ท้าวเทพกระษัตรีท้าวศรีสุนทร วีรสตรีแห่งเมืองถลางเป็นไทยพุทธ ไม่ใช่มุสลิม กระทู้สนทนา . . ประวัติศาสตร์ศาสนาอิสลามจังหวัดภูเก็ตชีวประวัติบุคคลประวัติศาสตร์ไทย ท้าวเทพกระษัตรีท้าวศรีสุนทร วีรสตรีแห่งเมืองถลางเป็นไทยพุทธ ไม่ใช่มุสลิม เรียนแอดมินเวปพันทิพ เพื่อความเป็นธรรมต่อวีรสตรีของไทยทั้งสองท่าน กรุณาให้กระทู้นี้ ลงในห้องศาสนาอิสลาม เพื่อเสนอความเห็นคัดค้านกระทู้ http://pantip.com/topic/33977387 เมื่อ 28 กรกฎาคม 2558 ที่อ้างว่าคุณหญิงจันและคุณหญิงมุกเป็นมุสลิมในห้องศาสนาอิสลาม
วันจันทร์ เดือน 4 ขึ้น 14 ค่ำ ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ 13 มีนาคม 2328 หรือ 231 ปีที่แล้วเป็นวันที่คุณหญิงจันและคุณหญิงมุก วีรสตรีแห่งเมืองถลางทั้งสองท่านรบชนะทัพพม่าที่ยกมาตีเมืองถลาง หรือ วันถลางชนะศึก วันนี้ในปี 2559 ถือเป็นวันมงคลที่นำเสนอหลักฐานสำคัญของประวัติศาสตร์เมืองถลางคือจดหมายส่วนตัวของคุณหญิงจันเขียนถึงพระยาราชกปิตัน(ในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) หรือกัปตันฟรานซิส ไลท์เจ้าเมืองปีนังในสมัยนั้น ความในจดหมายยืนยันว่าคุณหญิงทั้งสองเป็นไทยพุทธ ไม่ใช่มุสลิม
บทนำ หลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับท้าวเทพกระษัตรีท้าวศรีสุนทรที่หลงเหลือในปัจจุบันซึ่งนักประวัติศาสตร์ยอมรับว่าถูกต้องที่สุดคือจดหมายการติดต่อระหว่างขุนนางชาวเมืองถลางและกัปตันฟรานซิส ไลท์ หรือ พระยาราชกปิตัน เจ้าเมืองปีนัง ที่เขียนขึ้นระหว่าง ปี 2319 ถึง 2335 สำหรับคุณหญิงจัน วีรสตรีเมืองถลางได้เขียนจดหมายส่วนตัวถึงกัปตันไลท์(เท่าที่พบ) ระหว่างปี 2328 ถึง 2330 จำนวน 4 ฉบับ จดหมายทั้งหมดเก็บรักษาอยู่ที่เมืองปีนัง ต่อมารัฐบาลอังกฤษนำจดหมายทั้งหมดไปเก็บรักษาที่มหาวิทยาลัยลอนดอน คุณอ้วน สุระกุล อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตเป็นคนแรกที่นำสำเนาจดหมาย 6 ฉบับมาเผยแพร่ในปี 2505 เป็นการจุดประกายให้มีการค้นคว้าและค้นพบจดหมายทั้งหมด 48 ฉบับในเวลาต่อมา
สาระในจดหมายส่วนตัวของคุณหญิงจันทั้ง 4 ฉบับบอกถึงศาสนาของคุณหญิงจันโดยเขียนอยู่ในเรื่องธรรมดาพื้นๆทั่วไปจนคนทั่วไปดูแทบไม่ออก ยกเว้นผู้ที่มีความรู้ด้านศาสนาอิสลามจะดูออกทันทีว่าคุณหญิงจันไม่ใช่มุสลิม
สำหรับบทความในเวปต่างๆซึ่งพยายามโมเมว่าคุณหญิงจันและคุณหญิงมุกเป็นมุสลิม โดยอ้างพงศาวดาร ตำนานต่างๆ โดยเฉพาะการอ้างว่านักวิชาการจากมาเลเซียได้นำหลักฐานเป็นภาษาอังกฤษและมลายูมามอบให้ ฯลฯ เป็นข้ออ้างที่ทึกทักเอาเชื่อถือไม่ได้ เป็นที่น่าสังเกตว่าบทความเหล่านี้ไม่เคยกล่าวถึงจดหมายส่วนตัวของคุณหญิงจันและจดหมายเหตุเมืองถลางที่เป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ของเมืองถลางแม้แต่น้อย
