Skip to content

Phuketdata

default color
Home arrow Search
การเหมืองแร่ในภูเก็ต:ราชัน กาญจนะวณิช PDF พิมพ์ อีเมล์
เขียนโดย ปาณิศรา ชูผล มทศ.   
อาทิตย์, 16 มีนาคม 2008


การเหมืองแร่ในภูเก็ต

 

ราชัน กาญจนะวณิช

-----------------

 

                ในปี  พ.ศ. 2492 ผมได้มีโอกาสเดินทางไปเกาะภูเก็ตเป็นครั้งรา ความจริงผมได้รู้จักเกาะภูเก็ตมาก่อนแล้วจากการเรียนประวัติศาสตร์ และหนังสือต่าง ๆ

                จากหนังสือประวัติศาสตร์ ผมได้ทราบมานานแล้วว่า ตั้งแต่ชาวปอร์ตุเกสได้มาตีเมืองมะละกาในแหลมมลายูได้ในปี พ.ศ. 2054  ก็ได้มาติดต่อซื้อดีบุกจากเกาะถลาง  ซึ่งเป็นชื่อเกาะภูเก็ตในสมัยกรุงศรีอยุธยา และในสมัยพระนารายณ์มหาราชก็ได้ทรงแต่งตั้งชาวฝรั่งเศสชื่อ เรเน เซอร์บอโน เป็นเจ้าเมืองภูเก็ต เพราะฝรั่งเศสสนใจซื้อดีบุกจากเกาะถลาง

                นอกจากนั้นพ่อได้เคยเล่าให้ฟังว่า  ที่เกาะภูเก็ตในฤดูมรสุมตะวันตดเฉียงใต้หรือทิศหรดี มักจะมีคลื่นลูกใหญ่ ๆ ทางฝั่งตะวันตก ทำให้การเล่นน้ำทะเลตื่นเต้นและอาจเป็นอันตรายได้ พวกเราเด็ก  ๆ อยากไปทดลอง นอกจากนั้นพ่อก็เคยนำเปลือกกุ้งมังกรตัวใหญ่กลับจากภูเก็ต ให้เราเห็นพยานหลักฐานของความสมบูรณ์ของสัตว์น้ำในทะเลในจังหวัดภูเก็ต พ่อเคยเล่าให้ฟังถึงความสามารถของสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต คือ พระยารัษฎานุประดิษฐ์ ในการพัฒนาตัดถนนบนเกาะภูเก็ต  โดยใช้ช้างลากลูกกลิ้งเพราะไม่มีรถบดไอน้ำ  พ่อมีราชการติดต่อกับทางจังหวัดอยู่หลายครั้ง และเคยทำหน้าที่เป็นเถ้าแก่ไปขอลูกสาวเจ้าเมืองภูเก็ต คือ พระยาสุรินทราชา ให้วิศวกรรถไฟหนุ่มคนหนึ่ง

               และเมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.  2475 ทางกรมรถไฟก็ได้ทำการรังรังวัดเส้นทางใหม่สายสุราษฎร์ธานี - ท่านุ่นไว้แล้ว  เข้าใจว่าหลวงสัมฤทธิวิศวกรรมเป็นวิศวกรควบคุม

                สมัยผมเป็นนักเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์ ผมก็ได้มีโอกาสศึกษาประวัติศาสตร์  ซึ่งเล่าไว้ว่า ในปี พ.ศ. 2328 พม่าได้ยกทัพเรือมาตีหัวเมืองฝั่งทะเลตะวันตกและหัวเมืองปักษ์ใต้ของประเทศสยามและได้ชัยชนะไปหลายแห่ง  ส่วนที่เมืองถลางนั้นเมื่อทัพพม่ายกมาเป็นช่วงที่พระยาถลางได้ถึงแก่อนิจกรรม  ภรรยาของพระยาถลางคือคุณหญิงจันและน้องสาวชื่อมุก  ได้รวบรวมกำลังพลมาต่อสู้พม่า จนพม่าไม่สามารถตีเมืองถลางได้และต้องยกทัพกลับไปก่อนฤดูมรสุม

                การเดินทางไปภูเก็ตครั้งแรกในชีวิตผมนั้น เป็นการตรวจสภาพเรือขุดของบริษัทระเงงทิน เดรดยิ่ง โนไลอาบิลิตี  ที่เจ้าของไม่มีความประสงค์จะกลับมารับทรัพย์สินคืนตามหลักฐานไม่ปรากฏว่าทางรัฐบาลไทยได้เข้าไปใช้เรือขุดไอน้ำลำนี้  แต่เรือขุดก็ชำรุดทรุดโทรมมาก  เพราะเรือขุดจอดอยู่ที่เรียกกันว่าท่าแครงทางฝั่งตะวันตกของถนนเจ้าฟ้า ทางฝั่งตะวันตกของถนนเจ้าฟ้านั้นเป็นที่ลุ่มน้ำทะเลท่วมถึง แผนที่เดินเรือยังคงแสดงให้เห็นแนวทางเรือขุดได้ขุดข้ามถนนเจ้าฟ้าเข้ามาจากทะเล โดยสร้างทางเบี่ยงให้ใช้ผ่านชั่วคราว  โรงพัสดุของเหมืองยังคงตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของถนนเจ้าฟ้าและมีน้ำทะเลล้อมรอบ

                ที่ภูเก็ตไม่มีโรงแรมที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยว โรงแรมที่ดีที่สุดในปี พ.ศ. 2492 ก็คือโรงแรมออน-ออน  ภัตตาคารดี ๆ ในจังหวัดภูเก็ตก็หาได้ยาก ถึงแม้จะมีเจ้าของเหมืองและชาวต่างประเทศมาทำเหมืองอยู่เป็นจำนวนมาก พวกชาวเหมืองส่วนใหญ่ก็จะมีสโมสรส่วนตัวเป็นที่รับรองแขก นอกจากนั้นชาวอังกฤษและออสเตรเลียนั้นก็มักจะมีการพักผ่อนเลี้ยงดูกันในเรือโดยสารและเรือสินค้าของบริษัทสเตรทสตรีมชีฟ ซึ่งจะเดินทางมาแวะภูเก็ตสัปดาห์ละครั้ง บริษัทสเตรทสตรีมชีฟมีเรือเดินทะเลระหว่างปีนัง ภูเก็ต  พังงา  ตะกั่วป่า ระนอง มะริด และย่างกุ้งเป็นประจำ สินค้าต่าง ๆ ในตลาดภูเก็ดที่น่าสนใจของผู้มาเยี่ยมจึงเป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากปีนังเป็นส่วนใหญ่ การเดินทางไปจังหวัดภูเก็ตในปี พ.ศ. 2492  นั้น คนส่วนมากใช้รถไฟเป็นพาหนะเดินทางไปจนถึงกันตัง จากกันตังมีเรือเดินทะเลขนาดเล็กต่อไปยังจังหวัดภูเก็ต เรือเดินทะเลชายฝั่งส่วนมากเข้าจอดที่ท่าสวนมะพร้าวของพระพิทักษ์ชินประชา ซึ่งอยู่ในอ่าวหน้าที่ตั้งที่ทำการรัฐบาลเดิม อ่าวนี้มีชายฝั่งติดตามแนวถนนมนตรีในปัจจุบัน

                แต่เนื่องจากผมมีกิจธุระรีบด่วน จึงไม่มีโอกาสได้เดินทางเช่นนั้น และได้เดินทางไปภูเก็ตด้วยเครื่องบิน ทางบริษัทเดินอากาศไทยใช้เครื่องบิน ดี.ซี. 3 หรือ “ดาโคต้า” ที่ดัดแปลงจากเครื่องบินเหลือใช้หลังสงครามมาเป็นเครื่องบินโดยสารสายใต้เดินทางจากกรุงเทพฯ ภูเก็ตและสงขลา ไปกลับวันละเที่ยว ภูเก็ตจึงเป็นเมืองที่โชคดีที่มีการติดต่อได้ทั้งทางเรือและเครื่องบิน เส้นทางรถไฟที่ได้สำรวจไว้ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น รัฐบาลยุคประชาธิปไตยก็มิได้ให้ความสนใจที่จะดำเนินการต่อไป  การขนส่งทางถนนนั้น ภูเก็ตมีถนนลูกรังภายในเกาะที่ติดต่อระหว่างหมู่บ้านต่าง ๆ ได้ และแพขนานยนต์สำหรับให้รถยนต์ข้ามจากท่าฉัตรไชยไปยังท่านุ่น แต่มีทางหลวงติดต่อได้แค่อำเภอตะกั่วป่าในจังหวัดพังงาเหนือทิศเหนือ หรือแค่อำเภอเมืองจังหวัดพังงาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือหรือทิศอีสานเท่านั้น ในสมัยนั้นจึงไม่สามารถเดินทางด้วยรถยนต์จากภูเก็ตไปจังหวัดอื่น ๆ ในภาคใต้ได้ จะเดินทางด้วยรถยนต์ก็ไปได้เพียงจังหวัดพังงาเท่านั้น

                ในปีเดียวกันนั้น ผมได้มีโอกาสมาเยี่ยมภูเก็ตอีกครั้งหนึ่ง เมื่อทางราชการได้ขอให้ผมเป็นกรรมการรับซองประมูลขายเรือขุด ของบริษัทพังงาทินที่ล่มจมลงในระยะสงคราม  และเจ้าของเดิมมิได้รับมอบคืนไป ในการไปเยี่ยมภูเก็ตครั้งที่สองนี้ ผมมีเพื่อนไปด้วยสองคน  คือ อานนท์  ศรีวรรธณะ และ จอร์ช เอม. วิทนี เลขานุการฝ่ายการเมืองของสถานเอกอัครราชทูตอเมริกัน ผมได้มีโอกาสรู้จักกับนักธุรกิจชาวภูเก็ตและพังงาหลายคน  เช่น  คุณวิรัช หงษ์หยก  คุณมนูญ หงษ์หยก  และคุณเจียร  วานิช   หลังจากธุระทางราชการเสร็จสิ้นไปแล้ว  ผมกับเพื่อนได้เดินทางไปที่สนามบินภูเก็ตที่บ้านไม้ขาว ก็ได้ทราบว่าเครื่องบินวันนั้นติดขัดจะต้องรอคอยประมาณ 4 ชั่วโมง ในปี พ.ศ. 2492 นั้น  อาคารสนามบินภูเก็ตเป็นเรือนไม้เล็ก ๆ ไม่มีร้านอาหารในบริเวณใกล้เคียง ทางวิ่งของเครื่องบินก็มีฝูงควายเดินอยู่ และจะต้องทำการไล่ต้อนก่อนเครื่องบินจะขึ้นหรือลง  และจะหารถเดินทางกลับเข้ามาในเมืองก็หายาก และไม่คุ้มค่า  แต่คณะของผมโชคดีเพราะมีผู้โดยสารที่จะเดินทางไปกับเราผู้หนึ่งชื่อ นายชาลส์  บุญช่วย สก็ตต์ หรือ C.B. SCOTT ผู้แทนบริษัทอิสเทิร์น สเมติ้ง จำกัด ซึ่งผมเคยพบมาก่อนแล้วที่บ้านคุณประวัติ สุขุม อธิบดีกรมโลหะกิจในปี พ.ศ. 2490

