กลับจากต่างจังหวัดด้วยเหลือเวลาอันน้อยนิด เพราะมาถึงวันที่ ๒๘ มิย. เวลาเที่ยงคืน วันอาทิตย์ (๒๙ มิย.) เพลียจัด นอน ๆ ลุก ๆ ทั้งวัน หาได้ทำอะไรไม่ จนถึงวันจันทร์ (๓๐ มิย.) เข้าไปสะสาง+มอบหมายงานจนถึง ๔ โมงกว่าจึงได้จรลีออกจากที่ทำงานด้วยใจอันว้าวุ่น แวะซื้อน้ำพริกแห้ง+แกงไตปลาและขนมกรุบกรอบไปกินกันเหนียวที่อินเดีย ทุ่มกว่า ๆ ไปสนามบิน ได้ย้ำกับเชนเรื่องที่ตกลงกันไว้ เชนบอกอาจารย์ไปให้สบายใจนะ ทุกอย่างผมจัดการเอง นี่แหละมีลูกศิษย์ดีเป็นศรีแก่ตัว..(ฮิ้ว) ก่อนลงจากรถเตือน อ.ปู่ว่าอย่าลืมกล้องถ่ายรูป แต่เมื่อมาถึงสนามบินก็หอบหิ้วแต่กระเป๋าของตัวเอง เลยไม่ได้ดูคนอื่น จากนั้นไปรอคณะที่ชั้นสองผู้โดยสารขาออก เหลียวมองกล้องถ่ายรูปที่คอ อ.ปู่ ใจหายวาบ ไม่เห็นมี นึกในใจ...ว่าแล้ว..เตือนแล้ว..พยายามติดต่อเชนให้เอากล้องมาคืน......แต่ไม่สามารถติดต่อได้....จนกระทั่งเครื่องออกจากสนามบินภูเก็ตเวลา ๒๐.๔๕ น.....ฉันเลยให้อ.ปู่ติดต่อทางกรุงเทพ ฯ ช่วยซื้อกล้องใหม่ เพราะรู้ว่าหากไม่มีกล้องรับรองงานนี้อ.ปู่เฉาสนิทไปจนสิ้นโปรแกรมแน่นอน เครื่องลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิด้วยเวลา ๑ ชั่วโมง ๑๕ นาที สำหรับฉันราตรีนี้ยังเยาว์นัก เพราะคณะ ฯ นัดพร้อมกันเวลา ๓ นาฬิกาของวันใหม่ ก้มมองนาฬิกาแค่ ๕ ทุ่ม ...จะทำอย่างไรกับชีวิตตัวเองดี...ด้วยว่า....ตัวเองน่าจะสมาธิสั้น (หรือไม่) เพราะอยู่ไม่ค่อยจะติดที่ คณะที่มาด้วยกันเค้าเอนตัวลงนอนที่เก้าอี้ผู้โดยสารชั้น ๔ ประตูที่ ๑๐ W อย่างสบาย ๆ ส่วนฉันหลับไม่ลง ทั้งไฟสว่าง ทั้งหนาวจนสั่น เลยเดินสำรวจสุวรรณภูมิ ขึ้นลง ๆ บันไดเลื่อนจนรู้สึกร้อน จัดการแลกเงินดอลลาร์เพื่อไปแลกเป็นเงินรูปีไว้ใช้จ่ายที่อินเดีย...ขาดทุนนะงานนี้เอาเงินหมื่นไปแลกเงินดอลได้กลับมาแค่เก้าพันกลาง ๆ พร้อมทั้งมีเงินไทยติดตัวไปประมาณ ๒ พันนิด ๆ ประมาณตี ๓ คณะ ฯ มาพร้อมกัน หัวหน้าทัวร์ (แม่ชี) เช็คคน ติดป้ายชื่อ โหลดกระเป๋า ฯลฯ ฉันเห็นคณะ ฯ ที่มานุ่งขาวห่มขาวกันทั้งนั้น ยกเว้นพวกเราที่ยังแต่งหลากสีแต่ไม่ฉูดฉาด กว่าจะเสร็จเรื่องเสร็จราวปาไปตี ๔ กว่า ๆ จึงได้ขึ้นเครื่องของประเทศภูฎาน สายการบิน Drukair ซึ่งออกจากสนามบินสุวรรณภูมิตี ๕ กว่า ๆ บ๊ายบายไทยแลนด์…. เหมือนทุกครั้งที่ขึ้นเครื่องบินออกนอกประเทศไทย ฉันรู้สึกไม่มีความสุข