หมายเหตุ สำเนาของจดหมายเมืองถลางทั้งหมด 48 ฉบับ และคำถอดความได้มีการจัดพิมพ์โดยมูลนิธิท้าวเทพกระษัตรีท้าวศรีสุนทร หนังสือชื่อ จดหมายเหตุเมืองถลาง โดย คุณประสิทธิ ชิณการณ์ ปราชญ์แห่งเมืองภูเก็ตเป็นผู้เรียบเรียงสำเนาจดหมายทั้งหมดในหนังสือจดหมายเหตุเมืองถลางจะเรียงโดยใช้คำว่า ศวภ หรือ ศูนย์วัฒนธรรมภูเก็ตนำหน้า ตามด้วยลำดับจดหมาย ผู้สนใจสามารถหาซื้อหนังสือเล่มนี้ได้ ราคาเพียง 120 บาท
บทวิเคราะห์ จดหมายส่วนตัวของคุณหญิงจันถึงกัปตันไลท์ เขียนถึงเหตุการณ์ทั่วๆไปในสมัยนั้นเช่น การศึกสงครามพม่า การแลกเปลี่ยนของสำคัญเช่นดีบุกกับอาวุธปืน สั่งซื้อของบรรณาการสำหรับถวายสมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ ซื้อผ้า ข้าว ฝิ่น น้ำหอม รวมถึงบอกเล่าปัญหาสารทุกข์สุกดิบ ฐานะ ชีวิตความเป็นอยู่ ความเจ็บไข้ และ การปฏิบัติตามประเพณีของคนไทยพุทธทั่วไป การปฏิบัติตามประเพณีของคนไทยพุทธทั่วไปเหล่านี้บอกชัดเจนว่าคุณหญิงจันไม่ใช่มุสลิม แต่ผู้ที่เข้ามาศึกษาจดหมายเหตุเมืองถลางส่วนใหญ่มองจุดบ่งชี้เหล่านี้ไม่ออก เพราะไม่รู้ถึงกฏและข้อห้ามสำคัญของศาสนาอิสลาม เช่น เรื่องพื้นๆบางเรื่องถือเป็นเรื่องธรรมดาของไทยพุทธ แต่เรื่องเดียวกันนี้สำหรับมุสลิมถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เพราะเรื่องพื้นๆของไทยพุทธบางเรื่องมุสลิมห้ามกระทำเด็ดขาด
ประเพณีไทยที่พื้นๆธรรมดาที่สุดที่คุณหญิงจันกระทำ แต่เป็นเรื่องสำคัญที่บอกว่าคุณหญิงจันไม่ใช่มุสลิม แต่เป็นไทยพุทธ คือ
1 เหตุผลจากคติธรรมทางพุทธศาสนาในจดหมาย ซึ่งคุณหญิงจันอวยพรกัปตันไลท์ปรากฏอยู่ในจดหมายฉบับที่ ศวภ 31 หน้า 127
คุณประสิทธิ ชิณการณ์สรุปว่าการอวยพร 4 ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ เป็นคติทางพุทธศาสนา ดังนั้นคุณหญิงจันจึงเป็นไทยพุทธ ไม่ใช่มุสลิม
2 การปฏิบัติตามประเพณีไทยทั่วๆไปในจดหมายฉบับที่ ศภว 17 ศภว 26 และ ศภว 31 เช่น การกราบเท้า ขอพึ่งใบบุญ เอาบุญท่านปก ต่อ พระยาราชกปิตันซึ่งเป็นผู้ใหญ่ เป็นการเคารพผู้ใหญ่ของเจ้าของจดหมายหรือคุณหญิงจันในวิถีไทยพุทธ แต่ในวิถีอิสลามการกระทำดังกล่าว เช่นการกราบเท้าฯลฯ ถือเป็นการเคารพผู้อื่นเสมออัลลอฮฺ ถือว่าละเมิดข้อห้ามร้ายแรงที่สุดของอิสลาม ถ้าหากคุณหญิงจันเป็นมุสลิม ท่านต้องไม่กล้าละเมิดข้อห้ามร้ายแรงข้อนี้ เหตุผลข้อนี้พิสูจน์ว่าเจ้าของจดหมายหรือคุณหญิงจันต้องเป็นพุทธ ไม่ใช่มุสลิม
สำหรับจดหมายของคุณหญิงจัน ศภว 15 ไม่มีข้อเด่นเรื่องศาสนาแต่จะเขียนถึงสงครามพม่าที่ใกล้จะเกิดขึ้น สำเนาจดหมายฉบับจริงจะลงในความเห็นถัดไป