                ชาลส์ สก็ตต์ เป็นผู้ที่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการฉุกเฉินเช่นนี้ และได้อธิบายให้ฟังว่า เครื่องบินสายใต้มักจะเสียเวลาเสมอ  การเดินทางไปสนามบินจะต้องมีเสบียงติดตัวไปด้วย  พร้อมกับเปิดภาชนะให้ดูปรากฏว่ามี ขนมปัง เนื้อกระป๋อง ตลอดจนเบียร์และวิศกี้ โซดา แช่เย็นไว้มากพอที่จะช่วยไม่ให้หิวได้ตลอดเวลา  4  ชั่วโมงที่จะต้องคอย หรือตลอด  7  ชั่วโมงถ้าจะรวมเวลาบินด้วยและถ้าไม่มีอาหารบนเครื่องบิน

                ด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของ  ชาลส์ สก็อตต์  คณะของผมจึงใช้เวลารอคอยที่สนามบินภูเก็ตอย่างอิ่มเอิบ รื่นเริง เพราะ  ชาลส์ สก็อตต์  เป็นผู้คนสนุกและมีประสบการณ์ต่าง ๆ มามาก และในปีต่อ ๆ มา เราก็ได้เป็นเพื่อนสนิทสนมกันเป็นเวลาหลายปีจนกระทั่ง ชาลส์ สก็อตต์ ได้ถึงแก่กรรมลง

                เมื่อปี พ.ศ. 2440  ทางรัฐบาลได้ว่าจ้างวิศวกรหนุ่มอายุ 21 ปี จากอังกฤษให้มาช่วยงานทางด้านเหมืองแร่ในประเทศสยาม  วิศวกรหนุ่มผู้นั้นชื่อว่า เฮนรี่ จอร์ช สก็อตต์  ซึ่งต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีกรมโลหกิจของประเทศสยาม  หลังจากที่รับราชการได้ประมาณสิบปี เอนรี่ สก็อตต์ ก็ได้ลาออกจากราชการและร่วมมือกับพี่ชายชื่อ ที.จี. สก็อตต์ (T.G. SCOTT) ซึ่งตั้งบริษัทไซมินทิน ซินดิเกต ลิมิเต็ด ขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2449 ในการสำรวจแหล่งแร่ดีบุกในหัวเมืองปักษ์ใต้  และก็ได้พบแหล่งแร่ดีบุกที่สำคัญในจังหวัดระนอง   จนกระทั่งสามารถเริ่มเดินเรือขุดลำแรกที่หงาวได้ในปี พ.ศ. 2455 เฮนรี่ สก็อตต์ ได้สมรสกับสุภาพสตรีไทย และได้ส่งบุตรชายหรือ ชาลส์ บุญช่วย สก็อตต์ ไปศึกษาในประเทศอังกฤษตั้งแต่มีอายุเพียง 6 ขวบ ชาลส์ สก็อตต์ ก็เริ่มกระวนกระวายอยากทราบถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของมารดาในประเทศสยาม ทั้ง ๆ  ที่บิดามีความประสงค์ที่จะให้เป็นทางมาเยี่ยมบ้านเกิดจนได้  ในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง  แต่เมื่อทางบิดาทราบเรื่องก็ขอให้นายอาเธอร์ ไมลส์  บุตรชายคนโตของนายเอดวาร์ด ที.  ไมลส์ ผู้ริเริ่มการใช้เรือขุดทำเหมืองแร่ในทะเล ให้ติดต่อส่งตัว ชาลส์ สก็อตต์ กลับประเทศอังกฤษ หลังจากการใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานในยุโรป ชาลส์ สก็อตต์ ก็รับราชการทหารในกองทัพบกอังกฤษในสงครามโลกครั้งที่สอง จากสมรภูมิอัฟริกาเหนือ ชาลส์ สก็อตต์ ได้ถูกส่งตัวมายังอินเดียและได้เข้ามายังประเทศไทยเมื่อมียศเป็นพันตรี   ในเมื่อญี่ปุ่นได้ยอมจำนนต่อแสนยานุภาพของฝ่ายสหประชาชาติ สายเลือดไทยของชาลส์ สก็อตต์ ไม่ยอมสูญสิ้นเพราะได้ตัดสินใจพำนักอยู่ในจังหวัดภูเก็ต  เมื่อออกจากราชการทหาร และชาลส์ สก็อตต์  ก็เป็นผู้ที่ชาวภูเก็ตรู้จักรักใคร่กันเป็นอย่างดี เพราะความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนฝูง

                เจ้าเมืองภูเก็ต

                เชื่อกันว่าชาวเกาะภูเก็ตเดิมนั้นเป็นพวกเงาะในตระกูลนิกริโต  (NEGRITO) เช่นเดียวกับบริเวณอื่น  ๆ  ในแหลมมลายู ก่อนที่ชาวมอญจะขยายตัวลงมาทางใต้  นอกจากนั้นดินแดนทางฝั่งตะวันตกด้านมหาสมุทรอินเดียของแหลมมลายูตอนบนนั้นยังรับวัฒนธรรมจากชาวอินเดีย  ซึ่งได้อพยพมาตั้งเมืองอยู่ที่เกาะคอเขาใกล้ ๆ กับอำเภอตะกั่วป่าในปัจจุบัน

                นายร้อยเอกเจมส์ โลว์ (JAMEs LOWE) ก็ได้เขียนบันทึก ไว้ว่า เจ้ามรง มหาวัมสา  ( MARONG MAHAVAMSA) ผู้ตั้งเมืองไทรบุรี ได้แล่นเรือมาเติมน้ำและฟืนที่เกาะ “สลาง” เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1743 หรือ ค.ศ. 1200 ซึ่งย่อมหมายความว่าเกาะ “สลาง” หรือเกาะภูเก็ต  เป็นเกาะที่มีความสำคัญและมีชื่อเป็นที่รู้จักกันในหมู่ชาวอินเดียที่เดินเรืออยู่ในน่านน้ำทะเลอันดามันมาก่อนกำเนิดประเทศไทยในยุคกรุงสุโขทัย

                หลังจากที่อัฟฟอนโซ เดอ อัลบูเดอร์เค (AFFONSO DE ALBUQUERQUE) แม่ทับปอร์ตุเกศ ได้เข้ายึดเมืองมะละกาในแหลมมลายูได้ในปี พ.ศ. 2054  (ค.ศ. 1511)  ดินแดนทางฝั่งทะเลตะวันตกของแหลมมลายูจึงได้เริ่มทำมาค้าขายกับชาวยุโรปซึ่งได้แผ่อิทธิพบเข้ามาในชมพูทวีป   เชื่อได้ว่าชาวปอร์ตุเกศซึ่งได้ความรู้จากชาวอินเดียคงได้เดินทางมายังเกาะภูเก็ต   ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน แผนที่เดินเรือในพิพิธภัณฑ์ที่กรุงลิสบอน ก็แสดงเส้นทางสำรวจฝั่งทะเลของ อัลบูเดอร์เค ในน่านน้ำใกล้ ๆ เกาะภูเก็ตก่อนที่เรือ “ฟลอ เดอ ลามาร์” ของท่านต้องเผชิญกับคลื่นลม ประสพอันตรายจนต้องแตกจมลงใกล้ฝั่งมะลายา ปี พ.ศ. 2055 (ค.ศ. 1512)  และนับแต่นั้นมา ชาวยุโรปก็ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทแข่งขันกับชาวอินเดียที่เคยควบคุมเศรษฐกิจตามฝั่งทะเลอันดามันตลอดจนหมู่เกาะภูเก็ต และดินแดนใกล้เคียง

                ในปี พ.ศ. 2069 (ค.ศ. 1526) ได้มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจในอินเดียเมื่อพระเจ้าบาบูร์ ได้สถาปนาราชวงศ์อิสลาม (MUGHAL) ชาวอินเดียทำการค้าขายอย่างแพร่หลาย และมีเรือค้าขายข้ามอ่าว เบงกอลมารับซื้อสินค้าจากจีน และญี่ปุ่น  ที่ส่งผ่านดินแดนสยาม ไปยังท่าเรือที่เมืองมะริดในเขตตะนาวศรี ชาวอินเดียใช้เรือใบแล่นข้ามอ่าวเบงกอลได้สะดวกกว่าการแล่นในอ้อมแหลมมลายูไปยังบางกอก หรือกรุงศรีอยุธยา เพราะระยะทางอ้อมแหลมมลายูไกลกว่าสามเท่าและต้องใช้เวลานานกว่าหกเท่า และยิ่งกว่านั้นเรือสินค้ามักจะถูกโจรสลัดช่องแคบมะละการังควาญ สินค้าที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างอินเดียกับญี่ปุ่นและจีนในตลาดที่ส่งผ่านประเทศสยามส่วนใหญ่ก็จะเป็นผ้าฝ้ายจากอินเดียแบกเปลี่ยนกับญี่ปุ่นและจีนและหนังสัตว์จากไทและญี่ปุ่น เนื่องจากชาวสยามไม่ชำนาญในกิจการค้ากับต่างประเทศ ตำแหน่งเจ้าเมืองในหัวเมืองต่าง ๆ ตามชายฝั่งทะเลตะวันตก หรืออันดามัน จึงมักจะเป็นชาวฮินดู และต่อมาก็เป็นพ่อค้าอิสลามจากอินเดีย ที่เรียกกันว่า มัวร์ ซึ่งความจริงเป็นชาวอินเดียที่นับถือศาสนาอิสลาม (INDIAN MAHOMEDAND) และนิยมวัฒนธรรมของชาวเปอร์เซีย ชาวอินเดียก็ได้ตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองต่าง ๆ ตามเส้นทางพาณิชย์จากตะนาวศรีไปกรุงศรีอยุธยา ชาวอินเดียพวกหนึ่งที่เจ้าเมืองทำการค้าขายตามฝั่งทะเลอันดามัน และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองที่เกาะภูเก็ต เป็นพวกมัวร์ที่เรียกว่า จุฬา  หรือ  จุเลีย (CHULIA) ธอมัส เบาเร (THOMAS BOWREY) พ่อค้าอังกฤษ ผู้หนึ่งที่เดินทางโดยเรือไปเกาะภูเก็ต ได้เขียนบันทึกไว้เมื่อ พ.ศ. 2218 หรือ ค.ศ. 1675 ว่า พวกมัวร์เอาเปรียบชาวภูเก็ตมาก จนกระทั้งชาวภูเก็ตทนไม่ได้ต้องลุกขึ้นต่อต้านและฆ่าเจ้าเมืองและพนักงานชาวมัวร์ ซึ่งเป็นการเริ่มปิดฉากอิทธิพลของชาวอินเดีย โดยมีชาวยุโรปเข้ามาแข่งขันแทน เอดมันด์ บาร์เกอร์ (EDMUND BARKER) ทหารในหมู่เรือของเซอร์ เจมส์ แลนแคสเตอร์  (SIR JAMES LANCASTER) ได้บันทึกไว้ในปี พ.ศ. 2135 หรือ ค.ศ. 1592 ว่าได้เคยส่งทหารปอร์ตุเกศที่พูดภาษามลายูได้ ขึ้นเจรจากับเจ้าเมืองจังสิคอน เพื่อหาซื้อน้ำมันยาง เพื่อใช้ซ่อมเรือ และได้มีชาวเกาะมาแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งของท้องถิ่นก็มี อำพันและ นอแรด ซึ่งเป็นสินค้าผูกขาดของเจ้าเมือง

