บทอ่านทำนองเสนาะระดับมัธยมศึกษาตอนต้น |
พหุบาทสัตวาภิธาน | | | |
โคลงกระทู้ | | | |
| สัตว์ พวกหนึ่งนี้เชื่อ | | พหุบา ทาเฮย |
มี อเนกสมญา | | | ยอกย้อน |
เท้า เกินยิ่งจัตวา | | | ควรนับ เขานอ |
มาก จวบหมื่นแสนซ้อน | | สุดพ้นประมาณ |
| | | | |
กาพย์ฉบับ ๑๖ | | | |
| สัตว์จำพวกหนึ่งสมญา | พหุบาทา |
มีเท้าอเนกนับหลาย | | | |
| เท้าเกินกว่าสี่โดยหมาย | สองพวกภิปราย |
สัตว์น้ำสัตว์บกบอกตรง | | |
| ตะบองพลำใหญ่ยง | | อยู่ในป่าดง |
ตัวดุจตะขาบไฟแดง | | | |
| มีพิษมีฤทธิ์เรี่ยวแรง | | พบช้างกลางแปลง |
เข้าปล้ำเข้ารัดกัดกิน | | | |
| ตะขาบพรรณหนึ่งอยู่ดิน | พรรณหนึ่งอยู่ถิ่น |
สถานแลบ้านเรือนคน | | |
| ตะขาบไต่ขอนซอนซน | กิ้งกือคลานวน |
แมงมุมขยุ้มหลังคา | | | |
| | | | |
| | | | |
| | | | |
พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) | |
บทละครรำ เรื่องพระร่วง | | |
สี่บท | | | | |
| เมื่อนั้น | | | พระร่วงตริตรองมองถ้วนถี่ |
อันพวกขอมยกมาครานี้ | | มุ่งเอาชีวิตแต่ตัวกู |
แม้กูจะอยู่ต่อต้าน | | | พวกไทยใจหาญคงต่อสู้ |
ไหนจะยอมพ่ายแพ้แก่ศัตรู | | กูยังอยู่คงประยุทธ์สุดกำลัง |
แต่ชาวไทยไม่ชาญการณรงค์ | | เหลือทะนงสู้ขอมกำลังขลัง |
เหมือนแสร้งให้ไปตายวายชีวัง | | กูจะยั้งอยู่ไซร้ไม่เข้าที |
จำกูจะหลีกเลี่ยงไป | | | สู่แดนสุโขทัยกรุงศรี |
ขอมรู้ว่ากูไกลบุรี | | | คงจะไม่โจมตีต่อไป |
ร่าย | | | | |
| คิดพลางทางมีบัญชา | | แก่นายพรานป่าหาช้าไม่ |
แม้กูคงอยู่ละโว้ไซร้ | | | เหมือนแสร้งพาคนไทยให้ย่อยยับ |
มึงจงแสร้งทำเดินหลง | | เดินตรงเข้าไปให้ขอมจับ |
แล้วจงเล่าความไปให้แม่ทัพ | | ประหนึ่งรับสารภาพจริงใจ |
ว่ากูได้รู้ข่าวคราว | | | สะทกหนาวเกรงกลัวหาน้อยไม่ |
จึงรีบหลีกลี้หนีไป | | | สู่แดนสุโขทัยธานี |
ขุนขอมรู้ความฉะนี้ไซร้ | | คงจะไม่ช่วงชิงบุรีศรี |
ชาวละโว้จะได้อยู่ดี | | | ไม่ต้องป่นปี้พลอยตาย |
| | | พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว |
| | | | |
| | | | |
| | | | |
นิราศเมืองแกลง | | | |
| | | | โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย |
จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชย | | ต้องละเลยดวงใจไว้ไกลตา |
ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้า | | ไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา |
จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลา | | ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน |
โอ้จำใจไกลนุชสุดสวาท | | จึงนิราศเรื่องรักเป็นอักษร |
ให้เห็นอกตกยากเมื่อจากจร | | ไปดงดอนแดนป่าพนาวัน |
กับศิษย์น้องสองนายล้วนชายหนุ่ม | น้อยกับพุ่มเพื่อนไร้ในไพรสัณฑ์ |
กับนายแสงแจ้งทางกลางอารัญ | | จะพากันแรมทางไปต่างเมือง |
ถึงยามสองล่องลำนาวาเลื่อน | | พอดวงเดือนดั้นเมฆขึ้นเหลืองเหลือง |
ถึงวัดแจ้งแสงจันทร์จำรัสเรือง | | แลชำเลืองเหลียวหลังหลั่งน้ำตา |
เป็นห่วงหนึ่งถึงชนกที่ปกเกล้า | | จะแสนเศร้าครวญคอยละห้อยหา |
ทั้งจากแดนแสนห่วงดวงกานดา | | โอ้อุรารุ่มร้อนอ่อนกำลัง |
ถึงสามปลื้มพี่นี้ร่ำปล้ำแต่ทุกข์ | | สุดจะปลุกใจปลื้มให้ลืมหลัง |
ขออารักษ์หลักประเทศนิเวศน์วัง | เทพทั้งเมืองฟ้าสุราลัย |
ขอฝากน้องสองรามารดาด้วย | | เอ็นดูช่วยปกครองให้ผ่องใส |
ตัวข้าบาทจะนิราศออกแรมไพร | | ให้พ้นภัยคลาดแคล้วอย่าแผ้วพาน |
| | | | สุนทรภู่ |
| | | | |
ไขภาษา | | | | |
| อย่า นิยมสิ่งร้ายชอบ | | ชมชั่ว |
เห็น สนุกทุกข์ถึงตัว | | | จึ่งรู้ |
กง จักรว่าดอกบัว | | | บอกรับ เร็วแฮ |
| อย่า นิยมสิ่งทุกข์ | | เห็น สนุกกลับทุกข์ทน |
กง จักรว่าบัวบน | | | จักร พัดตนจึงรู้ตัว |
| | | | |
| ว่า โอ้เรานี้ชั่ว | | ชอบกรรม ชั่วนา |
เป็น อกตัญญูทำ | | | โทษไว้ |
ดอก บัวยั่วเนตรนำ | | | นึกชอบ |
บัว กลับเป็นจักรได้ | | | ดั่งนี้กรรมสนอง |
| ว่า โอ้ตัวเรานั้น | | เป็น อกตัญญูมัวหมอง |
ดอก บัวยั่วจิตจอง | | | บัว ผิดปองเป็นจักรไป |
| | | | พระยาอุปกิตศิลปะสาร (นิ่ม กาณจนาชีวะ) |
| | | | |
| | | | |
| | | | |
รามเกียรติ์ ตอนศึกไมยราพ | | |
| พิศเพ่งเล็งดูพระลักษณ์ | ดวงพระพักตร์เพียงเทพเลขา |
ผิวเหลืองเรืองรองดั่งทองทา | | โสภาพริ้มพร้อมทั้งกาย |
แล้วเหลือบแลดูพระราม | | สง่างามพริ้มเพริศเฉิดฉาย |
สีเขียวนวลนิลพรรณราย | | สองชายน้อยน้อยแต่เท่านี้ |
ไฉนจึ่งองค์พระมารดร | | ว่ามีฤทธิรอนกว่ายักษี |
ฆ่าเสียก็ม้วยชีวี | | | แต่ในนาทีไม่พริบตา |
คิดแล้วผาดแผลงสำแดงเดช | | ช้อนพระราเมศผู้เชษฐา |
ขึ้นใส่เหนือบ่าอสุรา | | | ก็ออกมาจากปากวานร |
| | | | |
