การปรองดอง : สมหมาย ปิ่นพุทธศิลป์ |
เขียนโดย สมหมาย ปิ่นพุทธศิลป์ | |
พุธ, 20 มิถุนายน 2012 | |
การปรองดอง (สะท้อนจากวรรณกรรมในอินเดีย)
สมหมาย ปิ่นพุทธศิลป์ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ กลุ่มชนในสังคมเดียวกันมีความขัดแย้ง อันเป็นเหตุให้ความสุขทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวมแปรเปลี่ยนไปเป็นความทุกข์ สมาชิกในสังคมไม่ประสงค์ความทุกข์ จึงพยายามหาหนทางลดความขัดแย้ง ด้วยวิธีการปรองดอง เพื่อให้ความสุขกลับคืนมา กำหนดให้ "ความทุกข์"แห่งการขัดแย้ง เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขให้ลดลง ใช้วิธีอริยสัจ ๔ ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศเป็นปฐมเทศนาธัมจักกัปปวัตนสูตร ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กล่าวคือ ๑. ทำความเข้าใจคุณสมบัติของทุกข์แห่งความขัดแย้ง ๒. ต้นเหตุแห่งความทุกข์ (สมุทัยของทุกข์)แห่งการขัดแย้ง ๓. วิถีทางแก้ความทุกข์ (นิโรธ)แห่งความขัดแย้ง และ ๔. การปฏิบัติการแก้ทุกข์(มรรค)ด้วยวิธีการปรองดอง คุณสมบัติของทุกข์แห่งความขัดแย้ง มีคำที่ใช้เป็นคำกริยา เช่น ขัดกัน (conflict, interlace); ปะทะกัน (clash, conflict, zap, collide); ต่อสู้กัน (scrimmage, conflict); ไม่ถูกโรคกัน (clash, conflict, contend, collide); มีคำที่ใช้เป็นคำนาม เช่น การขัดกัน (conflict); กรณีพิพาท (dispute, conflict, fight, battle, collision ); ศึก (battle, fighting, war, combat, fight, conflict); การปะทะกัน (collision, clashing, strife, conflict); การต่อสู้กัน (scrimmage, skirmish, conflict); การศึก (battle, war, conflict, combat, fight, campaign); ความระหองระแหง (disagreement, quarrelsomeness, discord, dissension, conflict); ศึกสงคราม ( war, warfare, fight, combat, battle, conflict) ให้คำเหล่านี้แสดงคุณสมบัติของทุกข์แห่งความขัดแย้ง ในอดีตจากวรรณกรรมทางศาสนาที่เคยแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งทางสังคม เช่นเรื่องมหาภารตยุทธ์ เรื่องรามเกียรติ์ เรื่องพระเทวทัต เรื่องพระเจ้าอชาตศัตรู เรื่องพระองคลิมาล หรือเรื่องสามัคีเภท
เรื่องมหาภารตยุทธ์ "มหาภารตะเป็นเรื่องราวความขัดแย้งของพี่น้องสองตระกูล ระหว่างตระกูลเการพและตระกูลปาณฑพ ซึ่งทั้งสองตระกูลต่างก็สืบเชื้อสายมาจากท้าวภรตแห่งกรุงหัสตินาปุระมาด้วยกัน จนบานปลายไปสู่มหาสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร ซึ่งมีพันธมิตรของแต่ละฝ่ายเข้าร่วมรบด้วยเป็นจำนวนมาก” (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B0)
เรื่องรามเกียรติ์ "เหตุเกิดเมื่อนนทกไปเกิดใหม่เป็นทศกัณฐ์มีสิบหน้ายี่สิบมือตามคำพระนารายณ์ ก่อนนั้นเมื่อพระนารายณ์สังหารนนทกแล้ว ได้ไปขอพระอิศวรจะให้เหล่าเทวดาและตนไปตามสังหารนนทกในชาติหน้า หลังจากนั้น ทหารเอกทั้งห้า จึงเกิดตามกันไป ได้แก่ หนุมานเกิดจากเหล่าศาสตราวุธของพระอิศวรไปอยู่ในครรภ์นางสวาหะ สุครีพ เกิดจากพระอาทิตย์แล้วโดนคำสาปฤๅษีที่เป็นพ่อของนางสวาหะ องคต เป็นลูกของพาลีที่เป็นพี่ของสุครีพ ชมพูพาน เกิดจากการชุบเลี้ยงของพระอินทร์ นิลพัท เป็นลูกของพระกาฬ " (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%8C)