                ตามที่กล่าวมาแล้ว ชาวปอร์ตุเกศ คงเป็นชาติยุโรปชาติแรก ที่เข้ามาค้าขายในเกาะภูเก็ต หรือที่เรียกว่า สลาง หรือ ถลาง เพราะหลังจากที่ยึดเมืองมะละกาได้แล้ว อัลลูเดอร์เค ก็ได้เริ่มมีความสัมพันธ์เป็นทางการกับกรุงศรีอยุธยา โดยแต่งตั้งให้เพื่อรายงานให้ทราบถึงการที่ปอร์ตุเกศได้เข้าครอบครองมะละกาซึ่งเคยมีความสัมพันธ์กับกรุงศรีอยุธยามาก่อน

                พระบรมราชาที่สองได้ทรงแต่งตั้งทูตไทยให้ร่วมเดินทางกับเฟอร์นันเดสไปยังมะละกา และก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าทางไทยได้แสดงความไม่พอใจอย่างหนึ่งอย่างใดในการขยายอำนาจของชาวยุโรปในครั้งนั้น และในปีต่อมา มิรันดา เดอ อะเซเวโด  (MIRSNDA DE AZEVEDO)  ก็ได้เดินทางจากมะริด เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาอันเป็นผลให้ควร์ดเด โคอลโฮ (DVARTE COELHO)  เข้ามาทำสัญญาค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ. 2059 หรือ ค.ศ.1516  ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ประเทศสยามได้มีสัญญากับประเทศในยุโรป สัญญาฉบับนี้ได้อนุญาตให้ชาวปอร์ตุเกศเข้ามาค้าขายที่อยุธยาและหัวเมืองช่ายทะเลต่าง ๆ ส่วนเรื่องมะละกา นั้นมิได้ระบุไว้ จังเป็นที่เข้าในว่าทางอยุธยายอมรับสภาพเพราะมิใช่เมืองในประราชอาณาเขตโดยตรง

                ในช่วงปี พ.ศ. 2059 ถึง 2081 หรือ ค.ศ. 1516 ถึง 1538 จงมีชาวปอร์ตุเกศเข้ามาอยู่ในเมืองไทยเป็นจำนวนมาก มีทั้งที่เข้ามาฝึกทหารให้ใช้ปืนแบบยุโรปและเข้ามาค้าขาย ปืนก็คงเป็นสินค้าที่ชาวปอร์ตุเกศนำเข้ามาแลกเปลี่ยนกับสินค้าท้องถิ่นในช่วงนี้ก็คงมีชาวปอร์ตุเกศเข้ามาอยู่ที่เกาะถลางและบริเวณใกล้เคียงที่มีการผลิตดีบุกแต่ก็ไม่มีหลักฐานว่าทางกรุงศรีอยุธยาได้แต่งตั้งชาวปอร์ตุเกศให้เป็นเจ้าเมืองภูเก็ต ในสมัยพระเจ้ารามาธิบดีที่สอง พระบรมราชาที่สี่ หรือรัชกาลต่อมาซึ่งมีชาวปอร์ตุเกศเข้ามาเป็นทหารรับจ้างให้ฝ่ายพม่าและไทย อันเป็นสมัยเปิดฉากสงครามอันยืดเยื้อระหว่างประเทศทั้งสองนี้ ในสมัยของพระเจ้าเอกาทศรถ ทางกรุงศรีอยุธยาก็ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อปอร์ตุเกศ เพราะปรากฏว่าในปี พ.ศ. 2149 หรือ ค.ศ. 1606 ทางกรุงศรีอยุธยาได้ส่งราชทูตไทยไปเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับปอร์ตุเกศที่สำนักอุปราชของปอร์ตุเกศที่เมือง โกอา (GOA) ทางบฝั่งตะวันตกของอินเดีย  และอีกสองปีต่อมาทางปอร์ตุเกศได้ส่งบัลธาซาร์ เดอซีเควียรา (BALTHAZAR DE SEQUEIRA) ซึ่งเป็นพระในนิกายเยซอิท เข้ามาเผยแพร่ศาสนาในกรุงศรีอยุธยา

                 แต่อย่างไรก็ดี ปอร์ตุเกศก็เริ่มมีคู่แข่งขัน เมื่อพ่อค้าชาวฮอลันดา ได้เริ่มเข้ามาติดต่อกับกรุงศรีอยุธยา และในปี พ.ศ. 2151 หรือ ค.ศ. 1608 ทางกรุงศรีอยุธยาก็ได้แต่งตั้งราชทูตไปเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับประเทศฮอลันดา และนับเป็นครั้งแรกที่คระทูตไทยได้เดินทางไปยุโรปเพื่อทำสัญญาที่กรุงเฮก ในปีต่อมา

                การค้าขายกับชาวยุโรปได้ทำให้เกาะถลางมีความสำคัญขึ้น เพราะมีสินค้าที่ชาวยุโรปต้องการ คือ ดีบุก ชาวฮอลันดาสนใจในการซื้อดีบุกจากเกาะถลางมาก จนได้เข้ามาตั้งห้างรับซื้อดีบุก เมื่อปี พ.ศ.  2169  หรือ ค.ศ. 1626  เชอวาเลีย เดอ โซมองต์ราชทูตฝรั่งเศสในรัชสมัยนารายณ์มหาราชได้บันทึกไว้ว่า สินค้าสำคัญของสยาม คือ ดีบุก และดีบุกส่วนใหญ่ก็ได้มาจากเกาะภูเก็ต ซึ่งเป็นเหตุให้พวกปอร์ตุเกศมาตั้งห้างรับซื้อดีบุกในเกาะนั้น ตั้งแต่ พ.ศ. 2126 ถึง 2135 แล้วต่อมาพวกฮอลันดาได้เข้าไปดำเนินการแต่ก็ทำอยู่ได้ถึง พ.ศ. 2210 หรือ ค.ศ. 1667 จึงเกิดวิวาทกับชาวเมืองจนถูกฆ่าฟันล้มตายหมดสิ้น และก็ไม่มีหลักฐานว่าชาวฮอลันดาได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองภูเก็ตในสมัยนั้นหรือไม่

                ที่เรียกกันว่า เกาะภูเก็ต หรือ เมืองภูเก็ตนั้นคงมาจากเมืองใหม่ในเกาะถลาง   เพราะแต่เดิมนั้นมักจะเรียกว่า เกาะสลาง  ฉลาง หรือ  ถลาง  และชาวต่างประเทศก็มักจะเรียกว่า จังซีลอน (JUNKCEYLON) เข้าใจว่าภูเก็ตเป็นเขตเมืองใหม่ ที่ตั้งขึ้นภายหลังเมื่อมีการค้าดีบุกกับต่างประเทศ คุณสุนัย ราชภัณฑารักษ์ ให้ความเห็นว่า เป็นเมืองฝรั่งได้ตั้งห้าง โกดังสินค้า เพื่อเก็บดีบุกก่อนที่จะขนถ่ายไปขึ้นเรือเพื่อส่งไปต่างประเทศ ส่วนเมืองเล็ก ๆ ที่ขึ้นกับเมืองภูเก็ต ก็คงเป็นชุมชนที่ผลิตดีบุกต่าง ๆ และในบรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายซึ่งเป็นผู้ที่ราษฎรให้ความนับหน้าถือตานั้นก็อาจมีทั้งฝรั่งและไทย และเข้าใจว่าเมืองภูเก็ตนั้นได้มีมาก่อนที่พวกฮอลันดาจะเข้ามาทำการค้าขาย เพราะในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นได้ริเริ่มทำการติดต่อทางพาณิชย์กับชาวยุโรปตั้งแต่รัชสมัยพระรามาธิบดีที่สอง  คุณสุนัยยังได้บรรยายไว้ว่า  “จึงอาจสันนิษฐานได้แน่ชัดว่า เมืองภูเก็ตแรกเริ่มเดิมทีคงจะตั้งขั้นบนเกาะทางใต้ในบริเวณที่มีภูเขา--- ฉะนั้น เมืองภูเก็ตเดิมคงจะตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มเขา ซึ่งปัจจุบันเป็นตำบลกะทู้ ที่ตั้งอำเภอกะทู้ อันเป็นตำบลที่ยังมีแร่ดีบุกอุดมสมบูรณ์อยู่บัดนี้และมีทางออกไปสู่ทะเลอันดามันได้ง่ายโดยเดินข้ามช่องเขาเตี้ย ๆ ออกไปยังอ่าวป่าตอง ณ ที่บริเวณนี้เดิมคงมีชื่อซึ่งชาวพื้นเมืองเรียกกันว่า บูเก๊ะกอตอ (คือภูเกากำแพง)  ตามลักษณะทำเลซึ่งมีภูเขาเรียงรายคล้ายกับเป็นกำแพง  และเขาลูกหนึ่งคงก็คงจะมีชื่อว่า บูเก๊ะบาตู (คือภูเขาหิน)  ส่วนอ่าวซึ่งเป็นท่าเรือสำหรับขนส่งดีบุกไปยังต่างประเทศก็คงจะเรียกกันว่า กรากอตอ หรือ กราบาตู ตามชื่อภูเขานั้น ชื่อกรากอตอนี้ เมื่อออกเสียงสั้น ๆ เร็ว ๆ ก็จะเป็นกรากะตอ หรือ กระตอ แล้วก็กลายเป็นกระตอง  ไป  ภายหลังก็เลยเปลี่ยน กระ ให้เป็นภาษาไทยว่า ปาก จึงเป็น  ปากตอง  แล้วก็หดสั้นลงอีกเป็น ประตองแล้วต่อมาเมื่อเห็นว่า ประตอง ไม่มีความหมาย ก็เลยขยายออกไปใหม่ ให้เป็น ป่าตอง”