กลัวอะไรไม่รู้ร้อยแปดพันประการ คิดถึงแม่ขึ้นมาจับใจ แอบงีบหลับไปนิดหนึ่งเพราะไม่ได้นอนทั้งคืน ตาเริ่มแสบเหมือนดั่งมีเม็ดทรายอยู่ด้านใน และแล้วก็ตื่นมาเมื่อเวลา ๗ โมงกว่า ๆ ของประเทศไทย คาดว่าเครื่องกำลังจะลงเพราะก้มมองทางปีกเครื่องบินเริ่มเห็นบ้านเรือน ทุ่งนา และถนน จากนั้นไม่นานเครื่องค่อย ๆ ร่อนลงอย่างช้า ๆ และจอดสนิทด้วยเวลาประมาณ ๑.๔๐ นาที ผู้คนต่างพากันทยอยลงจากเครื่องรวมทั้งตัวฉัน ที่เมื่อหลุดมาเหยียบรันเวย์สนามบิน ก็ให้ดีใจอย่างสุดแสนเพราะสามารถรอดปลอดภัยมาถึงสนามบินกัลกัตตากับเค้าจนได้ ผ่านสนามบินเข้ามาด้านใน มองหาห้องน้ำป็นอันดับแรก แต่ด้วยข้อมูลเรื่องห้องน้ำของอินเดีย ทำให้ฉันผวาเล็ก ๆ เพราะกลัวเจอกับสิ่งอันไม่พึงปารถนา แต่เมื่อเข้าไปจริง ๆ ก็ไม่เป็นเหมือนที่คาดไว้ รู้สึกผ่อนคลายผ่านไปอีกหนึ่งครั้ง แล้วมาต่อที่พิธีการตรวจคนเข้าเมือง มีคณะเราเป็นคณะแรกที่มาถึง อ้อ ลืมบอกไปเวลาของอินเดียช้ากว่าเมืองไทย ๑.๓๐ นาที ฉันเลยต้องหมุนนาฬิกาตามเวลาในอินเดียเพื่อป้องกันการสับสนในเวลานัดหมาย จากที่เรามาถึงสนามบินเป็นคณะแรก ทำให้แขกอินเดียยังไม่ตื่น...มาทำงาน เอาละซี...เริ่มเจอสิ่งที่ได้อ่านมาว่าเมืองอินเดียอะไร ๆ ก็เกิดได้เสมอ ฉันเลยเดินเตร็ดเตร่ขณะที่รอกระเป๋าเพื่อสำรวจพื้นที่ สนามบินโกลกัตตาไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนสุวรรณภูมิ ดูเก่า ๆ ทึม ๆ ทั้ง ๆ ที่ ในอดีตกัลกัตตาคือเมืองหลวงของประเทศอินเดีย แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อจากเมืองกัลกัตตา เป็นโกลกัตตาไปเรียบร้อยแล้วรอกระเป๋านานมาก อะไร ๆ ดูเชื่องช้าไปหมด เจ้าหน้าที่เค้าไม่ได้เร่งรีบ กว่ากระเป๋าแต่ละใบจะผ่านเครื่องโหลดออกมา ฉันแทบหลับคารถเข็น ประกอบกับของคณะเรามีของมากมายเหลือเกิน ทั้งข้าวสาร ข้าวเหนียว ปลาร้า อาหารแห้ง เครื่องกระป๋อง ที่นำมาจากเมืองไทย เพื่อใช้ประกอบอาหารให้กับคณะที่เดินทางตลอดโปรแกรม รวมทั้งนำไปถวายพระสงฆ์ที่จำวัดไทยในประเทศอินเดียเมื่อได้กระเป๋าของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ฉันได้ช่วยแม่ชีเข็นรถที่หนักอึ้งเพราะบรรทุกข้าวของ เพื่อมารอรถทัวร์ที่ด้านนอกสนามบิน ในขณะที่ฉันเดินเข็นสัมภาระมาอย่างไม่เร่งรีบ แม่ชีบุญเรือง (หัวหน้าคณะ) ก็บอกฉันให้เข็นไปไว้ด้านนอก ด้วยมีพระอาจารย์มารอรับ เดินทางมาตั้งแต่เมื่อคืนจากพุทธคยา ฉันเดินต่อไปเรื่อย ๆ สนามบินค่อนข้างเงียบเหงา เมื่อมองไปด้านหน้า ฉันเห็นจีวรสีเหลืองปลิวไสวรอรับอยู่จริง ๆ พร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเมตตาจิต ฉันย่อตัวลงนมัสการพระอาจารย์ ท่านสาธุตอบ นี่คือพระสงฆ์ไทยรูปแรกและเป็นคนไทยคนแรกที่ฉันได้พบในต่างแดน.... หลุดมาด้านนอกสนามบิน พระพิรุณโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง เป็นฝนแรกที่ต้อนรับคณะของเราในวันนี้ ด้านนอกยังคงเงียบเหงา เพราะเช้ามาก ฉันมองผู้คนที่สนามบินกัลกัตตาอย่างคนแปลกหน้า พวกเค้าก็มองฉันตอบด้วยความรู้สึกเดียวกัน มีผู้ชายนำแก้วน้ำเล็ก ๆ พร้อมชานมมาเสนอให้ดื่ม แม่ชีบอกว่าอย่าดื่มนะ ฉันส่ายหน้าปฏิเสธความหวังดีเพราะได้อ่านหนังสือมาบ้างเรื่องการรับของกินหรือเครื่องดื่มจากคนแปลกหน้าในอินเดียแถวสนามบินหรือสถานีรถไฟ ที่อาจใส่ยานอนหลับมาในของกินนั้น ๆ เมื่อเราหลับเค้าจะได้หยิบฉวยทรัพย์สินเงินทองของเราไปนั่นเอง เห็นคนเคี้ยวหมากถ่มน้ำลายปริ๊ดๆ อยู่ข้าง ๆ เป็นอย่างนี้ตลอดเวลา สิ่งที่ฉันเห็นอีกอย่างคือรถแท๊กซี่ในอินเดีย เรียกได้ว่า โกโรโกโสเอามาก ๆ จอดเรียงรายรอรับส่งผู้คนอยู่เป็นทิวแถวด้วยสีเหลืองละลานตาไปทั้งแถบ เราไม่ได้เที่ยวในเมืองกัลกัตตา (เสียดายสุด ๆ ) เพียงแวะมาลงเครื่อง และจะไปต่อที่วัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร ด้วยระยะทาง ๓๐๐ กว่ากิโลเมตร แต่ใช้เวลาในการเดินทางกว่า ๙ ชั่วโมง ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายต้อนรับเราเนื่องด้วยเป็นวสันตฤดูของอินเดีย, รถราที่วิ่งกันขวักไขว่, ถนนที่สามารถทำให้กระดอนจากที่นั่งได้ตลอดเวลาและฝูงสรรพสัตว์โดยเฉพาะวัวที่เป็นใหญ่ครอบครองถนน การเดินทางครั้งนี้มีพระอาจารย์มหาจูม (จูม เป็นภาษาอิสาน แปลว่า - ตูม) พระธรรมฑูต วัดไทยพุทธคยา ที่มาศึกษาต่อระดับมหาบัณฑิต สาขาพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมคธ เป็นพระวิทยากร ให้ความรู้กับคณะของเราตลอดโปรแกรมการเดินทาง คงเป็นโชคดีของฉันแท้ ๆ ที่มีวาสนาได้พระวิทยากรที่รอบรู้เรื่องอินเดีย.....มาเป็นมัคคุเทศก์พิเศษ...และทำให้ฉันรู้ซึ้งว่าถ้ามาแดนพุทธภูมิในอินเดียการมีพระนำทาง..ชีวิตจะมีแต่ความผาสุข...สงบ...และร่มเย็น...
ตอนต่อไป ของพิมพิกา ตอนก่อนหน้านี้ |