| ชำแรกแทรกพื้นสุธาธาร | ด้วยกำลังขุนมารชาญสมร |
ข้ามด่านผ่านทางพนาดร | | พาจรเร่งรีบไปธานี |
| | | | |
| ครั้นถึงจึ่งมีพจนารถ | | สั่งมหาอำมาตย์ยักษี |
จงเอามนุษย์น้อยนี้ | | | ใส่กรงเหล็กไว้ที่ดงตาล |
แล้วให้เกณฑ์หมู่อสุรา | | โกฏิหนึ่งฤทธากล้าหาญ |
รักษาในราตรีกาล | | | ระวังเหตุเภทพาลอย่าไว้ใจ |
อันอีพิรากวนอสุรี | | | ให้ตักน้ำใส่ที่กระทะใหญ่ |
ตั้งไว้ยังหน้าพระลานชัย | | ต่อปัจจุสมัยเวลา |
กูจะต้มมนุษย์กับลูกมัน | | ให้ม้วยชีวันสังขาร์ |
สั่งเสร็จเสด็จยาตรา | | | เข้าที่ไสยาสำราญ |
| | พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช |
| | | | |
| | | | |
| | | | |
วอนขอ | | | | |
กลอนสุภาพ | | | |
| แม้เมื่อเรายังเล็กเป็นเด็กน้อย | |
เคยกล่าวถ้อยวอนจันทราว่าให้สม | |
ขอข้าวแกง...แหวน...ให้น้องปองนิยม | |
ขอเตียงตั่งนั่งชมดาวและเดือน | | |
| เมื่อเห็นดาวล้อมเดือนกลาดเกลื่อนฟ้า |
ชวนน้องนับดาราที่เป็นเพื่อน | | |
ระยิบระยับพริบตาดาวพร่าเลือน | | |
แต่ดวงเดือนเด่นสว่างกลางโพยม | |
| อยากตะกายว่ายฟ้าไปหาจันทร์ | |
และใฝ่ฝันอยากเอื้อมให้ถึงโสม | | |
เคยนึกตามใจชอบปลอบประโลม | |
ว่าเติบใหญ่จะได้โคมรัตติกาล | | |
| ฝันไปตามอารมณ์ผสมโง่ | |
ว่าเติบโตจะบินไปด้วยใจหาญ | | |
สอยดวงดาวพราวฟ้ามาเป็นยาน | | |
พาเราผ่านเมฆด้นจนถึงจันทร์ | | |
กุลทรัพย์ รุ่งฤดี | | | |
รุ่งอรุณแห่งหัวใจ | | | |
| พอแดดพริ้มยิ้มพรายกับชายฟ้า | โลกก็จ้าแจ่มหวังด้วยรังสี |
หยาดอรุณอุ่นหล้าเหมือนอารี | | แพรรพีห่มภพอบหนาวคลาย |
เพียงจะพลิกแผ่นฟ้าลงมาฝัน | | กับแสงอันอ่อนอุ่นอรุณฉาย |
เราคนท้อรอหวังซังกะตาย | | หวังชีพพรายอุ่นบ้างอย่างอรุณ |
ทุกวันนี้แรงหนาวปวดร้าวนัก | | หนาวทุกข์หนักเน้นไข้โรคภัยหนุน |
หนาวความชั่วตัวบาปคราบเนรคุณ | ความอบอุ่นแห่งใจนั้นไม่มี |
ถ้าความรักความหวังดังแสงฉาน | | นานเท่านานแสงจะฝ่าลงมานี่ |
หวังลำแสงแห่งเมตตาและอารี | | พลิกราตรีมืดหมองให้ผ่องพรรณ |
และเหนือสิ่งอื่นใดใจมนุษย์ | | ขอจงจุดแสงอุ่นละมุนฝัน |
แสงแห่งรักและอภัยเห็นใจกัน | | แสงคุณธรรม์ขจัดชั่วจากหัวใจ |
อ้าอรุณอุ่นหล้าทิวาจรัส | | สารพัดภพผ่องครรลองไสว |
เรารอคอยอรุณแจ้งแหล่งฤทัย | | ซึ่งเกิดได้เมื่อมนุษย์หยุดกรรมเลว |
| | | | จินตนา ปิ่นเฉลียว |