 

                การที่จะเข้าใจว่าทำไม ประเทศ เล็ก ๆ ในยุโรป เช่น ปอร์ตุเกศ และ ฮอลันดา จึงสามารถเข้ามาติดต่อค้าขายในดินแดนสยามได้ก่อนประเทศใหญ่ ๆ เช่น อังกฤษ หรือ ฝรั่งเศส นั้น ก็จะต้องเข้าใจประวัติศาสตร์ยุโรป ในปลายคริสต์ศตวรรษที่  14 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 นักเดินเรือสเปญนำโดย โคลัมบัส ได้สามารถแล่นใบไปติดต่อกับทวีปอเมริกาได้สำเร็จ ส่วนนักเดินเรือปอร์ตุเกศนำโดย วาสโก ดา กามา ก็สามารถแล่นใบอ้อมแหลมอัฟริกาใต้มาทางมหาสมุทรอินเดียได้สำเร็จ อันเป็นเหตุให้สันตะปาปาอเลกซานเดอร์ ที่ 6  ได้ออกประกาศ ยกอำนาจการเดินเรือทำมาค้าขายในดินแดนที่พบใหม่ ในทวีปอเมริกา  และ เอเชีย ให้แก่ สเปญ และ ปอร์ตุเกศมีโอกาสร่ำรวยของดินแดนที่พบใหม่เหล่านี้ก็เกิดความริษยาจากบรรดาพ่อค้าที่ไม่เห็นด้วยที่จะให้สเปญและปอร์ตุเกศมีโอกาสร่ำรวยแต่เพียงสองประเทศ

                พ่อค้าในประเทศอังกฤษ ซึ่งได้แยกตัวออกจากอิทธิพลของระบบโรมัน คอธอลิค  และพ่อค้าฮอลันดา ซึ่งกำลังหันมานิยมนิกายใหม่ของลูเธอร์และแคลวิน จึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเชื่อฟังคำประกาศของสันตะปาปาอเลกซานเดอร์ที่ 6

                ฮอลันดาที่เคยอยู่ในเขตปกครองของสเปญนั้น ก็ได้ทำสงครามดิ้นรนออกจากอำนาจสเปญ  โดยอาศัยอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นที่พึ่ง แม้แต่พระนางเจ้าอลิสเบธที่  1  ตอบสนอง ในปี พ.ศ. 2128 หรือ ค.ศ. 1585 อังกฤษได้ทำสัญญาส่งทหาร 6,000 คนไปช่วยเนเธอร์แลนด์   แต่เนเธอร์แลนด์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย และยอมให้อังกฤษเข้าไปใช้ป้อมปราการ และหัวเมืองชายทะเล  3 แห่ง คือ ฟลัชชิง (FLUSHING) บริเอ  (BRIELLE) และ รัมมิเคนส์ (REMMEKENS)  สำหรับแคว้นฮอแลนด์และซีแลนด์  ซึ่งเป็นเมืองพ่อค้าชายทะเล ก็ได้เลือกเจ้าชายมอริส (MAURICE) ให้เป็นประมุขตั้งแต่มีพระชนมายุเพียง  17  พรรษา

                ในปี พ.ศ. 2152  สเปญอ่อนแอลงมากเพราะต้องทำสงครามต่อสู้กับฝรั่งเศส  อังกฤษ  และเนเธอร์แลนด์  จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2191 หรือ ค.ศ. 1648  สเปญจึงได้ยอมรับรองเอกราชของเนเธอร์แลนด์  และแคว้นฮอแลนด์ก็เข้าสู่ยุคศตวรรษทอง (GOUDENEEUW) 

                ในปี พ.ศ. 2193 หรือ ค.ศ. 1650  ฮอลันดามีเรือรบมากกว่าอังกฤษและฝรั่งเศสรวมกัน พ่อค้าฮอลันดาได้ส่งเรือออกไปติดต่อค้าขายทั่วโลก ทั้งในทะเลบอลติกในยุโรป  ตลอดจนทวีปอเมริกา อัฟริกา และเอเซีย  กรุงแอมสเตอร์ดัมได้กลายเป็นเมืองหลวงชั้นนำในยุโรป  ทั้งด้านศิลปกรรม และการกินอยู่ จากความร่ำรวยในการประมง และการพานิชย์ กับนานาชาติ

                ในการค้าทางด้านเอเชียนั้น ชาวฮอลันดาได้ตั้งบริษัท ดัชท์ อีสท์ อินเดียขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2145  หรือ ค.ศ. 1602  ในระหว่างที่ยังคงทำสงครามต่อสู้สเปญ เมื่อก่อน   พ.ศ. 2123  ฮอลันดา เคยทำการค้าขายกับปอร์ตุเกศในยุโรปโดยซื้อสินค้าที่ชาวปอร์ตุเกศนำมาจากเอเซีย  แล้วขนถ่ายจากกรุงลิสบอนไปขายในยุโรปตอนเหนือ  แต่เมื่อปอต์ตุเกศกับสเปญได้รวมตัวเป็นราชอาณาจักรเดียวกัน  กษัตริย์สเปญก็ไม่อนุญาตให้ปอร์ตุเกศทำการคาขายกับฮอลันดาจึงจำเป็นต้องดิ้นรนหาทางส่งเรือไปยังดินแดนในเอเซียจนสำเร็จ  และสามารถทำสัญญาค้าขายกับสุลต่านแห่งบันตัม  ในชวา  ได้ในปี  พ.ศ.  2140  หรือ ค.ศ. 1597  เมื่อพ่อค้าฮอลันดาแก่งแย่งค้าขายกันเองมากขึ้น  ทางรัฐบาลจึงได้ยื่นมือเข้ามารยบรวมพ่อค้ามาตั้งบริษัท  ดัชท์  อิสท์  อินเดีย  ขึ้น   เพื่อให้มีวามเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  ที่จะเข้าไปค้าขายในเอเซีย  และต่อสู้อิทธิพลของสเปญและปอร์ตุเกศ  บริษัทดังกล่าวมีอำนาจผูกขาดการค้าขายกับหมู่เกาะอินเดียตะวันออกและบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิคและอินเดีย  ตลอดจนอำนาจในการสร้างป้อมปราการ  และทำสงคราม บริษัทมีสำนักงานในภาคตะวันออกที่เมืองปัตตาเวียในเกาะชวา  บริษัทสามารถทำการค้าขายรุ่งเรืองตลอด จากปี  พ.ศ. 2148  (ค.ศ. 1605)  จนถึงปี  พ.ศ. 2212 (ค.ศ.  1669)  เมื่อสามารถมีเรือพาณิชย์ได้รวม  150  ลำ เรือรบ  40  ลำ พร้อมทั้งทหาร  10,000  คน  และจ่ายเงินปันผลได้ถึงร้อยละ 40

                ด้วยความสำเร็จดังกล่าว  พ่อค้าชาวฮอลันดาจึงสามารถเข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ  จนกระทั่งได้มีการทำสัญญา  และไทยได้ส่งราชทูตไปคำนับเจ้าชายมอริส  ในยุโรป  ในปี  พ.ศ. 2152  (ค.ศ. 1609)  ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

                ในรัชสมัยของพรเจ้าทรงธรรมนั้น  ชาวยุโรปได้เข้ามาค้าขายในประเทศสยามหลายชาติหลายภาษาด้วยกัน  เมื่อพระเจ้าทรงธรรมซึ่งมีพระชนมายุได้เพียง  38  พรรษา  ได้สวรรคตเมื่อวันที่  22  ธันวาคม  พ.ศ.  2171  (ค.ศ. 1628)  นั้น  ชาวฮอลันดาได้เข้ามาตั้งห้างรับซื้อดีลุกที่เกาะภูเก็ตมาแล้วกว่า 2 ปี

                ในรัชกาล  พระเจ้าปราสาททอง ความสัมพันธ์กับชาวต่างชาติได้เริ่มเสื่อมลงชาวปอร์ตุเกศถูกจับ  หมู่บ้านญี่ปุ่นอยุธยาถูกโจมตี  จนชาวญี่ปุ่นต้องหนีไปอยู่ประเทศเขมร  เพราะญี่ปุ่นไม่รับราชทูตของพระเจ้าทรงธรรม  แต่ชาวฮอลันดาก็ยังคงค้าขายต่อไปได้ในกรุงศรีอยุธยา  และเจ้าชายเฟรเดริค  เฮนรี ที่ได้เป็นประมุขต่อมาจากเจ้าชายมอริส  ก็ยังคงมีสาส์นถึงพระเจ้าปราสาททอง

                แต่ต้นปี  พ.ศ.  2182  (ค.ศ.  1639)  ได้เกิดการทะเลาะวิวาทระหว่างคนไทยกับชาวฮอลันดา  แต่ต่อมาทางฮอลันดาก็ยังคงช่วยเหลือ  พระเจ้าปราสาททองในการส่งเรือไปต่อสู้กับเจ้าปัตตานี และสงขลา