" คืนหนึ่งทศกัณฐ์ฝันร้าย พิเภกทำนายว่า ทศกัณฐ์ถึงคราวเคราะห์ให้ส่งนางสีดาคืนไปเสีย ทศกัณฐ์โกรธมาก ขับไล่พิเภกออกนอกเมือง พิเภกจึงเข้าไปสวามิภักดิ์กับพระราม ช่วยให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในการทำสงครามแก่พระรามอยู่เสมอ” (วิกิพีเดีย)
พระรามทำสงครามกับทศกัณฐ์อยู่นานหลายปี จนญาติพี่น้องของทศกัณฐ์ตามในสงครามกันหมด ทศกัณฐ์ต้องออกรบเอง พระรามแผลงศรถูกหลายครั้ง แต่ทศกัณฐ์ก็ไม่ตาย เพราะถอดดวงใจฝากฤๅษีโคบุตรไว้ หนุมานกับองคตจึงทูลรับอาสาพระรามไปหลอกเอากล่องดวงใจมาจนได้ ทศกัณฐ์ออกรบอีก พอพระรามแผลงศรไปปักอกทศกัณฐ์ หนุมานก็ขยี้กล่องดวงใจจนแหลกลาญ ทศกัณฐ์จึงสิ้นชีวิต จากนั้นพิเภกก็พานางสีดามาคืนให้พระราม และเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ นางสีดาจึงขอทำพิธีลุยไฟ ซึ่งนางสามารถเดินลุยไฟได้อย่างปลอดภัย พระรามตั้งให้พิเภกครองกรุงลงกา”(วิกิพีเดีย) แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งของพระรามกับทศกัณฐ์ เรื่องพระเทวทัต "พระเทวทัตยังเป็นผู้มักใหญ่ใฝ่สูง อยากจะเป็นพระศาสดาแทนพระพุทธองค์ โดยพระเทวทัตกระทำการถึงขั้นที่เสนอให้พระพุทธเจ้าลาออกจากตำแหน่งพระศาสดาแล้วให้พระเทวทัตเป็นพระศาสดาแทน และพยายามทำตัวให้ดูเป็นผู้นำที่เคร่งครัดอย่างยิ่งยวดเพื่อแบ่งแยกคณะสงฆ์ เช่น เสนอพระวินัยอย่างเคร่งครัด เช่น กินเจตลอดชีวิต อยู่ป่าตลอดชีวิต แก่พระพุทธเจ้าเพื่อทรงบัญญัติ ซึ่งเมื่อผู้คนเริ่มทราบความตั้งใจชั่วของท่าน ทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูออกห่าง ไม่อุปถัมภ์บำรุง และโดนดูหมิ่นจากชาวบ้านและพระสงฆ์ ทำให้ในภายหลัง ท่านได้สำนึกผิด และเดินทางไปขอขมาพระพุทธเจ้า แต่ทว่าด้วยกรรมที่ท่านสร้างไว้นั้นหนักมาก จึงทำให้ท่านต้องถูกธรณีสูบลงสู่อเวจีนรก ณ ริมสระโบกขรณีหน้าวัดพระเชตวันมหาวิหาร"(http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%95) แสดงให้เห็นว่าพระเทวทัตขัดแย้งกับพระพุทธองค์ เรื่องพระเจ้าอชาตศัตรู "อชาตศัตรู (แปลว่า ผู้ที่ไม่เป็นศัตรู)ในวัยเยาว์ พระเจ้าพิมพิสารทรงเลี้ยงดูพระโอรสเป็นอย่างดี และทรงสถาปนาเป็นมกุฎราชกุมาร เมื่อเข้าวัยรุ่นทรงมีสติปัญญาเฉียบแหลม แต่ก็ได้รู้จักกับพระเทวทัตที่กำลังจะแสวงหาผู้ที่จะมาช่วยตนปลงพระชนม์พระบรมศาสดา ซึ่งต้องการได้รับความสนับสนุนจากผู้มีอำนาจทางบ้านเมือง และด้วยที่พระเจ้าอชาตศัตรูขาดประสบการณ์ สามารถชักจูงได้ง่าย ทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูเกิดความศรัทธาในพระเทวทัต ถูกเสี้ยมสอนว่า ชีวิตคนเรานั้นไม่เที่ยงไม่แน่ว่าจะได้ครองราชย์สมบัติ จึงควรปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารเสีย แล้วขึ้นครองราชย์แทน ส่วนพระเจ้าเทวทัตจะปลงพระชนม์พระศาสดาและทำหน้าที่ปกครองสงฆ์ พระเจ้าอชาตศัตรูก็หลงเชื่อ จับพระเจ้าพิมพิสารมาขังในคุกและทรมานโดยวิธีการต่างๆ จนพระบิดาสิ้นพระชนม์” (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B9)แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าอชาตศัตรูขัดแย้งกับพระเจ้าพิมพิสาร