สักพักไฟมา เก็บสัมภาระวางไว้หน้าห้อง คนงานของวัดจะทำหน้าที่ขนกระเป๋าให้ พวกเราพักอยู่ชั้น ๒ กระเป๋าแต่ละใบยังกะย้ายบ้านมาอยู่อินเดียก็ไม่ปาน เสร็จภารกิจเรื่องเก็บสัมภาระก็ลงมาเดินกินลมชมวิวด้านล่าง รอกินข้าวเช้า ถือโอกาสสำรวจอาณาบริเวณวัดตามประสาคนอยู่ไม่สุข นึกถามตัวเองเหมือนกันว่า “อยู่นิ่ง ๆ กับเค้าบ้างได้ไหม” คำตอบคือ “ได้ แต่ไม่นาน ฮา ๆ” แวะเวียนไปดูสระน้ำที่มีดอกบัว ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับที่พักดื่มน้ำร้อนเย็นทั้งเมื่อตอนค่ำและเช้านี้ ฉันยืนพินิจพิจารณาดอกบัวในสระค่อนข้างยาวนาน รำพึงรำพันกับตัวเองว่า.......ไม่รู้ทำไมฉันจึงชอบดอกบัวเป็นหนักหนา ชอบจริงชอบจัง ชอบมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ชอบสีสัน ความสวยงาม ชอบความเรียวของกลีบบัวที่ละม้ายคล้ายดัชนีนาง และชอบที่มาของคำว่า บัว หรือบงกช อันแปลว่า “เกิดแต่ตม” ยืนมองดอกบัวแล้วย้อนมามองตัวเอง ก็ให้ภูมิใจเหลือคณาว่า ฉันก็พร้อมจะเป็นเหมือนดอกบัวที่โผล่พ้นจากโคลนตมเพื่อรับแสงสว่างทางปัญญา เฉกเช่นที่ได้เดินทางมาสังเวชนียสถานในครั้งนี้ พระพุทธรูปปางเบบี้บุดดาหรือปางประสูตร เดินเรื่อย ๆ ไปเรียง ๆ ดูโน่น อ่านนี่ จนได้เวลากินข้าวเช้า ทุกคนพร้อมกันไปที่อู่ข้าว โรงทาน กักตุนอาหารให้พอเพียงถึงเที่ยงนี้ เสร็จแล้วได้เวลาทำบุญร่วมกัน ณ อุโบสถวัดไทยลุมพินี ที่วิจิตรสวยงาม ตระการตา สีขาวทั้งหลัง มองดูผ่าน ๆ ตอนค่ำคิดว่าจะเหมือนกับวัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย ของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ พอมาดูตอนเช้าก็เห็นว่าสถาปัตยกรรมแตกต่างกันมาก อุโบสถวัดไทยลุมพินีออกแบบโดยศิลปินแห่งชาติ อาจารย์ภิญโญ สุวรรณคีรี คนจังหวัดสงขลา รู้สึกภูมิใจสุด ๆ ที่คนใต้ได้มาฝากฝีมือเอาไว้ยังแดนพุทธภูมิแห่งนี้ จากลักษณะสถาปัตยกรรมของอุโบสถ อ.ปู่ ให้ทัศนะว่าแปลก เพราะเป็นอุโบสถไม่มีช่อฟ้า มีแต่ใบระกา และตรงตำแหน่งของช่อฟ้าลวดลายคล้ายกับเรือกอและ แถบ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ อุโบสถวัดไทยลุมพินี ประเทศเนปาล เสร็จจากทำบุญ คณะร่ำลาพระสงฆ์วัดไทยลุมพินี ลาอู่ข้าว โรงทาน และอู่นอน เรือนพักกาย เพื่อไปเยือนสังเวชนียสถานที่ต่อไปคือ กุสินารา แดนปรินิพพาน รถวิ่งผ่านเส้นทางเดิมเพื่อออกไปยังด่านโสเนาลี ตอนถึงด่านฯ ฉันลงรถเดินไปหากระเป๋าใส่ผ้าอีกใบเพราะรู้สึกว่ากระเป๋าหนักเพิ่มขึ้นทุกวัน แถมทำท่าจะปริเอาซะอีก เพลิดเพลินเจริญใจกับการเลือกรื้อซื้อหา จนรถผ่านหายเข้าเขตประเทศอินเดีย ทิ้งฉันไว้ที่ตะเข็บชายแดนเนปาล ก็เพราะมาโนชลากฉันให้ไปช่วยซื้อของให้ภรรยา