                ต้นปี  พ.ศ. 2207  (ค.ศ.  1664)  ทางฮอลันดาได้ขอสิทธิพิเศษต่าง ๆ  ในการค้าเพราะไม่พอใจที่อังกฤษได้เข้ามาแข่งขัน  เมื่อพระนารายณ์มหาราชไม่ทรงยินยอมทางฮอลันดาได้ส่งเรือรบหลายลำมาปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา จนกระทั่งฝ่ายไทยต้องจำนนทำสัญญาให้ฮอลันดาผูกขาดการค้าหนังสัตว์  และห้ามมิให้ไทยว่าจ้างคนจีน  ญี่ปุ่น  หรือญวนมาใช้ในเรือไทย  และให้คนฮอลันดามีสิทธิพิเศษไม่ต้องขึ้นศาลไทย  การปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยาข่มขู่ครั้งนี้  ทำให้พระนารายณ์มหาราชเริ่มหาทางที่จะผูกสัมพันธ์ไมตรีกับชาวยุโรปชาติอื่น ไ เพื่อจะถ่วงดุลอำนาจ  เท่าที่มีหลักฐานปรากฏ  ชาวอังกฤษได้เจ้ามาติดต่อกับเกาะถลาง  ครั้งแรกก่อนหรือในปี  พ.ศ. 2135  หรือ  ค.ศ. 1592  ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว  ตามบันทึกของเอดมันด์  บาร์เกอร์  ซึ่งเป็นทหารประจำอยู่ในหมู่เรือของเซอร์ เจมส์ แลนแคสเตอร์  และในทำนองเดียวกันกับฮอลันดา อังกฤษได้ตั้งบริษัท  อีสท์  อินเดีย  ขึ้นเพื่อปกป้องการค้าขายของอังกฤษในอินเดียและเอเซียอาคเนย์   บริษัทนี้ไม่มีหนังสือบริคณฑ์สนธิ  หรือการจดทะเบียนแต่อาศัยพระราชอำนาจผูกขาดให้แก่บริษัท  ดังที่พระเจ้าชาลส์ที่สองได้ประกาศให้อำนาจแก่บริษัท  ในปี  พ.ศ.  2205  หรือ  ค.ศ. 1662  แต่ผู้เดียว  และห้ามมิให้คนในบังคับอังกฤษอื่นใดเข้าไป  หรือทำการค้าในดินแดนอินเดียตะวันออก  ผู้ถือหุ้นในบริษัทนี้ล้วนแต่เป็นคนในหมู่คณะในวงจำกัด  และพระเจ้าชาลส์ที่สองก็ไดรับส่วนแบ่งและของถวาย คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 324,150  ปอนด์สเตอร์ลิง ในช่วงปี  พ.ศ. 2203  (ค.ศ. 1660)  ถึงปี พ.ศ. 2227  (ค.ศ. 1684)  หรือประมาณ  13,500  ปอนด์ต่อปี  ค่าของเงินปอนด์เมื่อสามร้อยกว่าปีมานั้นคิดเป็นน้ำหนักเท่ากับโลหะเงิน  จึงมีพลังซื้อมากกว่าในปัจจุบันหลายร้อยเท่า  เพราะว่าไก่ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งจะหาซื้อได้ในราคาหนึ่งฟาร์ธิงเท่านั้น  เมื่อเทียบกับในปัจจุบันซึ่งถ้าโชคดีอาจซื้อไก่ได้ในราคาตัวละ  2  ปอนด์  ฉะนั้นจังไม่นาประหลาดในที่ชาวอังกฤษส่วนใหญ่ไม่พร้อมที่จะยินดีรับการผูกขาดการค้าของกษัตริย์  เมื่อประชาชนจำนวนมากยังคงยากจนจะหาไก่มารับประทานเดือนละครั้งแสนยาก  ทั้ง ๆ  ที่พระเจ้าชาลส์ที่สองเองก็ได้ทรงกลับมาเป็นประมุขของประเทศอังกฤษหลังจากชัยชนะของรัฐสภาเหนือราชบัลลังก์และกองทัพ

                ในช่วงที่ประเทศอังกฤษมีการจลาจลวุ่นวายเปลี่ยนระบบการปกครองก่อนที่จะอัญเชิญพระเจ้าชาลส์ที่สองกลับมาครองราชย์นั้น  พ่อค้าฮอลันดาได้แผ่อิทธิพลไปทั่วโลกทั้งด้านมหาสมุทรอินเดีย  อัฟริกา  ตลอดจนฝั่งแม่น้ำฮัดสันในอเมริกาเหนือ  ดยุคแห่งยอร์ค  (DUKE OF YORK)  ผู้เป็นแม่ทัพเรืออังกฤษ  ในรัชสมัยของพระเจ้าชาลส์ที่สองจึงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐสภา  ซึ่งเป็นผู้แทนของพ่อค้าอังกฤษที่รู้สึกริษยาชาวฮอลันดาที่ร่ำรวยในช่วงที่อังกฤษระส่ำระส่าย  รัฐสภาอังกฤษได้อนุมัติงบประมาณ  2  ล้าน  5  แสนปอนด์  เพื่อต่อเรือใหม่กว่าร้อยลำ  ซึ่งมีปืนใหญ่ที่ทันสมัยติดตั้งในเรือ  และพร้อมที่จะเข้าเผชิญหน้ากับเรือของชาวฮอลันดา  ในปี  พ.ศ.  2207  หรือ  ค.ศ. 1664  ได้เกิดการปะทะทางเรือครั้งใหญ่  ซึ่งอังกฤษใช้เรือ  150  ลำ  ติดปืนใหญ่  5,000  กระบอก  พร้อมทั้งลูกเรือ  25,000 คน เข้าต่อสู้กบทัพเรือฮอลันดา  นอกฝั่งโลเวสทอฟท์  (LOWESTOFT)  ในการรบทางทะเลในเดือนมิถุนายนปีนั้น  ทั้งสองฝ่ายต้องเสียหายล้มตายอย่างยับเยิน และเมื่อทางฝ่ายฮอลันดาได้ตัดสินในเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ เพื่อหลบไปใช้น่านน้ำในประเทศนอร์เวย์ที่ถูกเรืออังกฤษติดตามเข้าไปรังควาญ  จึงเป็นเหตุให้ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่มสแกนดิเนเวีย  และฝรั่งเศสเจ้าร่วมสงครามช่วยเหลือฮอลันดา จนในที่สุด ในปี พ.ศ. 2209  หรือ ค.ศ.  1666  ทัพเรืออังกฤษถูกทัพเรือฮอลันดาตีแตก  และต้องถอยจากช่องแคบอังกฤษกลับเข้าแม่น้ำเธมส์  แต่อย่างไรก็ดีในช่วงที่มีการทำสงครามทางเรือระหว่างอังกฤษกับฮอลันดาอย่างรุนแรง  ในปี  พ.ศ. 2207 (ค.ศ. 1664)  นั้น  ทัพเรืออังกฤษสามารถยึดเมือง นิวอัมสเตอร์ดัม  ที่ปากแม่น้ำฮัดสันในทวีปอเมริกาเหนือมาได้และได้เปลี่ยนชื่อเป็น เมืองนิวยอร์ค  เพื่อเป็นเกียรติให้แก่คยุคแห่งยอร์ค  ต่อมาเมื่อได้มีการทำสัญญาระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสที่โดเวอร์  (TREATY OF DOVER)  ในปี พ.ศ. 2211 หรือ  ค.ศ. 1670  ซึ่งพระเจ้าชาลส์ที่สองได้ทรงรับเงินสินบนจากพระเจ้าหลุยส์ที่  14  ยอมเข้ารับนับถือศาสนาโรมันคอคาธอลิค ทางฝรั่งเศสจึงนกลับมาช่วยอังกฤษปราบปรามฮอลันดาทั้งทางลกและทางทะเล   ชาวอังกฤษส่วนใหญ่ที่ได้เคยลบล้างอิทธิพลนิกายโรมันคาธอลิคมานานแล้ว  จึ่งได้เริ่มต่อต้าน เพราะเกรงว่าคริตจักรโรมันคาธอลิคภายใต้อำนาจของสันตะปาปาจะตามกษัตริย์กลับเข้ามาครอบครองประเทศอีก  การต่อต้านเช่นนี้ได้นำไปสู่การวางแผนจนสามารถจัดให้เจ้าหญิงแมรี่ ธิดาของคยุคแห่งยอร์ค  เข้าพิธีสมรสกับเจ้าชายวิลเลี่ยม แห่งออเรนจ์  ซึ่งเป็นผู้นำนิกายโปรเตสในฮอนแลนด์  อันนำไปสู่สันติภาพระหว่างอังกฤษ  และฮอลแลนด์ในที่สุด

 

                ในภาวการณ์เมืองระหว่างชาติที่ไม่แน่นอน  ในปี  พ.ศ. 2211  นั้น ห้างของบริษัทอีสท์ อินเดีย  ของอังกฤษที่เมืองมัทราช   (MADRAS)  ในราชอาณาจักรโกลคอนดาของกษัตริย์ในราชวงศ์อิสลาม  แต่มีเจ้าเมืองฮินดูปกครองอยู่นั้น  จึงไม่อยู่ในความมั่นคง  ในเวลาใกล้เคียงกันนั้น  พ่อค้าอังกฤษชื่อ ยอร์ช ไวท์  (GEORGE WHITE)  ได้เข้ามาทำการค้าขายในกรุงศรีอยุธยา  ยอร์ช ไวท์ มีผู้ช่วยที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของประเทศไทยอยู่  2  คน  คือ แซมมวล  ไวท์  ผู้เป็นน้องชาย และคอนตันตีน ฟอลคอน  เนื่องจากทางกรุงศรีอยุธยาเกรงกลัวการขู่เข็ญทางเรือและพยายามจะดิ้นรนให้พ้นภัยจากการคุกคามของพวกฮอลันดา  จึงได้พยายามส่งเสริมสนับสนุนพ่อค้าอังกฤษซึ่งพร้อมที่จะสละตำแหน่งหน้าที่ในบริษัทอีสท์ อินเดีย ของอังกฤษ  มาร่วมในการพาณิชย์กับฝ่ายไทย  ซึ่งจะได้ผลประโยชน์มากกว่า และในที่สุด  แซมมวล ไวท์ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าท่า  ทำการค้าขายให้พระนารายณ์มหาราชอยู่ที่เมืองมะริดซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญของประเทศสยามทางด้านทะเลอันดามัน ส่วน ฟอลคอน นั้นก็เข้ารับราชการเจริญก้าวหน้าจนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาวิชาเยนท์

                เมื่อพ่อค้าอังกฤษคนสำคัญ ๆ  ได้ละทิ้งหน้าที่ในบริษัทมาประกอบการค้าร่วมกับรัฐบาลสยามเป็นผลให้บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ได้ปิดห้างที่อยุธยา  เมื่อต้นปี ค.ศ. 1684  หรือก่อนสิ้นปี พ.ศ. 2227  ผู้จัดการชื่อ วิลเลียม สแตรงห์    (WILLIAM STRANGH)  ได้เขียนจดหมายลาถึง ฟอลคอน  ซึ่งเริ่มต้นด้วยถ้อยความดังต่อไปนี้

                “ผมขอตอบหนังสืออันหยาบช้าซึ่งประกอบด้วย  ข้อกลาวหาเท็จต่าง ๆ  ของท่านลงวันที่  16  และ  24  ธันวาคม  ด้วยการขยายความจากที่ได้อธิบายไว้ก่อนแล้วอย่างสั้น ๆ แต่พอเพียงและตรงไปตรงมา  ในหนังสือลงวันที่  23  ธันวาคมของผม เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะอันไร้ความสุภาพและเข้มแข็งของท่าน อันเกิดจากการที่ท่านได้ล้มลุกคลุกคลานลอยขั้นมาอย่างทันทีทันใดอย่างน่าปลาดใจ  จนได้เป็นถึงขุนนางผู้ใหญ่ ในราชสำนักที่ไร้ศาสนา”

                ทั้งนี้ย่อมแสดงถึงความโกรธแค้นของผู้จัดการห้าง  บริษัทอิสท์ อินเดีย  ของอังกฤษที่มีต่อฟอลคอน  ผู้ซึ่งกีดกันมิให้ บริษัทดำเนินการค้าต่อไปในอยุธยา  จนกระทั่งได้มีการเผาคลังสินค้าของอังกฤษ

