การเดินทางไปยังลุมพินีวัน ประเทศเนปาล ต้องผ่านเมืองสำคัญอย่างเมืองโครักขปูณ์ ฉันขำ ๆ ที่แม่ชีนันทิยาบอกว่า เมืองนี้ให้จำง่าย ๆ ว่าโคมันรักกับปูก็แล้วกัน ถ้าเรียกยากนัก พระอาจารย์จูมบรรยายถึงเมืองนี้ว่า เมืองโครักขปูร์ ตั้งชื่อตามนามของโครักขนาถ ๑ ใน ๑๐ แห่งวิษณุอวตาร เป็นเมืองชายแดนของรัฐอุตตรประเทศ ที่มีอาณาเขตติดกับประเทศเนปาลมากกว่าที่อื่น ๆ เคยเป็นที่ประกอบพิธีมอบพระบรมสารีริกธาตุให้ผู้แทนพระองค์สมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่ขุดพบจากปิปวาร์ เมืองกบิลพัสดุ์ใหม่ของอินเดีย ปัจจุบันประดิษฐานไว้ที่เจดีย์ภูเขาทอง วัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร เมืองกบิลพัสดุ์ใหม่ ฉันหลับบนรถหลายรอบเพราะรู้สึกเพลียที่ต้องตื่นเช้าติด ๆ กันทุกวัน และก็มีอันต้องตื่นจากห้วงนิทรารมณ์อีกครั้ง จากเสียงปลุกของพระอาจารย์จูมที่เตือนผ่านเครื่องขยายเสียงมาว่าให้มองสองข้างทาง จะเห็นความจอแจของชาวบ้านร้านตลาด และรถราที่วิ่งกันขวักไขว่ แสดงว่าเริ่มเข้าสู่เขตเมืองโครักขปูรณ์แล้ว รถเราต้องหยุดเพื่อให้ขบวนรถไฟผ่าน รถไฟที่ประเทศอินเดียขบวนยาวมาก แถมรางรถไฟก็กว้างกว่าประเทศไทยเกือบเท่าตัว สำหรับรถไฟในอินเดียจะเป็นที่นิยมในการเดินทางเพราะสะดวกและสมราคา และสิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่างหนึ่งของอินเดียคือรถเมล์ประจำทางซึ่งทุกอณูของพื้นที่รถแทบไม่มีช่องว่างให้เห็น โดยเฉพาะบนหลังคารถดารดาษไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า”คน” หากเป็นในเมืองไทยคงถูกจราจรเรียกลงมาเขียนใบสั่งเป็นแน่แท้ แต่ที่อินเดียเหตุการณ์ลักษณะนี้ถือเป็นเรื่องสามัญธรรมดา ฉันเข้าใจนะว่าประชากรมากมายปานนั้น สิ่งอำนวยความสะดวกที่รัฐจะพึงให้บริการคงเกิดไม่ทันจำนวนประชากรดังที่เห็นคณะวิทยากรยังทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็งเหมือนเดิม เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมเพราะทำให้เราได้รับสาระในสิ่งที่ไม่เคยรู้ วันนี้มีวิทยากรพิเศษ คือ อ.ปู่ มาให้ทัศนะเรื่องประเทศอินเดียในมุมมองซึ่งแตกต่างไปจากพระอาจารย์ทั้งสองท่าน ทำให้สีสันบนรถเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ส่วนอาหารเที่ยงเราลงไปกินพร้อมกันที่สนามหญ้า ณ เมืองกบิลพัสด์ใหม่ ใกล้ชายแดนประเทศเนปาล ช่วงบ่ายรถวิ่งผ่านดงสาละ น่าจะเรียกว่า วนอุทยานสาละ (เรียกเอง) ซึ่งเป็นต้นไม้ในพุทธประวัติที่รัฐบาลได้ปลูกไว้ทั้งสองข้างฝั่งถนน เป็นทิวแถวสวยงาม ร่มรื่นมาก มองไปคล้าย ๆ เส้นทางแถบจังหวัดแพร่ ที่มีพวกไม้สักและไม้ยางเรียงรายอยู่สองฝากฝั่ง ก่อนเข้าสู่ประเทศเนปาล พระอาจารย์พาพวกเราแวะที่ “พุทธวิหาร สาลวโรทยาน ๙๖๐” ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้แสวงบุญได้หยุดแวะพักก่อนข้ามชายแดนประเทศอินเดียสู่ประเทศเนปาล คณะที่มาด้วยกันตรงลิ่วไปถามหา “สุขาอยู่หนใด” ทันทีที่ลงรถ เมื่อไปเยือนสุขาวดีของที่นี่แล้ว ขอบอกว่าหลาย ๆ ที่ในประเทศไทยชิดซ้าย และชิดขวาไปเลย เพราะสะอาดสะอ้าน สวยงาม ร่มรื่น แทบจะนอนได้ว่างั้นเถอะ ขอยกนิ้วให้สำหรับสถานที่ปลดทุกข์ที่เป็นสวรรค์บนดินอย่างเห็นชัดที่สุดของคนที่มาอินเดีย แล้วได้เจอสุขาที่หะรูหะราขนาดนี้ พุทธวิหาร สาลวโรทยาน ๙๖๐ ชายแดนอินเดีย-เนปาล พักดื่มน้ำปานะกันเรียบร้อย ก็เดินทางต่อไปที่ชายแดนประเทศเนปาล พระอาจารย์จูมบรรยายซะจนเกือบเลยเส้นทางไปลุมพินีวัน (ขอนมัสการถามพระอาจารย์จูม ณ บรรทัดนี้ว่าเหนื่อยบ้างไหมคะ?) จนมาสะดุดตาด้วยรูปปั้นของพระพุทธเจ้าที่ประดิษฐานอยู่ตรงทางแยกใหญ่ ๆ หมายความว่าถ้าเจอรูปปั้นลักษณะนี้คือใช่เส้นทางที่จะไปลุมพินีวันเป็นแน่แท้ เมื่อรถไปถึงด่านโสเนาลี (Sonauli) มาโนชจัดการเรื่องการเดินทางเข้าประเทศเนปาลของคณะเรียบร้อยเราก็ก้าวผ่านรอยต่อระหว่างประเทศอินเดียสู่ประเทศเนปาลตามเส้นทางสหประชาชาติ (UN) ทันที รถจอดให้ลงซื้อของกินตรงตลาดข้างทาง ฉันลงจากรถเพราะรู้สึกหิวเล็ก ๆ ด้วยว่าตอนเที่ยงกินข้าวกับไข่เจียวไปไม่มาก เดินหาของกินเล่น เห็นเค้าผัดเส้นหมี่เหมือนถังแตกบ้านเรา อยากกินใจจะขาดรอน ๆ แต่ทว่า..ความรู้สึกเหมือนตอนกินข้าวโพดปิ้งมาเยือนอีกแล้ว.. เลยตัดใจสูดแต่กลิ่นแต่ไม่ยอมลิ้มลองเส้น เดินต่อไปเจอร้านขายขนม หน้าตาดูดีเหมือนกะหรี่ปั๊บ สำรวจแล้วว่าน่าจะกินได้เลยสั่งมา ๓ อัน มีไส้ถั่วเหลือง และไส้อะไรอีกสองอันจำไม่ได้ ตอนยื่นเงินรูปีให้คนขายเกิดความสับสนอลหม่านพอประมาณ เพราะคนขายจะรับเป็นเงินเนปาล โถ พ่อคุณ ฉันจะเอามาจากไหน? ที่พกมาก็มีแต่หน้าท่านมหาตมะคานธีทั้งนั้น แถมค่าเงินเนปาลกับเงินอินเดียก็ดันไม่เท่ากันซะอีก เห้อ ส่งภาษาปากจนเมื่อยมือ ก็ปรากฏว่ายังไม่เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย เดือดร้อนถึงพระอาจารย์จูม ที่คงเห็นพวกเราล้งเล้งกับแขกอยู่เป็นนาน ท่านเลยต้องมาทำหน้าที่ฑูตสันถวไมตรีเจรจาจนได้ความว่า ราคาเท่าไหร่ และต้องทอนเงินเท่าไหร่ ด้วยความงุนงงเล็ก ๆ ฉันบอกพระอาจารย์จูมว่าให้เค้าไปเถอะไม่เอาแล้วเงินทอน พระอาจารย์บอกว่าไม่ได้..