เรื่องพระองคุลิมาล "องคุลิมาลชื่อว่า อหิงสกะ เป็นบุตรของปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล เมืองสาวัตถี มารดาของชื่อ มันตานี อหิงสกะได้ไปเรียนวิชาที่เมืองตักกสิลา และสามารถเรียนได้รวดเร็วอีกทั้งยังปรนนิบัติอาจารย์อย่างดี จนเป็นที่รักใคร่ของอาจารย์อย่างมาก เป็นเหตุให้ศิษย์อื่นริษยา จึงยุยงอาจารย์ว่าองคุลิมาลคิดจะทำร้าย อาจารย์จึงคิดจะกำจัดองคุลิมาลเสีย โดยบอกกองคุลิมาลว่า ถ้าจะสำเร็จวิชาต้องฆ่าคนให้ได้หนึ่งพันคนเสียก่อน องคุลิมาลจึงออกเดินทางฆ่าคน แล้วตัดนิ้วหัวแม่มือมาคล้องที่คอเพื่อให้จำได้ว่าฆ่าไปกี่คนแล้ว เหตุนี้เอง อหิงสกะจึงได้รับสมญานามว่า องคุลิมาล จนครบ 999 คน ก็มาพบพระพุทธเจ้า และได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ออกบวชเป็นพุทธสาวก "(http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A5)แสดงให้เห็นว่าองคุลิมาลขัดแย้งกับญาติของผู้คนที่ถูกโจรองคุลิมาลฆ่า
เรื่องสามัคีเภท "พระเจ้าอชาตศัตรูปรึกษากับวัสสการพราหมณ์เพื่อหาอุบายทำลายความสามัคคีของเหล่ากษัตริย์ลิจฉวี โดยการเนรเทศวัสสการพราหมณ์ออกจากแคว้นมคธ เดินทางไปยังเมืองเวสาลี แล้วทำอุบายจนได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ลิจฉวี และในที่สุดได้เป็นครูสอนศิลปวิทยาแก่ราชกุมารทั้งหลาย ครั้นได้โอกาส ก็ทำอุบายให้ศิษย์แตกร้าวกัน จนเกิดการวิวาท และเป็นเหตุให้ความสามัคคีในหมู่กษัตริย์ลิจฉวีถูกทำลายลง เมื่อนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูจึงได้กรีธาทัพสู่เมืองเวสาลี สามารถปราบแคว้นวัชชีลงได้อย่างง่ายดาย" (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%89%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B9%8C) แสดงความขัดแย้งระหว่างพระเจ้าอชาตศัตรูกับเหล่ากษัตรีย์ลิจฉวีทุกเรื่องแสดงให้เห็นว่าคู่กรณีของความขัดแย้งสิ้นสุดด้วยความตาย มีเรื่องพระองคุลิมาลเรื่องเดียวที่มีคนกลางเข้ามามีบทบาทจนความขัดแย้งจากการฆ่าคนหยุดทันที กลายเป็นความขัดแย้งของญาติผู้ตายกับพระองคุลิมาล ทุกเรื่องเป็นเพียงแสดงถึงความพยายามให้รู้ถึงทุกข์ของความขัดแย้ง พอรู้ว่าต้นเหตุของความขัดแย้งคือความต้องการล่วงเข้าไปในสิทธิของผู้อื่นด้วยความรุนแรง พอรู้ว่าไม่มีเรื่องใดที่มีกลไกของคนกลางมาลดความขัดแย้ง ยกเว้นเรื่องพระองคุลีมาล ส่วนแนวทางในการปฏิบัติเพื่อลดความขัดแย้งของคู่กรณี ไม่มีเรื่องใดที่เป็นแนวให้ปฏิบัติไปสู่ความปรองดองได้ ความขัดแย้งจะต้องลดได้ด้วยความปรองดอง ถ้าไม่มีการปรองดอง พฤติกรรมของผู้ขัดแย้งจะต้องทนทุกข์ทรมานด้วยกลุ่มคำขัดแย้งข้างต้นตามที่สังคมต่างทราบกันดีว่า หากไม่ปรองดอง จะนำไปสู่ความทุกข์ในการปะทะกัน, การต่อสู้กัน, (สำนวน)การไม่ถูกโรคกัน, เกิดกรณีพิพาท, ความระหองระแหง และเกิดศึกสงคราม ล้วนนำสังคมไปสู่ความตายและความทุกข์อย่างมหันต์ แต่ข้อมูลจากการศึกษาเรื่องราวในอินเดียยังไม่มากพอ จึงยังไม่พบข้อมูลแนวการปฏิบัติให้คู่กรณีไปสู่ความปรองดอง จำเป็นต้องศึกษาจากเรื่องราวอื่น