                ไม่มีหลักฐานว่ามีพ่อค้าอังกฤษได้เข้ามาเป็นเจ้าเมืองในเกาะถลาง  แต่มีชาวอังกฤษผู้หนึ่ง  ชื่อ  ริชาร์ด เบอร์นาบี (RICHARD  BURNABY)  ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองตะนาวศรี  และต้องเสียชีวิตลงเมื่อบริษัทอิสท์  อินเดีย  ของอังกฤษได้ส่งเรือรบมาปราบปรามเจ้าท่าเมืองมะริดจนเกิดการรบระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่ของอังกฤษกับฝ่ายไทยเมื่อปลายปี ค.ศ.  1687  หรือกลางปี พ.ศ. 2230  สงครามระหว่างบริษัทอังกฤษกับไทยนี้เกิดขึ้นเพราะการแย่งชิงการค้าในอ่าวเบงกอลระหว่างอังกฤษกับ แซมมวล  ไวท์  เจ้าท่าเมืองมะริด  ผู้ทำการค้าแทนกรุงศรีอยุธยา  สงครามครั้งนี้มิได้ขยายตัวออกมากมายเพราะประเทศอังกฤษก็ปั่นป่วนมีสงครามกลางเมือง  จนพระเจ้าเจมส์ที่สอง  ซึ่งเป็นกษัตริย์ในนิกายโรมันคาธอลิด  องค์สุดท้ายของอังกฤษต้องอพยพไปอยู่ในกระเทศฝรั่งเศสในปีต่อมาอังกฤษได้กลับมาสนใจในการค้าดีบุกในเกาะภูเก็ตอักหลังสมันกรุงศรีอยุธยา  และเมื่ออังกฤษมาหกครองเกาะปีนัง  การค้าระหว่างอังกฤษผ่ายปีนังกับภูเก็ตก็ได้ขยายตัวอย่างมากจนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

                ในการที่ฝรั่งเศสได้เข้ามาเผยแพร่ศาสนาในกรุงศรีอยุธยานั้น มีหลักฐานปรากฏว่า  ได้เริ่มตั้งแต่ปี  พ.ศ.  2207  หรือ ค.ศ.  1664  เมื่อบาดหลวง  ปายู (PALLU)  ได้ตัดสินใจว่าคณะสอนศาสนาต่างประเทศในภาคตะวันออกไกลนั้นสมควรจะเปิดสำนักที่กรุงศรีอยุธยา   ในช่วง  25  ปีต่อมา  กิจการของคณะบาทหลวงก็ได้ขยายขึ้น จนมีตึกเป็นอาคารโรงเรือนและมีโบสถ์ขนาดใหญ่ที่บ้านปลาเห็ด และมีบาทหลวงที่ส่งมาจากปารัสรวม  20  รูป  ออกทำหน้าที่ทั้งในกรุงและหัวเมืองต่าง ๆ  สำนักในต่างจังหวัดก็มีเช่นที่บางกอก  และ  พิษณุโลก  เป็นต้น  บาดหลวงฝรั่งเศสนั้นต้องทำหน้าที่ทั้งการสอนศาสนาและการรักษาพยาบาลคนป่วยคนไข้

                ฝรั่งเศสในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่  14  นั้นดูจะสนใจในการเผยแพร่ศาสนามากกว่าการค้า  ขายจากบาทหลวงที่ส่งมาแล้ว  ก็ยังมีผู้ช่วยแพทย์ผู้หนึ่งมาจากกรุงปารีสในปี  พ.ศ. 2220  หรือ ค.ศ.  1677  เพื่อช่วยในการรักษาพยาบาลและจ่ายยา  ผู้ช่วยแพทย์ผู้มีนามว่า เรเน  ชาร์บอนโน  (RENE CHARBONNAU)  ในช่วงที่ฝรั่งเศสมีอิทธิพลมากขึ้นท่านผู้นั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็น  เจ้าเมืองภูเก็ต  แต่อยู่ภูเก็ตไม่นาน ท่านก็กลับมาใช้ชีวิตอันยาวนานอยู่ในอยุธยา  ชาร์บอนโน เป็นชายโสดจนอายุมาก  ก่อนที่จะแต่งงานกับหญิงชาวปอร์ตุเกศ  แลชะมีบุตรด้วยกันหลายคน เท่าที่มีหลักฐานชาร์บอนโน เป็นชาวยุโรปคนเดียวที่ตั้งใจมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศสยามอย่างแท้จริงในสมัยกรุงศรีอยุธยา

                เมื่อสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และทหารฝรั่งเศสที่รักษาป้อมปราการที่บางกอกได้เอาตัวประกันคนไทยแล่นเรือออกไปจากประเทศสยามนั้น จึงได้เกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส  ซึ่งคงเกิดความเข้าใจผิด และฝ่ายไทยก็เกรงกลัวว่าบาทหลวงฝรั่งเศสจะพยายามล้างสมองให้คนไทยนับถือศาสนาโรมันคาธอลิค  ในท่ามกลางความวุ่นวายเช่นนั้น  เจ้าหน้าที่ในกรุงศรีอยุธยาได้จับชาวฝรั่งเศสขังไว้ทั้งหมด   นอกจากผู้ทำหน้าที่แพทย์  3  คน คือ บาทหลวง  โปมาร์ด  (FR.  PAUMARD)  นายแพทย์มาคคารี ( DR. MACCARI)  และ  เรเน ชาร์นบอนโน

                ชาวฝรั่งเศสที่ถูกจับขังเกือบ  70  คนนั้นไม่มีอาหารรับประทาน นอกจากที่จำด้รับความกรุณาจากชาร์บอนโน และบาดหลวงโปร์มาร์ด และบาทหลวงต่างชาติชื่อ มัลโดนาโต อีกคนหนึ่งช่วยทำหน้าที่เป็นผู้นำอาอาหารไปแจกเท่าที่ ชาร์บอนโน จะแสวงหามาได้  นักโทษฝรั่งเศสที่ถูกขังนี้ได้ถูกทรมานอย่างสาหัสเป็นเวลาถึงปีเศษ  จากเดือนพฤศจิกายน  พ.ศ. 2231  (ค.ศ. 1688) ถึงเดือนสิงหาคม  พ.ศ. 2233  (ค.ศ. 1690)    เมื่อนายพลเดฟาซ์ ของฝรั่งเศสได้ปล่อยตัวประกันไทยที่ภูเก็ต ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2234  (ค.ศ. 1691) นักโทษฝรั่งจึงได้รับอิสรภาพ

                การส่งทหารต่างประเทศมายังเมืองไทยในครั้งนั้นเป็นต้นเหตุให้เกิดความระแวงเข้าใจผิดทั้ง ๆ ที่จดประสงค์เดิมของรัฐบาลไทยนั้น ก็เพื่อจะให้ทหารฝรั่งเศสเป็นเครื่องมือที่นะปกป้องมิให้ฮอลันดาแผ่อำนาจเข้ายึดเมืองสำคัญ ๆ ตามชายฝั่งของประเทศไทย เช่น บางกอก  หรือ  ภูเก็ต  ชั่วในระยะ  14   เดือนหลังจากที่ทหารฝรั่งเศสเข้ามาถึงกรุงสยาม ก็จำเป็นต้องอพยพกลับ และทำให้เกิดความบาดหมายระหว่างไทยกับฝรั่งเศสหรือชาวยุโรปทั่วไปเป็นเวลานานกว่าหนึ่งศตวรรษ ก่อนที่ไทยจะยินดีต้อนรับชาวยุโรปอย่างเต็มใจอีก

                ในปี พ.ศ. 2244  (ค.ศ. 1701)   ประมาณสิบปีหลังจากสุดสิ้นกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศสแล้ว   ได้มีการเลิกบริษัท อินเดียตะวันออกของฝรั่งเศส พ่อค้า เมือง ซังท์มาโล ได้เข้ารับโอนกิจการและขอให้รัฐบาลของฝรั่งเศสช่วยติดต่อกับกรุงศรีอยุธยา เพื่อขอใช้เมืองมะริด เป็นท่าเรือในการค้าขายในอ่าวเบงกอลทางกรุรงปารีสได้ติดต่อไปยังเมืองปอนติเซอร์รีของฝรั่งเศสในดินเดียให้ช่วยติดต่อให้เจ้าเมืองปอนดิเชอร์จึงได้มีหนังสือไปถึงสำนักสอนศาสนาในกรุงศรีอยะยา บาดหลวงในกรุงศรีอยุธยาจึงได้ปรึกษากับ เรเน ชาร์บอนโน ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสที่ได้อาศัยอยู่ในอยุธยามานาน และเข้าใจความคิดเห็นของคนไทยได้ดี คำตอบของเชอร์บอนโนมีข้อความดังนี้

           “คนไทยมีความหวงแหน เมืองมะริดและจะไม่ยอมยกให้ใคร นอกจากถูกบังคับและค้าถูกบังคับขู่เข็ญด้วยกำลังทหารให้ยกให้ฝรั่งเศสแล้ว คนไทยก็ตะโกรธแค้นตลอดไป และจะใช้วิถีต่าง ๆ ที่จะทำให้เมืองท่านั้นไร้ประโยชน์ และถ้าทางฝรั่งเศสจะยกทหารเข้ายึดเมืองมะริด ฝรั่งเศสก็จะไม่สามารถรักษาเมืองไว้ได้นานตลอดไป เพราะจะถูกรังควาญจากไทย พม่า และมยายู อย่างไม่สิ้นสุด”

                คำแนะนำของนายแพทย์ผู้เฒ่านี้  ก็เพียงพอที่จะทำให้ฝรั่งเศสเลิกตัดสินใจมาในดินแดนไทย  ในยุคกรุงศรีอยุธยา

                เนื่องจากอดีตเจ้าเมืองภูเก็ตผู้นี้ เป็นผู้ที่ทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศนับถือเป็นจำนวนมากจึงมีคนกล่าวถึงไว้ในเอกสารต่าง ๆ ดังที่จะกล่าวต่อต่อไป

                บันทึกของ มองซิเออร์  เอเรต์ ผู้แทนบริษัทอินเดียตะวันออก  ของฝรั่งเศสเกี่ยวกับภูเก็ตนั้นมีปรากฏในประชุมพงศาวดาร เล่ม 26 ใน “เรื่องเกาะภูเก็ตเกี่ยวกับประเทศสยามอย่างไร”  เขียนที่เมืองภูเก็ต เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2229 (ค.ศ. 1686)  ข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า