ขออธิบายผู้อ่านที่ไม่ใช่มุสลิมถึงกฎของอิสลามที่กำหนดให้มุสลิมทุกคนต้องปฎิบัติ คือ 2.1 การปฏิบัติของมุสลิม(รุก่นอิสลาม)ในข้อแรกเป็นกฎสำคัญสูงสุดของอิสลามคือการปฎิญาณตนว่า“อัชฮะดุ อัลลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮ.” หมายถึงมุสลิมจะเคารพอัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้น มุสลิมจะไม่เคารพกราบไหว้(สูยุด)หรือขอพรพึ่งพาพระเจ้าอื่นใดหรือสิ่งอื่นใด ห้ามมุสลิมกราบวัตถุหรือบุคคลใดๆ แม้แต่พ่อแม่ของตัวเอง เพราะการกราบหรือการเคารพนั้นจะถูกสงวนไว้เฉพาะอัลลอฮฺเท่านั้น 2.2 ชิริก(การตั้งภาคีเทียบเท่ากับอัลลอฮฺ)คือ มุสลิมห้ามเคารพหรือห้ามปฏิบัติต่อสิ่งอื่นๆเท่าเทียมกับอัลลอฮฺ การทำชิริกเป็นเรื่องห้ามทำเด็ดขาดของมุสลิม การกราบพ่อแม่ การกราบและขอพึ่งใบบุญหรือพึ่งอำนาจอื่นใดที่ไม่ใช่อัลลอฮฺ การเขียนป้ายพระเจ้าช่วยคุณให้รอดฯลฯตามต้นไม้เสาไฟฟ้าถือเป็นชิริกทั้งสิ้น ถ้าคุณทำชิริก คุณจะเป็นมุชริก(ผู้ตั้งภาคีกับอัลลอฮฺ)เช่น การกราบไหว้พ่อแม่เป็นข้อห้ามหรือ ชิริก คนที่กราบพ่อแม่เรียกว่า มุชริก และสิ้นสภาพการเป็นมุสลิมทันทีหรือ มุรตั๊ด ถ้าตายไปขณะเป็นมุรตั๊ดจะตกนรกตลอดกาล
เรื่องการห้ามกราบหรือห้ามเคารพต่อบุคคลอื่นเสมออัลลอฮฺ(ชิริก)สำหรับมุสลิมไม่มีการยกเว้นหรือผ่อนผันไม่ว่ากรณีใดๆ ไม่สามารถอ้างว่าจำเป็นต้องทำชิริกเพราะการเมืองบังคับหรือเหตุผลอื่นใด เพราะนี่คือกฎสำคัญสูงสุดของอิสลามที่มุสลิมทุกคนต้องยึดถือ ผมท้าให้ถามมุสลิมในห้องศาสนาอิสลามหรือทั่วโลกได้ทุกคน ว่ากฎข้อนี้จริงไหม
บทสรุป
บทวิเคราะห์ทั้งสองข้อจากจดหมายส่วนตัวของคุณหญิงจันทั้ง 4 ฉบับแสดงว่าคุณหญิงจันไม่ใช่อิสลามแน่นอน เพราะคุณหญิงจันเคารพผู้ใหญ่โดยการกราบเท้าหรือขอพึ่งใบบุญพระยาราชกปิตัน เป็นเรื่องปกติในชีวิตของคนไทยพุทธ แต่สำหรับมุสลิมถือว่าเรื่องกราบเท้าฯลฯ เป็นการเคารพบุคคลอื่นเสมออัลลอฮฺ หรือกระทำชิริกใหญ่ เป็นเรื่องต้องห้ามร้ายแรงที่สุดของอิสลามที่มุสลิมจะไม่กระทำ
ความเฉพาะเจาะจงของศาสนาอิสามเรื่องการทำชิริกใหญ่สามารถหักล้างข้ออ้างที่ทึกทักให้คุณหญิงจันคุณหญิงมุกเป็นมุสลิมลงได้อย่างสิ้นเชิง เพราะมุสลิมทุกคนจะไม่กล้าทำชิริกใหญ่เด็ดขาด ท่านสามารถทดสอบโดยถามมุสลิมทุกคนได้
ในทางกลับกันการเคารพผู้ใหญ่ด้วยการกราบเท้าเป็นประเพณีไทยพุทธทั่วๆไป ยืนยันว่า คุณหญิงจันเป็นไทยพุทธแน่นอน เมื่อคุณหญิงจันเป็นไทยพุทธ คุณหญิงมุกและพี่น้องก็เป็นพุทธด้วย
ผมอยากฝากบทวิเคราะห์บทนี้สำหรับพี่น้องชาวภูเก็ต หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องชาวภูเก็ตควรรวมตัวกันเรียกร้องและกดดันให้จังหวัดภูเก็ตทำการชำระประวัติของคุณหญิงจันคุณหญิงมุก วีรสตรีของภูเก็ตและของไทยให้ถูกต้องตามความเป็นจริงในประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการเพื่อเป็นการเคารพและให้เกียรติวีรสตรีทั้งสองท่านซึ่งวีรกรรมของท่านเป็นที่นับถือของคนไทยทุกคน