มาโนชนี่น่ารักจริง ๆ ซื้อของให้ภรรยาได้หมดทั้งนอกและใน ฉันยืนยิ้มขำๆ คิดในใจว่า หากรู้สักนิดว่าผู้ชายอินเดียน่ารักปานมาโนช ฉันคงตกลงปลงใจกับหนุ่มจากเมืองบังกลอร์ นามว่า อับดุล ที่บังเอิญมาพบกันในโลกไซเบอร์ ผ่านโปรแกรมสื่อสาร ICQ เมื่อสี่ซ้าห้าปีที่แล้วเป็นแน่แท้ หนุ่มแขกคนนี้เพียรพยายามโทรหาฉันข้ามประเทศอยู่บ่อยครั้งด้วยภาษาอังกฤษที่รัวเร็ว จนฉันฟังไม่ทัน และยังติดตามหาฉันในโปรแกรม ICQ จนฉันแทบไม่เป็นอันทำงาน แต่ฉันกลับไม่สนใจใยดีในไมตรีจิตที่เค้ามอบให้ (รู้สึกเสียดายเล็ก ๆ เมื่อเห็นมาโนชปฏิบัติต่อครอบครัวดีเยี่ยงนี้ ฮา ๆ แค่คิดก็ผิดแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นคงได้รู้ซึ้งถึงที่มาของคำว่าม้าอินเดีย เมียฮินดู) มาโนชซื้อของเสร็จเดินไปติดต่อเรื่องเอกสารการเดินทาง ฉันเร่งรีบเดินไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ จนมาโนชมาถึง เราจึงได้อำลาแดนดินถิ่นประสูติเพื่อเดินทางต่อรถวิ่งมาพักให้เข้าห้องน้ำที่ “พุทธวิหาร สาลวโนทยาน ๙๖๐” อีกครั้งเพื่อเข้าห้องสุขา และพักดื่มน้ำชากาแฟ จากนั้นเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง คือ เมืองกุสินารา โดยต้องผ่านเมืองโครักขปูร์เหมือนครั้งที่มา และแน่นอนอาหารเที่ยงวันนี้บนภัตตาคารเคลื่อนที่ คือรถคันที่เรานั่งมานั่นเอง ไม่เห็นต้องอนาทรร้อนใจอะไร (ยกเว้นไม่อยากตื่นเช้าบ้างในบางวัน) กับวันที่ ๗ ของการเดินทาง เป็นชีวิตที่ปลอดโปร่ง โล่งสบายเอามาก ๆ เพราะไม่ต้องเร่งรีบ ร้อนรน แข่งขัน สารพัดสารพันกับปัญหา อยู่ที่นี่ถึงแม้อากาศข้างนอกจะร้อนปานใด แต่รับรองได้ว่าในใจฉันเยือกเย็น อดแปลกใจไม่ได้ว่าฉันผู้เป็น working woman ในสายตาคนอื่นจะเย็นยะเยือกได้ปานนี้ เพราะที่เมืองไทยแต่ละวันฉันจะหมุนเป็นลูกข่างในที่ทำงาน วุ่นวายกับกองเอกสาร โต้ตอบเอกสาร ผลิตงานวิชาการ รับแขก บรรยาย นำชม ติดต่องานร้อยแปด ทำงานจนบางวันไม่รู้ว่าเลยเวลาเลิกงานไปแล้วกี่ชั่วโมง แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ตัวตนอย่างนั้นหายไป เป็นฉันคนใหม่ที่เยือกเย็น ปล่อยวาง สุขุมคัมภีรภาพ พร้อมจะเปิดใจรับฟังสาระธรรมและความรู้ที่ได้จากคณะวิทยากรอย่างเต็มเปี่ยม เพราะเหตุว่าคนเราเลือกจะสุขได้มิหรือ?