          “ข้าพเจ้าจึงขอบอกให้ท่านทราบว่า เมืองภูเก็ต ซึ่งข้าพเจ้าอยู่ในบัดนี้นั้นเป็นเกาะเล็ก ๆ วัดโดยรอบยาวประมาณ  35 ไมล์ ตั้งอยู่ริมทะเลตะวันตกแหลมมะละกาห่างจากฝั่งประมาณระยะทางปืนสั้น และอยู่ระหว่าง 6  และ  8  ดีกรีของลุติจูดเหนือในขณะนี้มีผู้คนน้อยที่สุด ทั้งหมดคงจะมีพลเมืองราว 6,000  คน  รวมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ตามเกาะภูเก็ตนี้เต็มไปด้วยป่าไม้ทึบ ซึ่งมีแต่เสือ ช้าง แรด และสัตว์ร้ายอย่างอื่นอาศัยอยู่เท่านั้น  และแรดนั้นบางทีพวกเราก็ต้องรับประทานเป็นอาหารต่างเนื้อโคก็มี เกาะภูเก็ตนี้ไม่เป็นเมือง  แต่มีราษฎรพลเมืองตั้งบ้านอยู่เป็นหมู่  ๆ  และหมู่บ้านนั้นก็ตั้งอยู่ชายป่าห่าง ๆ กัน แต่ถึงดังนั้น  พวกราษฎรก็เรียกหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดว่าเมือง”

                                ในระหว่างเวลาที่ มองซิเออร์ เรเน ชาร์บอโน มารักษาการอยู่ในเมืองนี้ก็ได้สร้างป้อมเล็ก ๆ ทำด้วยไม้กระดานป้อมหนึ่ง ซึ่งมีหอคอย 4 หอซึ่งก็งดงามอยู่บ้าง พลเมืองในเกาะนี้เป็นคนป่าคนดง หรือจะใช้คำให้ดีหน่อย ก็เป็นคนที่ไม่รู้จักกิริยาสุภาพ ซึ่งในประเทศสยามทั้งพระราชอาณาเขต ไม่มีที่ใดที่จะมีคนเลวทรามเช่นนี้เลย ชาวเกาะนี้อาศัยอยู่ตามป่าตามดง ไม่ทำการงานที่แปลกอย่างใดเลย ทั้งวิชาความรู้ก็ไม่ต้องเสาะแสวงหา การที่ทำอยู่ในทุกวันนี้ก็เพียงแต่ตัดไม้ทำฟืนทำนา และขุดดินเพื่อร่อนหาแร่ดีบุกเท่านั้น แร่ดีบุกนี้เป็นสิ่งสำคัญของเมืองนี้ และที่ได้เกิดมีการค้าขาย และที่ชาวเมืองได้อยู่เลี้ยงชีพไปได้ก็โดยอาศัยแร่ดีบุกนี้เอง เพราะชาวเมืองขุดแร่ดีบุกได้ ก็เอาแร่นั้นไปแลกเปลี่ยนกับพ่อค้าซึ่งนำสินค้ามาจากภายนอกเพื่อเอามาแลกเปลี่ยนกับดีบุกนั้นเอง การค้าดีบุกนี้ได้กำไรมาก เพราะเหตุนั้น บริษัทค้าขายของฮอลันดาซึ่งไปทุกหนทุกแห่งที่เห็นว่าจะหาผลประโยชน์ได้ จึงได้ตั้งห้างใหญ่ในเมืองนี้มาแต่เดิม แต่ได้เลิกห้างไปสัก 14 หรือ 15 ปีมาแล้ว เหตุที่ต้องเลิกห้างไปก็เพราะฮอลันดาจะคิดเอากำไรฝ่ายเดียว พวกชาวเมืองกับพวกแขกมลายูซึ่งมาตั้งบ้านเรือนอยู่ในเมืองภูเก็ต จึงได้ช่วยกันฆ่าฟันพวกฮอลันดาตายเสียหมดสิ้น ตั้งแต่นั้นมา บริษัทฮอลันดา ก็หาได้ส่งคนออกมาอีกไม่

                มองซิเออร์ เวเรต์ สรุปบันทึกของเขาว่า “การที่มีดีบุก อำพัน และไข่มุก ซึ่งหาได้ในเมืองนี้ ทั้งเป็นเมืองที่อยู่ชายแดนด้วนนั้น จึงต้องนับว่าเมืองนี้เม่ากับเป็นกุญแจของประเทศสยาม และเป็นเมืองที่สำคัญของพระเจ้ากรุงสยามเมืองหนึ่ง”

                เยรินี ได้เขียนไว้ว่า มองซิเออร์ บิลลี หรือ บิญี (BILLI) ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองภูเก็ต ในปี พ.ศ. 2228 (ค.ศ.1685) และไม่ได้อยู่ที่ภูเก็ต เมื่อนายพล เดฟาซ์ (DESFARGES) ได้นำหมู่เรือฝรั่งเศส 5 ลำ เดินทางมาในปี พ.ศ. 2232 (ค.ศ.1689) เพื่อจะหาทางเจรจาคืนตัวประกันแลกเปลี่ยนกับการกักขังชาวฝรั่งเศสในกรุงศรีอยุธยา และเขียนอ้างว่า เกอร์แวส์ (GERVAIS) ซึ่งอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ระหว่างปี พ.ศ. 2224 ถึง 2228 (ค.ศ. 1681-1685) ได้บันทึกไว้ว่า ชาร์บอนโน (CHARBONNERAU) ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสยามให้ดูแลเกาะภูเก็ต และได้เข้าไปปกป้องอย่างมั่นคง ไม่ยอมได้ฮอลันดาเข้ายึดเกาะนั้นได้

                สำหรับ มองซิเออร์ บิลลี หรือบิญี (BILLI) ผู้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองภูเก็ตนั้น อาจจะได้รับแต่งตั้ง ใน พ.ศ. 2228 (ค.ศ. 1685) จริงตามที่ เยรินีได้เขียนไว้ แต่ ม. บิลลี เคยทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการวังของ เชวาเลีย เดอ โซมองต์ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นราชทูตฝรั่งเศสคนแรกที่เดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยาในปลายปี ค.ศ. 1685 และได้ลงนามในสัญญาลงวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2228 (ค.ศ. 1685) เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางศาสนาและการค้า บริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศสได้รับอนุญาตให้ค้าอย่างเสรี โดยเสียภาษีขาเข้าและขาออก และการซื้อขายต้องผ่านคลังสินค้าของหลวง ผู้จัดการบริษัท ได้รับสิทธิปกครองผู้คนที่เข้ามาทำการค้าขายด้วย พร้อมทั้งสิทธิผูกขาดการซื้อดีบุกที่เกาะภูเก็ต ส่วนทางสงขลานั้นก็ได้รับสิทธิในการสร้างป้อมปราการ

                สำหรับเจ้าเมืองภูเก็ต ชาวฝรั่งเศสคนที่สองนี้ ไม่มีหลักฐานว่าเป็นเจ้าเมืองที่มีคนรักใคร่เป็นพิเศษ และคงจะมาอยู่ที่ภูเก็ต จนสิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งเป็นช่วงที่คนไทยเริ่มสงสัยใจเจตนาของฝรั่งเศส แต่มีชื่อประกฎใน จดหมาย ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2228 (ค.ศ. 1685) ที่ มองซิเออร์ เดอ ลูแวง เขียนไว้ว่า  “ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างยิ่งที่ ได้พบมองซิเออร์ เดอ บิลลี ในเวลาที่ เซอวาเลีย เดอ โซมองต์ ราชทูตของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้เข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีกับพระเจ้ากรุงสยาม ข้าพเจ้าได้ลงไปที่เรือเพื่อคำนับท่านราชทูต เพราะถือว่าท่านราชทูตเป็นหัวหน้าห้างฝรั่งเศส แล้วท่านมองซิเออร์ เดอ บิลลี จึงได้ส่งหนังสือที่ท่านฝากมาให้ข้าพเจ้า” ซึ่งก็ทำให้เข้าใจได้ว่า มองซิเออร์ เดอ บิลลี นี้คงจะเดินทางมากรุงศรีอยุธยา เมื่อปลายปี ค.ศ. 1685 (พ.ศ. 2228) พร้อมกับคณะราชทูตของเชอวาเลีย เดอ โซมองต์ เพราะเป็นผู้บัญชาการปราสาทของเดอ โซมองต์ ในประเทศฝรั่งเศส และก็คงได้มาทำหน้าที่เป็นเจ้าเมืองภูเก็ต ในปีถัดมา คือ ค.ศ. 1686 ซึ่งอาจเป็นปลาย พ.ศ. 2228 หรือ ในปี พ.ศ. 2229 ก็ไม่แน่ เพราะการเริ่มต้นปีใหม่ไม่ตรงกัน และ ม.บิลลี ก็คงจะอยู่ที่ภูเก็ตเพียงเวลาไม่เกิน 2 ปี จึงไม่ค่อยจะเป็นที่รู้จักกัน

                ที่ฝรั่งเศสเรียกว่าภูเก็ตนั้น ก็ไม่มีหลักฐานแน่นอนว่าหมายถึงเกาะภูเก็ตทั้งเกาะ หรือ เมืองภูเก็ต หรือเขตปกครองตอนใต้ของกุ ตามที่ใช้ในการปกครองในยุคต่อมา แผนที่ฝรั่งเศสโบราณ PLAN DE’L’ISLE JUKE SEILON แสดงเมือง PUQUET ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของอ่าวฉลอง ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะ นอกจากนั้นแล้วยังแสดงว่าอยู่ใกล้คลองหรือแม่น้ำทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของอ่าวฉลอง ซึ่งอยู่ตรงกับที่ตั้งคลองมุดงในปัจจุบัน แผนที่ฝรั่งเศสฉบับนี้แสดงที่ตั้งเมืองใหญ่ที่สุด อยู่ริมคลองหรือแม่น้ำใกล้ๆ บ้านท่าเรือในปัจจุบัน ทางด้านตะวันตกของเกาะก็มีเมืองหรือชุมชนเรียกว่า PUTOM ก็คงจะเป็น ปะตอง หรือป่าตอง ในปัจจุบัน จึงน่าจะสันนิษฐานได้ว่าชาวยุโรปเมื่อสามร้อยปีมานั้น ใช้เรือใบเข้ามาในอ่าวฉลอง เพื่อติดต่อกับภูเก็ต นอกจากอ่าวท่าเรือหรือสะปำ ในยุคปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา และสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จึงมีหลักฐานปรากฏว่าได้มีเรือใบต่างประเทศเข้ามาติดต่อทางด้านอ่าวทุ่งคา และที่ท่าแครง หลักจากที่ได้มีการทำเหมืองแร่ดีบุกที่ ระเง็ง หล่อโรง และทุ่งคา