ขอให้พี่น้องชาวจังหวัดภูเก็ตช่วยกันปกป้องวีรสตรีของเรา อย่าดูดายปล่อยให้คนบางกลุ่มมาบิดเบือนประวัติส่วนตัวของวีรสตรีทั้งสอง แก้ไขข้อความเมื่อ 13 มีนาคม เวลา 16:08 น. 9 11 สมาชิกหมายเลข 1736054 13 มีนาคม เวลา 15:07 น. สมาชิกหมายเลข 3058174 ถูกใจ, Mahasati Neo ถูกใจ, อิงอักษรา ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 2044135 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1493245 ถูกใจ, รอเธอโสด ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 2996535 ถูกใจ, รู้น้อยไปหน่อย ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1567547 ถูกใจ, Varalbastra ถูกใจรวมถึงอีก 1 คน ร่วมแสดงความรู้สึก 13 ความคิดเห็น ความคิดเห็นที่ 1 จะเห็นว่าต้นฉบับอ่านยาก ดีที่ท่านอจ.ประสิทธิ ได้ถอดความทำให้อ่านง่ายขึ้น
แก้ไขข้อความเมื่อ 13 มีนาคม เวลา 15:19 น. ตอบกลับ 1 2 สมาชิกหมายเลข 1736054 13 มีนาคม เวลา 15:12 น. รู้น้อยไปหน่อย ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1567547 ถูกใจ ความคิดเห็นที่ 2 มีคำศัพท์อันเกี่ยวแก่ทางพุทธหลายคำ หากท่านเป็นมุสลิมจริงก็ควรที่จะมีคำศัพท์ทางอิสลามอยู่บ้าง อย่างเช่นขอความสันติ ขอพระเจ้าอำนวยพร ตอบกลับ 0 4 zodiac28 13 มีนาคม เวลา 18:03 น. สิงห์บลูผงาดฟ้า ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 2044135 ถูกใจ, รู้น้อยไปหน่อย ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1736054 ถูกใจ ความคิดเห็นที่ 3 ผมคิดเช่นเดียวกัน เขียนแล้วแต่กลัวยาวไปเลยตัดออก ในต้นจดหมายเขียนว่าขอจำเริญมายังท่านกปิตัน(ศภว17) ของเต็มๆจะเขียนว่า ขอกราบจำเริญมายังท่านกปิตัน แต่พบในจดหมายของข้าราชการท่านอื่นครับ ธรรมเนียมไทยพุทธทั้งนั้น แก้ไขข้อความเมื่อ 14 มีนาคม เวลา 06:42 น. ตอบกลับ 0 1 สมาชิกหมายเลข 1736054 13 มีนาคม เวลา 19:19 น. สมาชิกหมายเลข 3058174 ถูกใจ ความคิดเห็นที่ 4 ผมว่าท่านไม่ได้เขียนเอง มีหลักฐานอะไรที่ไหนบ้างที่ระบุว่าท่านเขียนหนังสือเป็น อีกทั้งเอกสารนี้ออกเป็นทางการแต่ไม่ปรากฎ การลงชื่อผู้ออกหนังสือ ตอบกลับ 0 1 สมาชิกหมายเลข 2987797 13 มีนาคม เวลา 19:46 น. สมาชิกหมายเลข 2870955 ถูกใจ ∨ดู 1 ความเห็นย่อย ∨ ความคิดเห็นที่ 5 เขาพิสูจน์เรื่องที่มาที่ไปเรียบร้อยแล้ว ดูจากตราประทับ ในจม.ฉบับอื่นจะประทับตราของเจ้าของจดหมาย(ส่วนใหญ่เป็นขุนนาง)ในประโยคสำคัญที่มีค่ามากๆ เช่นราคาปืน ราคาดินปืน เพื่อป้องกันการแก้ไข เขียนเสร็จประทับตรายืนยันอีกครั้ง และม.ลอนดอนมาประทับซ้ำอีก(กลัวหาย) เมืองถลางสั่งซื้อปืนตามคำสั่งจากกรุงเทพ บางครั้งสามสี่พันกระบอก(ศภว 42) ปืนใหญ่30กระบอก(ศภว43) ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลในสมัยนั้น และเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ มีการสั่งซื้อทองคำด้วยสี่ห้าสิบชั่ง(ศภว43)