ต้องเอา เอาก็เอา ๒ รูปีก็มีค่านะคะพระอาจารย์ อิอิ ตลาดเส้นทางไปลุมพินีวัน ได้ขนมมาแล้วยังไม่พอแถมหิ้วลูกทับทิมมาด้วย ลูกทับทิมทั้งที่อินเดียและเนปาลสีสันสวยงาม แกะเนื้อในดูแดงแบบสีทับทิมจริง ๆ รสชาดก็ดี หวานปนเปรี้ยวถูกใจใช่เลย เห็นหลาย ๆ คนก็สอยมาคนละถุงสองถุงไม่ใช่แต่ฉันคนเดียว เมื่อขึ้นมาบนรถก็แบ่งกันกินแบ่งกันทานถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นภาพที่น่ารักประทับใจไม่รู้เลือน ระหว่างการเดินทาง เกิดอัศจรรย์เพราะฝนฟ้าเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้แดดยังจัดจ้าอยู่มาก อะไรจะเกิดก็เกิดไม่มีใครเป็นกังวลกับสภาพดินฟ้าอากาศ เมื่อฝนซา ฟ้าเริ่มสว่าง จึงหันมองขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก เห็นรุ้งกินน้ำ สีสันสวยงามตา จะเจ็ดสีหรือไม่ก็ไม่ได้นับ ยาวพาดขนานไปกับเส้นขอบฟ้าสุดลูกตา พวกเราได้มองกันอย่างเต็มอิ่มและเต็มตา ฟ้าหลังฝนของประเทศเนปาลยามนี้ช่างสดใสเหลือเกิน มาถึงลุมพินีวัน เมื่อเวลา ๑๖ นาฬิกาพอดิบพอดี เวลาที่เนปาลจะเร็วกว่าอินเดีย ๑๕ นาที และช้ากว่าประเทศไทย ๑.๑๕ นาที แต่ฉันไม่หมุนนาฬิกาตามเวลาที่นี่แล้วเพราะว่าอยู่แค่คืนเดียว ตอนแรกคณะจะเดินเท้าเข้าไปในเขตโบราณสถาน แต่ด้วยฝนเป็นเหตุเพราะเริ่มลงเม็ดมาอีกแล้ว เลยต้องเปลี่ยนใจเป็นนั่งรถจักรยานสองล้อปั่น ทั้งที่ไม่ค่อยมั่นใจว่ารถจะพังก่อนจะถึงประตูรั้วโบราณสถานหรือไม่ สนนราคาค่ารถคนละ ๑๐ รูปี ฝนที่เทลงมาอย่างไม่ปราณีปราศรัย ทำให้ฉันต้องคว้าเสื้อฝนมาสวมใส่ แต่ไม่ทันการณ์ เพราะความชะล่าใจที่คิดว่าเป้ที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาจากเมืองไทย และเป็นผ้าร่มคงกันฝนได้ดีเท่าเสื้อฝน แต่...อนิจจาเมื่อมาถึงเขตโบราณลุมพินีวัน แค่ตัวเปียก เสื้อเปียก หัวเปียกไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เมื่อจ่ายค่ากล้องถ่ายรูปเรียบร้อยแล้ว ก็รีบตรงลิ่วตามคณะเข้าไปในเขตโบราณสถานวิหารมายาเทวีอันเป็นที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ศาสดามหามหาบุรุษเอกของโลก คว้ากล้องออกมาเพื่อจะบันทึกภาพประทับใจ....แทบเป็นลมล้มทั้งยืนเพราะกล้องฉ่ำไปด้วยน้ำฝนจนมองอะไรไม่เห็น นอกจากความมืดดำ พยายามทำใจดีสู้เสือว่าเดี๋ยวคงดีขึ้น เดินตามไปดูรอยพระพุทธบาท และต้นไม้ที่พระนางสิริมหามายาเหนี่ยวกิ่งสาละคลอดเจ้าชายสิทธัตถะ คณะได้เดินวนทักษิณาวัตร ฉันค่อย ๆ เลี่ยงมาสำรวจกล้องอีกครั้ง ด้วยความหมดอาลัยตายอยาก เพราะคาดว่ากล้องคงไปแล้วไปลับไม่กลับมาหาฉันอีก รู้สึกเศร้าใจมากมาย กล้อง Sumsung ราคาหนึ่งหมื่นสี่พันบาทใช้ได้ไม่ถึงปีก็ถึงแก่กาลวิบัติเพราะความเลินล่อของผู้เป็นเจ้าของอย่างฉัน ภายในวิหารมายาเทวี/รอยพระพุทธบาท หลีกหนีผู้คนมาทำใจอยู่แถวเสาหินพระเจ้าอโศก ไม่นานฉันก็เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะเริ่มทำใจได้เล็กน้อยถึงปานกลาง ปลงตกว่าเราไม่ควรเศร้าโศกเสียใจกับสิ่งที่ไม่หวนคืน ปรับอารมณ์ให้เป็นสภาวะปัจจุบันมากที่สุด