รถวิ่งผ่านบ้านเมือง ฉันสังเกตดูบ้านเรือนของคนอินเดีย บ้านที่สร้างด้วยอิฐก็เหมือนสร้างไม่เสร็จ เช่น ชั้นสองจะปล่อยโล่งเอาไว้ เหมือนกันแทบทุกบ้าน มาถึงบางอ้อก็ต่อเมื่อแม่ชีบอกว่าคนอินเดียนิยมสร้างบ้านไว้อย่างนั้น เพื่อประโยชน์ใช้สอย คือใช้ตากผ้า ตากข้าว หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ หนึ่ง และเพื่อให้ผู้เป็นลูกได้มีโอกาสต่อเติมในส่วนที่พ่อแม่วางรากฐานไว้ให้หนึ่ง ก็เป็นอันเข้าใจหลังจากที่หลงอยู่บางงงตั้งนาน ฉันยังสอดส่ายสายตาหาสิ่งหนึ่งต่อ สิ่งนั้นคือ ขี้วัว ที่ชาวอินเดียขยำรวมกับพวกเศษฟางข้าวและเศษหญ้า เอามาแผ่แปะติดไว้ข้างฝาบ้านเพื่อตากแดดให้แห้ง แล้วนำมาทำเชื้อเพลิงในการหุงหาอาหาร ปิ้งจาปาตี หรือใช้ปิ้งข้าวโพดที่ฉันกินที่สาวัตถี เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาคราใดทำเอาฉันรู้สึกผวาข้าวโพดปิ้งทุกครั้ง สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเสน่ห์ของอินเดียที่รู้จักบูรณาการของรอบตัวมาใช้ประโยชน์ได้อย่างน่าอัศจรรย์รถวิ่งผ่านเข้าเขตตำบลกาเซีย หรือเขตเมืองกุสินารา รัฐอุตระประเทศ พระอาจารย์จูมได้เล่าถึงแดนปรินิพพานให้ฟังพอเป็นปฐมภูมิก่อนเข้าสู่สถานที่จริงไว้ว่า เมืองกุสินารา เป็นเมืองที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเลือกที่จะดับขันธปรินิพพานและถวายพระเพลิง แทนที่จะเลือกเมืองสาวัตถี เมืองราชคฤห์ เมืองโกสัมพี เมืองพาราณสี หรือเมืองอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่าเมืองนี้ เพราะเหตุว่ามีความเหมาะสมไม่น้อยกว่า ๓ ประการ ได้แก่ ๑. เป็นการเหมาะสมที่จะประกาศมหาสุทัสสนสูตร ๒. พระสุภัททปัจฉิมสาวก กำลังอยู่ที่กุสินารา ๓.โทณพราหมณ์ซึ่งอยู่ในเมืองกุสินาราจะเป็นผู้แก้ปัญหาการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประชวรอย่างหนักถึงกับอาเจียนเป็นพระโลหิต เพราะเสวยภัตตาหาร เรียกว่า สุกรมัททวะ ที่นายจุนทะได้ถวาย แต่ด้วยความมีขันติ พระองค์ท่านต้องอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างมหันต์ เพื่อเดินทางมายังกุสินาราให้จงได้ วิหารสาลวโนทยาน เมืองกุสินารา รถจอดให้คณะลง ณ ประตูทางเข้าสาลวโนทยาน ผ่านประตูเข้าไป จะเห็นวิหารใหญ่สีขาวโดดเด่นท่ามกลางหมู่หญ้าที่เขียวขจี ดูแล้วให้สบายตายิ่งนัก สวนทางกับผู้คนที่แวะเวียนเข้ามายังสถานที่นี้อย่างไม่ขาดสาย เดินตามขั้นบันไดขึ้นไปยังวิหารหลังใหญ่ที่เห็นเป็นสง่าตั้งแต่ย่างเท้าก้าวเข้ามา เมื่อผ่านเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่มองเห็นคือพระพุทธรูปปางปรินิพพาน บรรทมตะแคงขวา ตั้งพระบาทเหลื่อมพระบาท พระพักตร์อิ่มเอบ นิ่งสงบ พระวรกายห่มคลุมด้วยแพรสีสด เหมือนท่านเพิ่งเสด็จดับขันธปรินิพพานไปไม่นาน มองผู้คนที่มาสักการะเดินวนไปทางเบื้องพระเศียรของพระองค์ และเมื่อเดินมาถึงด้านปลายพระบาทก็จะหยุดทำความเคารพโดยการเอามือมาแตะที่ปลายพระบาทแล้วเอาไปแตะที่อกตัวเอง ซึ่งถือเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุด ความรู้สึกในขณะนั้นมีบางอย่างที่เอ่อทะลักเข้ามาในใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ฉันค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งใกล้เบื้องบาทพระศาสดา เพื่อฟังคำบรรยายจากพระอาจารย์ คณะ ฯ ได้เตรียมผ้าห่มมาเพื่อถวายพระองค์ จึงได้วนผ้ามาให้ทุกคนได้ตั้งจิตอธิษฐาน เมื่อผ้ามาถึงฉัน จำไม่ได้ว่าอธิษฐานสิ่งใด รู้แต่ว่าเมื่อยื่นผ้าไปให้อาจารย์เอี่ยมนภา หยดหนึ่งของน้ำตาก็ร่วงลงมาที่หลังมือ ตามด้วยน้ำตาอุ่น ๆ ที่ไหลลงมาอย่างไม่ขาดเม็ด ในใจตอนนั้นนอกจากจะคิดถึงพระองค์ท่านแล้ว ฉันยังคิดถึงยาย และพ่อ ที่มีอันต้องจากไปอย่างกระทันโดยที่ฉันไม่ทันได้ร่ำลา ภาพที่ฉันไม่อาจกลั้นน้ำตา ภายในวิหารสาลวโนทยาน ด้วยรู้สึกสลดหดหู่ใจ จนไม่อาจต้านทานแรงความรู้สึกได้ ค่อย ๆ ย่องลุกเดินออกจากวิหารที่คณะกำลังสวดมนต์ไปอย่างเงียบ ๆ เจอแขกเจ้าเล่ห์มาขอค่าเก็บรองเท้า ๑๐ รูปี ฉันไม่อยากต่อล้อต่อเถียง จึงบอกให้ไปเก็บจากหัวหน้าทัวร์ เพราะจำได้ว่าคนที่เก็บรองเท้าให้ไม่ใช่คนนี้ เดินลงมาถึงบันไดวิหารขั้นสุดท้าย แขกอีกคนชี้ชวนให้ดูต้นสาละ ฉันขอบคุณและยืนมองต้นสาละอยู่ครู่หนึ่งเพื่อถอนสะอื้น จึงถอยเดินออกมาตามทางเท้า ด้วยรู้สึกว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรง แถมยังต้องต่อสู้กับความรู้สึกที่ยังสลัดไม่หลุดพ้นจากความเศร้าสลด คิดในใจว่า คนเรานั้นเมื่อตายไปจะเหลืออะไรให้คนอื่นได้เสียใจอาลัยหาเหมือนดังพระบรมศาสดา ดังนั้น คราเมื่อยังมีชีวิต ความดีเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องเตือนใจให้คนอื่นรำลึกนึกถึงเรา เหมือนดังบทพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ที่เราเคยท่องกันในสมัยเรียนประถมศึกษาว่า พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลงปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา
ภายในวิหารสาลวโนทยาน สิ่งนี้คือสัจธรรมของชีวิต จากสูงสุดสู่สามัญที่ไม่มีผู้ใดจะหลีกลี้หนีพ้น เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ระหว่างที่สมาชิกสวดมนต์อยู่ ณ วิหารสาลวโนทยาน ฉันถือโอกาสเดินไปเที่ยวตลาดนัดที่อยู่ใกล้ ๆ รู้สึกเหงาเล็ก ๆ ที่ไม่มีกล้อง ชีวิตเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง เดินดูไปเรื่อยเปื่อย ได้กำไลแก้ววงน้อย ๆ มาฝากหลานสาวสิบกว่าวง เสร็จแล้วจึงเดินมารอคณะที่รถ สนทนากับคนขับรถและพ่อค้าที่ขายของสองข้างทางจนคณะกลับมา จึงได้เดินทางต่อไปยังมกุฎพันธนเจดีย์ ซึ่งอยู่ห่างจากมหาปรินิพพานสถูปไปทางทิศตะวันออก ๑ กิโลเมตร