คนที่ดูแลเอกสารที่ม.ลอนดอนเป็นอจ.ชื่อศ.สจ๊วต ซิมมอนท์ อจ.สอนภ.ไทยในยูนั้นและเป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เอเซียและอาฟริกา ส่วนบ้านของกัปตันไลท์เป็นพิพิทภัณท์ที่ปีนัง
เรื่องการเขียนหนังสือของคนชั้นสูงสมัยโบราณ เขาจะบอกให้อาลักษณ์เขียน(เช่นท่านสุนทรภู่เป็นอาลักษณ์) เขียนตามคำบอก(สั่ง) และต้องมีสอบทานหลังจากเขียนแล้ว เพราะการแลกเปลี่ยนดีบุกกับอาวุธมีมูลค่ามหาศาลครับ และการซื้ออาวุธมูลค่ามหาศาล ท่านคิดว่ารัฐบาลอังกฤษสมัยนั้นเขาไม่รับรู้เลยหรือครับ นี่คือที่ผมเชื่อว่า ทำไมม.ลอนดอนจึงเก็บจดหมายทั้งหมดไว้อบ่างดี ทำไมอังกฤษเขาเชื่อจดหมายเหตุเมืองถลาง เรื่องที่มาของอาวุธ เขาสอบย้อนหลังไปได้หลายร้อยปี เพราะเป็นของสำคัญ ไม่ต้องดูอื่นไกล แค่มีดกับส้อมเงินด้ามงาสำหรับกินอาหาร เขาสามารถสืบย้อนกลับไปได้หลายร้อยปี รู้ด้วยว่าผลิตที่ไหน ช่วงปีอะไร ใครทำ แก้ไขข้อความเมื่อ 13 มีนาคม เวลา 22:22 น. ตอบกลับ 0 2 สมาชิกหมายเลข 1736054 13 มีนาคม เวลา 20:04 น. สมาชิกหมายเลข 3058174 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 2870955 ขำกลิ้ง ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากๆ ... สุดยอดๆ
เยี่ยม เยี่ยม ดอกไม้ ตอบกลับ 0 0 สมาชิกหมายเลข 2996535 13 มีนาคม เวลา 20:41 น. ความคิดเห็นที่ 7 ผมอยู่ภูเก็ตมา 10 เพิ่งเคยได้ยินแนวคิดที่ว่าท้าวเทพเป็นอิสลาม...ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนคืดแบบนั้น ตอบกลับ 0 1 TARASIN 13 มีนาคม เวลา 23:39 น. Varalbastra ซึ้ง ความคิดเห็นที่ 8 ผมว่าก็ยังไม่ชัวร์นะ เพราะว่ามุสลิมสมัยก่อนอาจจะไม่ได้เคร่งครัด แบบมุสลิมตะวันออกกลางก็ได้ หลักฐานมีแค่นี้ผมว่ายังไม่ฟันธงว่าใช่หรือไม่ใช่ ตอบกลับ 0 0 Nexus 14 มีนาคม เวลา 00:01 น. ∨ดู 1 ความเห็นย่อย ∨ ความคิดเห็นที่ 9 ลายมือสวยเป็นระเบียบ เชื่อว่าลายมือหญิง ตอบกลับ 0 0 โมต 14 มีนาคม เวลา 00:45 น. ∨ดู 1 ความเห็นย่อย ∨ ความคิดเห็นที่ 10 จากเนื้อหาในจดหมายที่ยกมา จากเนื้อความในจดหมายในส่วน 'โอยพรสี่ประการ' กับ 'บุญ' ทำให้คิดว่าท้าวเทพกระษัตรีเป็นชาวพุทธอย่างที่กล่าวครับ เพราะดูแล้วเป็นคติทางพุทธชัดเจน
แต่ในส่วนของเรื่อง 'กราบเท้า' ที่ยกมา ถ้าจะบอกว่าการทำชิริกไม่มีใครมุสลิมคนใดกล้าฝ่าฝืน ผมยังไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ครับ เพราะมีหลักฐานอยู่ว่ามุสลิมในรัฐมลายูโบราณนั้นหลักฐานอยู่ว่าในหมู่ประชาชนทั่วไปยังไม่ได้เคร่งครัดตามหลักศาสนาอิสลามเท่าในปัจจุบัน ขนาดในรัฐอิสลามอย่างปาตานีโบราณเองก็มีหลักฐานว่ามีการนำความเชื่อดั้งเดิมในท้องถิ่นมาผสมปนเปกับศาสนา มีการกราบไหว้บูชาสิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่อัลลอฮฺ มีการทำไสยศาสตร์เครื่องรางของขลังกันปรากฏจนมาถึงยุคหลังที่ฮัจญีสุหลงเห็นว่าเรื่องนี้เป็นปัญหา และเห็นควรว่ามีการสอนศาสนาที่ถูกต้องตามหลักอิสลามจริง
