวง ครั้นพระร่วงเจ้าเสด็จขึ้นปราสาทเปลื้องอาภรณ์แล้ว จึ่งมีพระราชโองการตรัสสั่งเจ้าสุทธิกุมารว่า แม้นไม่เห็นพี่มาแล้ว เจ้าจงเป็นพระยาแทนเถิด ครั้นตรัสสั่งแล้วก็เสด็จพระราชดำเนินลงไปสรงน้ำที่แก่งกลางเมืองนั้น ก็อันตรธานไป สมเด็จพระอนุชาธิราชและมุขมนตรี พระสนมกำนัลและราษฎรทั้ง ปวงก็โสกาดูรภาพร่ำรักรำพันพระคุณเป็นอันมาก พระสุทธิกุมารจึ่ง ให้ราชทูตไปทูลแก่พระญาฤา ณ พระนครเชียงใหม่ ลงมาตั้งการถวัลยราชราชาภิเษกพระองค์เป็นอิสราอิศรภาพในพระนครสัชนาลัย แล้วให้ขุนไตรภพนาถซ่อมแปลงพระนิเวศ ก่อกำแพงตั้งค่ายชั้นใน ชั้นนอก ตั้งค่ายเชิงเรียงพนมเชิงแห่งหนึ่ง พนมหัวช่างแห่งหนึ่ง พนมหัวเปียแห่งหนึ่ง แล้วให้แต่งป้อมช่องปืนใหญ่และให้ตกแต่ง หัวเมืองเอก ๕ หัวเมือง หัวเมืองโท ๘ หัวเมือง หัวเมืองสรรพยุทธ ทั้งปวงไว้สำหรับแล้ว ขอช่างมาแต่มคธให้ตั้งหล่อปืนใหญ่น้อย ๑๕๐ บอก และตีปืนนกสับคาบชุด ๕๐๐ บอก

ครั้นถึงเดือนอ้าย ขึ้นค่ำหนึ่ง พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก เมืองเชียงแสนให้ตรวจจัดรี้พลโยธาช้างม้า และเครื่องสรรพยุทธให้ พระยาเชียงราย พระยาเชียงลือเป็นทัพหน้า พระยาเชียงเงิน พระยาเชียงตุง เป็นปีกขวา พระยาเชียงทอง พระยาเชียงฝางเป็น ปีกซ้าย จะยกกองทัพลงมาตีเมืองสัชนาลัย เมืองสัชนาลัยทราบ เหตุ จึ่งให้มีราชสาส์น ฝ่ายม้าใช้กองสอดแนมรู้เหตุก็นำเอา อึงกฤดาการรีบมากราบทูล สมเด็จพระเจ้ากรุงศรีสัชนาลัยทราบเหตุจึ่งให้มีราชสาส์นไปเมืองชียงใหม่ ถึงพรหมวดีราชนัดดาราโชรส พระยาฤาราชอันทิวงคตนั้น ให้จัดแจงเมืองแพร่ เมืองน่าน เมือง นครให้มั่นคง อนึ่งให้แต่งกองออกลาดลักตัดลำเลียงแห่งข้าศึกให้ ถอยกำลังจงได้ ฝ่ายข้างกรุงศรีสัชนาลัยนั้น ก็ให้เกณฑ์พลทะแกล้วทหาร ขึ้นรักษาหน้าที่ แล้วให้กวาดครัวอพยพเข้าพระนคร ข้าง พระเจ้าศรีธรรมราชไตรปิฎกยกพลมาถึง จึ่งให้ตั้งค่ายหลวงใกล้ เมืองทาง ๕๐ เส้น แล้วให้ดาพลโยธาล้อมเมืองสัชนาลัยไว้โดยรอบ ให้พลทหารเข้าปีนปล้นเป็นหลายครา ชาวพระนคร ก็ระดมกันยิงปืน ยิงตกคูตายเป็นอันมาก จะหักเอามิได้ พระ พุทธโฆษาจารย์จึ่งไปถวายพระพรแก่พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก (ให้) ระงับสงครามเสียทั้งสองฝ่าย กษัตริย์ทั้งสองก็โดยคำพระอรหันต์เจ้าพระเจ้ากรุงศรีสัชนาลัยจึ่งให้แต่งนาง ปทุมเทวีราชธิดาแล้ว พระก็ เสด็จออกไปบังคมถวายราชธิดา พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกก็มีความ ยินดี ให้เลิกทัพกลับไปเมืองเชียงแสน และนางปทุมเทวีนั้นมีราช- บุตรด้วยพระยาธรรมไตรปิฎกสององค์ ชื่อเจ้าไกรสรราชองค์หนึ่ง ชื่อเจ้าชาติสาครองค์หนึ่ง และพระเจ้าเชียงแสนนั้นได้ทราบว่า สมเด็จสรรเพชญ์พุทธเจ้าเสด็จไปอาศัยกระทำภัตกิจใต้ต้นสมอ พระองค์จึ่งดำริสร้างเมืองในที่นั้น จึ่งมีพระราชโองการสั่งจ่านกรอง และจ่าการบูร ให้ทำเป็นพ่อค้าเกวียนไปคนละ ๕๐ เล่ม เต็มไป ด้วยทุนทรัพย์ทั้งหลาย มาถึงเมืองลิลมพล ไหว้พระบาทพระพุทธเจ้านั้นแห่งหนึ่ง จึ่งข้ามแม่น้ำตะนิมมาถึงภูผาหลวง และมาถึงเมืองสวางคบุรี ไหว้พระธาตุพระพุทธเจ้านั้นแล้ว จึ่งข้ามแม่น้ำกรอม แม่น้ำแก้วน้อย จึ่งถึงทุ่งบ้านพรานที่พระพุทธเจ้าไปบิณฑบาต ข้างตะวันออก ๑๕๐ เรือน ข้างตะวันตก ๑๐๐ เรือน จึ่งปรึกษา กันว่าจะสร้างเมืองถวาย เห็นจะต้องด้วยราชประสงค์และราชอุบายอันเจ้าเราใช้มา ครั้นเห็นชอบพร้อมกันแล้ว จึ่งเริ่มการสถาปนา พระนครโดยไสยศาสตร์ ให้ชีพ่อขึ้นถีบอำภาวายและเชิญเทวรูปออกแห่ตั้งทิศ จึ่งให้พราหมณ์ชักรั้วที่จะตั้งเมืองแล้วปันหน้าที่ยาว ๕๐ เส้น สกัด ๑๐ เส้นชั่ววาคนโบราณ
ดูใน
พระราชพงศาวดาร หน้า ๑ - ๓๗๐
พระราชพงศาวดาร หน้า ๑๗๐ - ๗๔๓

***
ประวัติศาสตร์ phuketdata

แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( อาทิตย์, 12 พฤศจิกายน 2017 )
 
< ก่อนหน้า   ถัดไป >

News

สมุดภาพเหมืองแร่

Counter

mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterวันนี้1543
mod_vvisit_counterเมื่อวาน2580
mod_vvisit_counterทั้งหมด10706288