สถานที่นี้เป็นที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ มีลักษณะเป็นเนินดินขนาดใหญ่ พระอาจารย์นำคณะสวดมนต์เจริญจิตภาวนาอยู่ในเวลาอันสมควร จึงเดินทางออกจากมกุฎพันธนเจดีย์ไปยังวัดกุสาวดี เส้นทางวันนี้ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ในการไปเยือนจัตุสังเวชนียสถาน อันได้แก่ สถานที่ประสูติ (ลุมพินี) ตรัสรู้ (พุทธคยา) ปฐมเทศนา (สารนาถ) และปรินิพพาน (กุสินารา) ฉันคิดเข้าข้างตัวเองว่าได้พบอินเดียด้วยอายตนะ ๖ เกือบสมบูรณ์แล้ว สมดังที่ได้ใฝ่และฝันมาเนิ่นนาน กลับไปเมืองไทยครานี้ฉันคงแจ่มแจ้งเรื่องอินเดียขึ้นอีกหลายเท่าตัว คงไม่ต้องมานั่งงมโข่งเหมือนเพลงไก่ตาฟาง ของธันวา ราศีธนู อีกแล้ว เพราะมันชัดตาแจ้งใจซะขนาดนี้ มกุฏพันธเจดีย์ ที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ สนธยาราตรีนี้ เราพักที่วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ห้องละ ๖ คน ห้องดีกว่าโรงแรมบางที่ซะอีก สะอาดสะอ้าน ร่มรื่นไปด้วยแมกไม้หลายพันธุ์ เย็นย่ำค่ำคืนรู้สึกคอแห้ง จึงลุกเดินไปหาน้ำดื่มซึ่งอยู่ห่างจากที่พัก แถมไฟฟ้าก็ยังสว่างน้อย เดินไปสักระยะก็เจอ อ.ปู่ที่คงไปหาอะไรดื่มเหมือนกัน จึงมีเพื่อนเดินร่วมทาง ไปเจอพระอาจารย์จูม เลยนั่งสนทนากับท่านอย่างจริงจัง เพราะวันที่ผ่าน ๆ มาท่านต้องทำหน้าที่เป็นพระวิทยากรตลอดเส้นทาง ไม่มีโอกาสได้สนทนากันมากนัก หลากหลายเรื่องราวที่อ.ปู่และฉันได้สนทนากับพระอาจารย์ต่างก็ได้เก็บเกี่ยวสาระแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ก่อนแยกย้ายกลับที่พัก ได้ยินคำที่ อ.ปู่ฝากให้กับพระอาจารย์จูมว่า”ท่านคือแม่ทัพธรรมยาตราในอินเดีย” ได้ยินคำนี้ฉันมีการบ้านให้ได้ไตร่ตรองอีกเป็นแน่แท้ ด้วยคิดว่าท่านพระอาจารย์จูมควรจะมาเป็นแม่ทัพธรรมยาตราให้กับนักศึกษาของฉันบ้าง... มาถึงที่พัก สักครู่ใหญ่วัดก็ปิดไฟ (ยังสงสัยอยู่จนวันนี้ว่าปิดไฟทำไม?) พัดลมจึงไม่สามารถทำงานได้ คนหกคน กับอากาศที่ร้อนอบอ้าว ไม่มีลมเล็ดลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา ทำเอากระวนกระวายได้พอควร ฉันไม่อาจทนร้อนบนที่นอน จึงลุกไปนอนที่พื้นหน้าเตียง สักพักผวาลุกขึ้นเพราะมดกัดจากการแอบกินทับทิมในห้อง (อิอิ) โอย ทรมานสุด ๆ เดินไปเอาผ้าชุบน้ำมาห่มตัว คลายร้อนไปได้บ้าง ข่มตาให้หลับ เพราะคิดว่าคนอื่นก็ร้อนเช่นเดียวกันหรืออาจจะร้อนมากกว่าเป็นร้อยเท่าทวีคูณ เมืองนี้มีทั้งสุขและทุกข์ให้เลือก เราต้องพยายามปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ คิดได้เช่นนั้นก็รู้สึกผ่อนคลาย จนหลับไปตอนไหนไม่มีใครล่วงรู้ได้...
ตอนก่อนหน้านี้ ของพิมพิกา ชุดเที่ยวอินเดีย |