ปรากฏอยู่ในเอกสารของปาตานีเองอย่าง ฮิกายัต ปาตานี(Hikayat Patani) หรือ พงศาวดารปาตานีครับ ต้นฉบับไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เรียบเรียง แต่สันนิษฐานว่าเรียบเรียงโดยชาวปาตานีเองในราวศตวรรษที่ ๑๘ ความว่า
"สุลต่านมุดาฟาร์ชาฮ์ จึงรับสั่งบันดาฮาราให้จัดสร้างมัสยิดตามคำแนะนำของเช็คซอฟียุดดิน และพระองค์ก็ได้ทรงขนานนามเช็คซอฟียุดดินเป็นฟากิฮฺ(ผู้รู้ศาสนาอิสลาม) ต่อจากนั้นศาสนาอิสลามก็เผยแผ่ออกไปจนถึงเมืองโกตามหาลิฆัย ต่างพากันเข้านับถือศาสนาอิสลาม ตามคำสอนของท่านนะบีมูฮัมหมัด (ช็อลลอลลอฮฺ ฮูอาลัยฮิวะสัลลาม = ของความสันติสุขจงประสบแด่ท่าน) อย่างไรก็ดีการปฏิบัติอันเป็นพฤติการณ์ของชาวกาฟีรฺนอกศาสนา เช่น กราบไหว้ต้นไม้ หิน และภูติผีนั้น ชาวบ้านก็ยังหาได้งดเว้นไม่ คงงดเว้นแต่เฉพาะการกินเหล้าและการกินหมูเท่านั้นที่งดเว้นจริงๆ" แก้ไขข้อความเมื่อ 14 มีนาคม เวลา 08:47 น. ตอบกลับ 0 3 ศรีสรรเพชญ์ 14 มีนาคม เวลา 08:04 น. สมาชิกหมายเลข 3205841 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1736054 ถูกใจ, Varalbastra ถูกใจ ความคิดเห็นที่ 11 กราบไหว้ต้นไม้และก้อนหิน นะครับ ไม่ใช่บุคคล แต่ในจดหมายของคุณหญิงจัน ชัดเจนครับ คือกราบบุคคล กราบเท้าตามธรรมเนียมไทยหรืออิสลามเรียก แบบสูยุด เป็นมุชริกนะครับ เรื่องความเชื่อก็มีอยู่บ้าง สมัยขึ้นระวางพระเศวตสุรคชาธาร 9ถึง11 มีนา2511 ที่ยะลา มีมุสลิมหลายท่านเอาน้ำมนต์พระเศวตกลับไปบ้านเลยครับ ไว้รักษาโรค (บทความจากหนังสือสกุลไทยรายสัปดาห์ ปีที่14 ฉบับ701 วันที่1เมษา 2511) แต่เขาก็ไม่เคยกราบบุคคลไหนๆนะครับ
การค้นคว้าข้อมูลทางประวัติศาสตร์ก็ต้องดูจากหลักฐานที่เชื่อได้ และหลงเหลืออยู่ ถ้าสามารถสอบข้อมูลย้อนหลังก็จะดีที่สุด เช่นวันเวลาเรื่องสงครามพม่าในจดหมายศภว15 สามารถเทียบกับทางกรุงเทพ เพราะเป็นเรื่องสำคัญ การสันนิษฐานหรือพงศาวดาร มีข้อด้อยเยอะครับ อย่างพงศาวดารในไทยทุกฉบับจะเป็นเรื่องเล่าที่ฟังมา และทั้งหมดคนเล่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งเหตุการณ์ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว โดยมากเกิดสมัยปู่สมัยทวด แต่หลานเป็นคนเล่า มาแนวนี้หมด เทียบกับจดหมายของคุณหญิงจันซึ่งเขียนสดๆร้อน เช่นสงครามพม่าใกล้จะเกิด(ศภว15) ความน่าเชื่อถือผิดกันเยอะครับเมื่อเทียบกับอย่างอื่นๆ