จึงได้เห็นว่าสิ่งสำคัญในบริเวณลุมพินีวัน ได้แก่ เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชที่มีตัวอักษรพราหมีบันทึกไว้ มีผู้เชี่ยวชาญทางภาษาศาสตร์แปลได้ความว่า “พระศากยมุณี ประสูติ ณ ที่นี่...” , วิหารมายาเทวี ที่มีหลุมขุดค้นทางโบราณคดีเปิดให้เห็นชั้นทางวัฒนธรรมระดับต่าง ๆ และสระโบกขรณี ขณะที่เดินสำรวจฝนยังโปรยปรายไม่ขาดสาย ทำให้ทางเดินบางช่วงชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ เสาพระเจ้าอโศก/สระโบกขรณี ฉันเดินเอื่อย ๆ แบบยังรันทดเล็ก ๆ ออกมายังร้านค้าที่อยู่เรียงรายระหว่างทาง ในขณะที่คณะสวดมนต์บำพ็ญจิตบริเวณเสาพระเจ้าอโศก เตร่ๆ ไปเหล่ดูของ เห็นพระพุทธรูปยอดนิยมวางขายอยู่ทุกร้าน นั่นคือ พระพุทธรูปปางเบบี้บุดดา หรือปางประสูติ ที่มีลักษณะเป็นรูปเจ้าชายสิทธัตถะยืนชูนิ้ว คล้ายกำลังทรงประกาศต่อชาวโลกว่า ”เราเป็นผู้เลิศที่สุด เราเป็นผู้เจริญที่สุด และเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดของเราครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ภพต่อไปไม่มีอีก” ภายในร้านค้ายังมีหินสีเกรดไม่สูง ระฆังแบบมหายาน หินทิเบตที่ไม่รู้กี่ตาต่อกี่ตา และอื่น ๆ อีกมากมาย หากเป็นเมื่อสองปีก่อนฉันคงสอยหินทิเบตเหล่านั้นมาไว้ในครอบครองไม่น้อยกว่าสิบเม็ดเป็นแน่แท้ ร้านค้าสองข้างทางเข้าโบราณสถานลุมพินีวัน เสร็จภารกิจจึงขึ้นรถไปยังวัดไทยลุมพินี อันเป็นที่พำนักในค่ำคืนนี้ วัดไทยลุมพินี อยู่ห่างจากโบราณสถานลุมพินีวัน ประมาณ ๘๐๐ เมตร ตั้งอยู่ในเขตตำบลลุมมินเด ปรากฏว่ารถหลงทางอยู่เป็นนานสองนาน เพราะหาทางเข้าวัดไม่เจอ เข้าทางนั้นออกทางนี้จนมืดค่ำ เข้าประตูแรกก็ไม่มีคนเปิดประตู ย้ายมาอีกประตูก็ยังไม่มีคน อาจเป็นด้วยว่าอาณาบริเวณของวัดนานาชาติกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก และยังมีวัดนานาประเทศปลูกสร้างไว้ในบริเวณเดียวกัน เรื่องหาทางเข้าไม่ถูกถึงเป็นเรื่องสามัญไปทันทีเข้าสู่เขตวัดไทยลุมพินี พบกับบรรยากาศอันสงบร่มรื่น สะอาดตา เลยทำให้สะอาดใจไปด้วย ทางวัดจัดอาหารค่ำไว้ให้คนที่ไม่ได้รับศีลแปด มีพวกเราประมาณ ๑๐ คนได้นั่งล้อมวงไพบูลย์กินข้าว ณ “อู่ข้าว โรงทาน” เสร็จแล้วแยกย้ายกันไปนอนที่ ”อู่นอน เรือนพักกาย” ที่หลับที่นอนก็สะดวกสบายค่อนข้างดี ห้องน้ำก็สะอาดจัด เพียงแต่อากาศอบอ้าวไปหน่อย แถมไฟยังดับอยู่เป็นนิจ ฉันเลยลุกไปเปิดบานเกล็ดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเท ในอินเดียสิ่งที่ควรระวังอีกอย่างอีกยุง เพราะตัวค่อนข้างโต แถมยังเป็นยุงเจ้าชู้อีกต่างหาก....คุยกับสมาชิกไปเรื่อยเปื่อย จนค่อย ๆ จมดิ่งลงสู่ห้วงนิทรารมย์ หลับไหลไปยาวนาน... |