การปรองดองเพื่อให้ความขัดแย้งลดลง มีคำที่ใช้หลายรูปแบบคำ เช่น การประนีประนอม (compromise, reconciliation, conciliation, mediation); การคืนดี (reconciliation); การไกล่เกลี่ย (mediation, reconciliation, conciliation), การกลืน (swallowing, gulping down, gobbling up, reconciliation, harmonization, devouring) อารมณ์ร้ายของกลุ่มชนในสังคมมีระดับที่ไม่เท่าเทียมกัน แต่ละสังคมต่างก็มีอารมณ์ร้ายของส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน (Individual difference) และการไม่มีคนกลางผู้มากด้วยบารมีของทั้งสองฝ่ายดังเช่นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเรื่องพระองคุลิมาล การยุติความขัดแย้งหรือการปรองดองจึงจำเป็นต้องผุดขึ้นในหมู่ของแต่ละฝ่าย แม้มีเพียงฝ่ายเดียวที่มองเห็น ก็มีโอกาสที่จะปรองดองได้ พฤติกรรมการปรองดอง (การประนีประนอม, การคืนดี, การไกล่เกลี่ย, การกลืน) จะเกิดขึ้นและ/หรือไม่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับสิ่งเร้า (Stimulation) ที่จะต้องสร้างขึ้นให้มีบรรยากาศของการปรองดอง หรือสร้างขึ้นเพื่อลดบรรยากาศของความขัดแย้ง เช่นในเรื่องมหาภารยุทธ รุ่นพ่อกับรุ่นลูกของทั้งสองฝ่ายประหัตประหารตายทั่วทุ่งกุรุเกษตร ลูกและหลานที่เหลือรอดชีวิตต่อมาก็สรรค์สร้างพิธีกรรมเบี่ยงเบนไปสู่การปรองดองคือการทำพิธีอัญเชิญพระแม่คงคามารับอัฐิของบรรพชนขึ้นสูสวรรค์ นี่คือการสร้างเงื่อนไข(Conditioning)ที่จะไม่ต้องให้รุ่นหลานต้องประหัตประหารต่อเนื่องกันไปอีก แต่ผู้วายชนม์ก็ตายไปตามสภาพธรรม ลูกหลานและญาติมิตรในกลุ่มนั้นก็กระทำพิธีลอยอังคารสืบมา เมื่อเกิดสิ่งเร้าจากฝ่ายตรงข้ามอันก่อให้มีอารมณ์ร้ายไปสู่ความขัดแย้ง ก็ขอให้อดทนดุจดั่งพระองคุลิมาลแม้จะมีก้อนศิลาปะทะร่างปะทะบาตรก็จักข่มใจ วาจาหรือข้อความใดที่เป็นสิ่งเร้าให้อารมณ์ไปสู่ความขัดแย้งจะต้องลดลงทั้งสองฝ่าย การไม่สร้างความขัดแย้งให้ทายาทรับรู้แม้จะใช้เวลาเนิ่นนาน แต่เป็นการปรองดองที่มีผลสัมฤทธิ์สูงซึ่งมีตัวอย่างจากเรื่องมหาภารตยุทธ เรื่องรามเกียรติ์และเรื่องพระองคุลิมาล นอกจากจะลดสิ่งเร้าในทางลบ การสร้างสรรค์สิ่งเร้าในทางบวกเช่นการแสดงตัวอย่างผลดีของความสามัคคี ความมั่นคงของชีวิต ที่จะนำไปสู่ความสุขของครอบครัว ความสุขของสังคม ความสุขของประเทศและความสุขของมนุษยชาติ ที่หน่วยของแต่ละชีวิตสามารถสร้างได้ด้วยตัวของตัวเอง เพียงอยู่เฉย ๆ ความทุกข์ทางธรรมชาติก็มาเยือนอย่างไม่กลัวเกรงอยู่แล้ว แล้วเราจะสร้างทุกข์จากความขัดแย้งเพิ่มขึ้นในชีวิตให้เราต้องมีทุกข์ทบเท่าทวีคูณอีกหรือ?
จังหวัดภูเก็ตจัดการอบรมปลูกจิตสำนึกการปรองดอง ๔ - ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ ห้องจามจุรี ภูเก็ตเมอร์ลิน ตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตประธานการจัดการอบรม ผศ.สมหมาย ปิ่นพุทธศิลป์ วิทยากร : ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกับการปรองดอง
***
วัฒน์ภาษา2 วรรณกรรม
|
|
แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( พุธ, 04 กรกฎาคม 2012 ) |
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|