คนโบราณเขาตรงไปตรงมา ในจดหมายมีหลายฉบับที่เรียก แขกตรงๆ เช่น แขกมารกัม(ศภว37) แขกเสกหะลี(ศภว39) แขกไสบู(ศภว41) หรือแขกคูลามารกับแขกคูลาไสยบูเป็นนายเรือกับลูกเรือไทยมีชื่อสิบคน(ศภว24) คำว่าแขกคูลา หรือคูลา ปัจจุบันคำนี้ยังใช้อยู่ในเมืองภูเก็ตแต่เพี้ยนไปเป็น กาลา ถ้าเป็นจีนก็เรียกตรงๆ เช่น จีนเสมียนอิ่ว(ศภว17) ไทยก็เรียกตรงเช่น นายเพชร นายทองแก้ว นายทิดพรม(ศภว 23) แก้ไขข้อความเมื่อ 14 มีนาคม เวลา 09:10 น. ตอบกลับ 2 3 สมาชิกหมายเลข 1736054 14 มีนาคม เวลา 09:03 น. สมาชิกหมายเลข 3058174 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 2044135 ถูกใจ, ศรีสรรเพชญ์ ถูกใจ ความคิดเห็นที่ 12 ถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมรับอีกว่าท่านเป็นพุทธ พยายามจะแถป้ายสีดึงท่านลงมาต่ำให้ได้ อมยิ้ม20 ตอบกลับ 0 0 สมาชิกหมายเลข 3058174 25 มิถุนายน เวลา 12:27 น. ความคิดเห็นที่ 13 เพื่อนผมก็เคยบอกว่าเป็นมุสลิม แทนที่จะให้หลักฐานตัดสินดันพยายามดึงคนในประวัติศาสตร์เข้าพวกให้ได้
1. คือตั้งค่ายรบพม่าก็ในบริเวณวัดพระนางสร้าง ทั้งไม่ปรากฏประวัติของสุเหร่าที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์เมืองถลางเลย ถ้าเป็นมุสลิมจริงก็ต้องมีเรื่องราวเกี่ยวพันศาสนาบ้าง
----------------------------------------------------------- 2. และคนไทในสมัยก่อน แม้จะอยู่กับคนต่างศาสนาได้แบบเอื้ออาทรต่อกัน เป็นเพื่อนสนิทกันก็มีเยอะ แต่ก็มีการแยกศาสนากันชัดเจนในระดับหนึ่ง และแต่ละเชื้อชาติมีวัฒนธรรมการกินอยู่ต่างกันไป ก็ตั้งบ้านเรือนแยกกลุ่มออกไป
นิยมเรียกคนตามเชื้อชาติ ศาสนา อาชีพ ที่อยู่ ร่างกาย อะไรที่ใช้ระบุตัวตนได้ก็เอามาร่วมในชื่อเรียกด้วย เป็นเรื่องปกติ แล้วแต่จะเด่นด้านไหน แขก จีน ลาว ถูกเรียกตรงๆ ถ้ามีเชื่อสายพม่าก็เรียก ไอ้ม่า แขกขายผ้าปาเต๊ะ แขกปีนัง บังหมัดโรตี คนมุสลิมก็เรียก จ๊ะ สู มะ ว่ากันไปตามความนับถือ
ที่ต้องใช้คำนำหน้าชื่อช่วยระบุตัวตนลักษณะไปกว่าครึ่ง เพราะยุคก่อนตั้งชื่อง่ายๆ ชื่อซ้ำกันเยอะ แถมไม่มีนามสกุล แม้แต่เรียกคนไทยด้วยกันก็มีสร้อยหรือมีคำนำ ดังนั้น เรียกไอ้บังใบ้ อะไรนี่ปกติมากๆ บ่าวทีบอด (หนุ่ม ชื่อ ที ตาบอด) สาวแดงหลอง (เด็กสาว ชื่อแดง ลูก คนชื่อ หลอง) สันหัวพาน (ชื่อสัน บ้านอยู่ หัวสะพาน) สนิทหน่อยเรียกชื่อพ่อกันก็ปกติ เรียกกันตรงๆเลย ไม่โกรธกันด้วย ดังนั้น คำเรียกชื่อกันตามศาสนานี่เรื่องธรรมดามากๆ
เมื่อคำนึงถึงประเพณีการเรียกชื่อกันของคนใต้สมัยโบราณ ที่เป็นเช่นนี้ เทียบกันแล้วยังไม่ปรากฏหลักฐานมีการเรียก ท้าวเสพสตรีท้าวศรีสุนทร หรือญาติพี่น้องท่าน ด้วยคำนำหน้าหรือสรรพนาม ที่มุสลิมในภาคใต้หรือปีนังนิยมใช้กัน (สมัยก่อนคน ถลาง-ภูเก็ต-ตะกั่วป่า-ตะกั่วทุ่ง มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับปีนังมากกว่า กทม. เสียอีก) ซึ่งถ้าทั้งสองท่านเป็นมุสลิมจริงๆ ต้องถือว่าผิดปกติมากชนิดแหกวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นเลยนะครับ
------------------------------------------------- 3. เรื่องคุณหญิงจัน และคุณหญิงมุก เป็นมุสลิมนี้เพิ่งปรากฏมุสลิมในภูเก็ตพูดกันเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมานี่เอง ก่อนนั้น แม้กระทั่งตอนผมเด็กๆ คือ 40 ปีที่แล้วขอบอกว่าเงียบสนิทเลยครับ
เพื่อนที่สืบสายตรงมาจาก ตระกูลนี้มากมายก็เป็นพุทธกันมาทั้งสายตระกูล มียกเว้นแค่บางคนที่เปลี่ยนไปเข้าอิสลาม ถ้าเป็นมุสลิม จริงผู้สืบสายตระกูลต่อจากท่านควรเป็นมุสลิมเสียส่วนใหญ่ ไม่ใช่เป็นพุทธเสียส่วนใหญ่แทบจะ 100% อย่างที่เป็นอยู่
------------------------------------------------- 4. ผมเป็นคนในพื้นที่ มีเชื้อ ไทท้องถิ่นและจีนฮกเกี้ยน ย้อนกลับไปตั้งแต่เด็ก คือประมาณ 40 ปีก่อน ก็ได้ยินเรื่องเมืองถลาง (เมืองหลาง) จากบทกลอนโนราโรงครู (บทกลอน สายพิมล สนธิยา)
*สายพิมล - สนธิยา เป็นกลอนโนราในตระกูลที่สืบเนื่องมาจากเจ้าเมืองถลาง เพราะเวลาทำพิธีโนราโรงครูในแถบนี้ จะต้องใช้บทกลอนนี้เเชิญครู ด้วยนับถือกันว่าเป็นครูโนราสายหลัก ในพื้นที่ภูเก็ตและพังงา
ปกติ มุสลิมที่ไหนฝึกโนรา(จริงจัง)บ้างครับ.... ยืนยันได้ว่าไม่มีนะครับ (เว้นแต่กรณีป่วยใข้แล้วมาพึ่งพาครูหมอโนรา รักษาให้จนหาย ต้องฝึกโนราแก้บน คือเรียนแม่บท แค่ 12 ท่า เทพประนม พรหมสี่หน้า สอดสร้อยมาลา ผาหลา... และรำเพียงในงานลงโรงครู เพื่อแก้ติดเหมรย (บนบาน) ทั้งนี้สอนกันโดยไม่ต้องตั้งนะโม อย่างพุทธ ท่าเทพประนมก็ถือเพียงเป็นท่ารำ ไม่ถือเป็นท่าไหว้ เรื่องเครื่องดนตรีคนพุทธตีกันเองครับ เพราะการฝึกโนรา จริงจังอย่างน้อยต้องมีการเล่นดนตรี ขัดกับข้อห้ามของมุสลิมไปแล้ว บรรพบุรุษผมปฏิบัติแบบนี้กรณีรักษาคนใข้มุสลิมครับ
ซึ่งคำกลอนนี้อ้างถึงเชิญครูหมอโนรา (ผีบรรพบุรุษ) ซึ่งเคยอยู่ในพื้นที่เมืองถลาง (บ้านเคียน) มายังพื้นที่ตั้งโรงโนราในจังหวัดพังงา ไล่มาตั้งแต่ บ้านเคียน คอเอน ไม้ขาว หล่อยูง กะไหล กะโสม... มาลงทรงเพื่อทำพิธีต่างๆ เช่น ไหว้ครูประจำปี รักษาคนไข้ประเภทถูกผี แก้คุณไสย์ .. ต่างๆนานา ตามแต่ลูกหลานจะถาม และผู้ชายที่ฝึกสืบสอดโนราของแต่ละตระกูล ไม่ว่าสืบทอดจากถลางหรือจังหวัดไหนๆ ต้องบวชพระเมื่ออายุครบเกณฑ์นะครับ
*เคยเห็นตระกูลโนรามุสลิมไหมครับ ไม่มีนะครับ ด้วยวัฒนธรรมที่ตกทอดสู่ลูกหลานกันมาอย่างนี้ ผมมั่นใจว่าตระกูลเจ้าเมืองถลางเป็นไทพุทธครับ แก้ไขข้อความเมื่อ วันศุกร์ เวลา 17:58 น. ตอบกลับ 0 1 สมาชิกหมายเลข 3205841
หมายเหตุ คัดลอกมาจาก http://pantip.com/topic/34905614 . *** ประวัติศาสตร์ ข้อมูลภูเก็ต
|