                เมื่อสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในปี พ.ศ. 2231 (ค.ศ. 1688) แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศยุโรปก็เริ่มเสื่อมคลาย ถึงแม้ว่าพ่อค้าชาวฮอลันดาจะพยายามจะแผ่อิทธิพลกลับเข้ามาอีก และมีการเปิดห้างที่ปัตตานีขึ้นอีก แต่ก็ไม่ได้กลับเข้ามาที่ภูเก็ต ประเทศต่าง ในยุโรป ก็วุ่นวายด้วยสงคราม พระเจ้าวิลเลี่ยมที่สามของฮอลันดา ซึ่งมีมเหสีเป็นเจ้าหญิงแมรีของอังกฤษได้ยกทัพเข้าไปในอังกฤษ จนพระเจ้าเจมส์ที่สอง ของอังกฤษต้องหนีอพยพไปอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ฝรั่งเศสต้องประกาศสงครามกับอังกฤษ ซึ่งได้กลับเป็นพันธมิตรกับฮอลันดา ในต้นปีต่อมา พระเจ้า        วิลเลี่ยมและราชินีแมรี ได้สวมมงกุฎเป็นกษัตริย์อังกฤษ และเริ่มเปิดฉากสงครามศาสนาระหว่างนิกายโรมันคาธอลิต กับนิกายใหม่  ๆ ที่แยกตัวออก สงครามศาสนานี้ยืดเยื้อไปเป็นเวลา 9 ปี และต่อมาอีกเพียง 4 ปี ก็เกิดสงครามชิงการสืบสันติวงศ์สเปน ใน พ.ศ. 2250 (ค.ศ. 1701) จนถึงปี พ.ศ. 2262 (ค.ศ. 1713) จึงได้มีการสงบศึกทำสัญญาที่เมือง ยูเทรด (UTRECHT)  ในประเทศฮอลแลนด์ การค้าดีบุกในภูเก็ตจึงต้อง ชะงักไปจนกระทั่งสิ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา และก็ไม่มีเจ้าเมืองภูเก็ตที่มีความสำคัญมากพอที่จะมีชื่อปรากฏ ในประวัติศาสตร์นอกจากจอมร้าง บ้านตะเคียน บิดาของ ท้าวเทพกระษัตรี เจ้าเมืองถลาง การแต่งตั้งเจ้าเมืองก็เป็นการแต่งตั้งจากนครศรีธรรมราช เพราะความสำคัญของภูเก็ตนั้นอยู่ที่การค้าดีบุก

เมื่อกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าตีแตก ทางเมืองไทรบุรีก็เคยยกทัพเรือมาตีเกาะภูเก็ต และยึดเกาะภูเก็ตไว้ได้ชั่วคราว และก็ถูกชาวเมืองขับไล่ไปได้สำเร็จ เมื่อพระยาพิมลได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองถลาง ประเทศสยามอยู่ในความระส่ำระสาย กัปตันเจมส์ ฟอร์เรสท์ (CAPTAIN FAMES FORREST) ได้เขียน เล่าถึงการเดินทางไปเกาะภูเก็ตสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อพระยาพิมลเป็นเจ้าเมือง และมีผู้ช่วย 3 คนคือ พระยาทุกขราษฎร์ พระยาสุรินทรราชา และพระยาลังการักษ์ เน้นถึงเรื่องการที่ชาวเกาะที่ทำมาหากินด้วยการขุดแร่ดีบุก ต้องถูกกดขี่มากกว่าเดิม เพราะทางราชการได้ให้คนจีนเจ้าของโรงถลุงผูกขาดการถลุงแร่ดีบุก นอกจากหักน้ำหนักเป็นค่าสูญเพลิงแล้ว ยังเก็บค่าถลุงอีกร้อยละ 12 แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือการเก็บค่าภาคหลวงก่อนจะขายไปนอกประเทศอีกร้อยละ 25 ชาวเหมืองแร่ภูเก็ตจึงความรู้สึกถูกเอารัดเอาเปรียบ และใคร่ที่จะดิ้นรนให้พ้นจากอำนาจรัฐบาล และพระยาพิมลเองในชั้นต้นก็พร้อมที่จะสนับสนุนความคิดนี้ ในสมัยนี้ภูเก็ตได้เริ่มส่งดีบุกไปขายที่ปีนัง

เยรินี ได้อ้างรายงานของกัปตัน อเลกซานเดอร์ แฮมิลตัน (ALEXANDER HAMILTON) ซึ่งได้เดินทางไปในน่านน้ำภูเก็ต ในระหว่างปี พ.ศ. 2243 – 2262 (ค.ศ. 1700-1719) และเขียนไว้ว่า ที่เกาะภูเก็ตมีไม้ดีสำหรับทำเสากระโดงเรือ และมีดีบุกมาก แต่หาคนขุดไม่ได้ เพราะถูกโจรสลัดรบกวน และถูกเจ้าเมืองกดขี่ เพราะเจ้าเมืองโดยทั่ว ๆ ไปแล้วเป็นคนจีนที่ซื้อตำแหน่งจากราชสำนักและชักทุนคืนด้วยการเอาเปรียบราษฎร จนชาวเกาะภูเก็ตเห็นว่าการมีทรัพย์สมบัตินั้นเป็นภัย สู้อยู่ว่าง ๆ ใช้ชีวิตอย่างง่าย ๆ นั้นสบายกว่า ฉะนั้นจะเป็นได้ว่าหลังจากแผ่นดินพระนารายณ์มหาราชแล้ว ไม่มีเรือใบที่ติดปืนปราบปรามโจรสลัด ในน่านน้ำเกาะภูเก็ต และมีพ่อค้าจีนที่คิดเอารัดเอาเปรียบราษฎรมาปกครองแทนเจ้าเมืองชาวยุโรป

เยรินี ยังได้อ้างถึง ดร.โคนิค (DR.KOENIG) นักวิทยาศาสตร์ชาวเดนมาร์คที่เคยได้มาสำรวจเกาะภูเก็ต ในปี พ.ศ. 2322–3 (ค.ศ.1779-80) ในสมัยพระเจ้าตากสิน ครั้งแรก ดร. โคนิค ได้โดยสารเรือ “บริสตอล” (BRISTOL) ซึ่งมีฟรานซิส ไลท์ (FRANCIS LIGHT) เป็นผู้บังคับการ เดินทางมาเกาะภูเก็ต ดร.โคนิค เขียนว่า เมืองท่าเรือเป็นศูนย์กลางในการปกครองเขตภูเก็ต และได้ไปดูเหมืองแร่ และเกาะต่าง ๆ ในอ่าวพังงา ในครั้งที่สอง ได้ไปทอดสมอเรือที่เกาะมะลิและพบเรืออังกฤษจอดอยู่แล้ว 2 ลำ ได้ สำรวจเกาะมะพร้าวพบหินชนวนที่คนไทยใช้เป็นกระดานชนวนเขียนหนังสือ และมีชาวมลายูที่จับปลิงทะเลนำมาย่างเป็นอาหาร บางครั้งไม่สามารถออกสำรวจได้เพราะมีเรือโจรสลัด แต่ก็เคยออกไปถึงช่องระหว่างเกาะรัง เกาะยาวน้อยและเกาะยาวใหญ่ เกาะนาคา และขึ้นไปถึงเกาะฝรั่งเศส นอกจากนั้นยังได้ไปสำรวจแหลมมลายู ซึ่งเป็นเกาะเวลาน้ำขึ้นอยู่แนวเดียวกับเกาะนาคา (SALANGS) ทั้งสอง ที่แหลมยามูมีช้างป่ามาก ระหว่างพักอยู่ที่ท่าเรือ คืนหนึ่งเสือเข้ามากินห่านใกล้ ๆ บ้านพัก ชาวเมืองชอบรับประทานข่า (AMONIM) และแมลงตัวใหญ่ชนิดหนึ่ง (SCARABAEA ACTEN) นกที่พบมากเป็น นกเงือก ซึ่งชาวเกาะเรียกว่า นกฮัง คนที่ขุดหาแร่ดีบุกส่วนใหญ่เป็นสตรีสูงอายุที่ออกร่อนแร่มาขายให้โรงถลุงที่หักส่วนแบ่งร้อยละ 20 ดร. โคนิค ทำการสำรวจบริเวณต่างๆ ที่ภูเก็ต ถ้าจะไปไกลหรือเข้าป่าลึก กัปตัน ฟรานซิส ไลท์ ก็ต้องให้ลูกเรือปืนช่วยคุ้มกันไปด้วย จนถึงวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2323 (ค.ศ. 1780) ก็ล้มป่วยต้องขึ้นเรือของกัปตันสก็อต เดินทางไปรักษาตัวที่มะละกา

ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์นั้น ภูเก็ตได้ถูกพม่ารุกรานหลายครั้ง เพราะไม่มีกำลังเข้มแข็งที่จะคุ้มกัน พม่าได้ส่งทหารมาตีภูเก็ตรวม 4 ครั้ง นับตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาแตกจนถึงสมัยรัชกาลที่ 2 พลเมืองได้ลดน้อยถอยลงเพราะถูกพม่ากวาดต้อนไป หรืออพยพหนีภัยสงครามไป เจ้าเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดในสงครามกับพม่า ก็คงจะเป็นท้าวเทพกระษัตรี หรือคุณหญิงจัน และท้าวศรีสุนทร หรือคุณหญิงมุก ซึ่งสามารถรวบรวมผู้คนรักษาค่ายไว้ได้ ความสำคัญของเกาะภูเก็ตในยุคนั้น จึงอยู่ทางด้านเหนือของเกาะ เพราะพม่าจะยกทัพมาทางปากพระ และแนวรบฝ่ายไทยตั้งรับจะมาอยู่ที่คลองบางใหญ่ ซึ่งมีต้นน้ำที่เขาพระแทวและไหลออกทะเลที่ท่าอู่ตะเภา (อ่าวบางเทา)

ในการโจมตีเกาะภูเก็ตนั้น พม่าไม่มีจุดหมายที่จะเข้ายึดครองเกาะภูเก็ตแต่เป็นการล้อมเมืองเข้าฆ่าฟัน กวาดต้อนพลเมือง และยึดเอาทรัพย์สมบัติที่มีค่าไป ที่พม่าสามารทำได้เช่นนั้น ก็คงเป็นเพราะมีความสามารถในการเดินเรือ พม่าส่งทัพเรือภายใต้การนำของยี่หวุ่นจากมะริดมาโจมตีหัวเมืองชายทะเล ที่ตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง ในช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2328 (ค.ศ. 1785) และเดือนมกราคม พ.ศ. 2329 (ค.ศ. 1786) และเข้ามาต่อสู้กับฝ่ายไทยที่เกาะภูเก็ต ที่ปากพระ พระยาธรรมาไตรโลก ต้องเสียชีวิตและพระยาพิพิธ ต้องถอยทัพหนีข้ามเทือกเขาในพังงาไปทางด้านตะวันออก แต่ก็ไม่สามารถเข้ายึดเมืองถลางได้ เพราะคุณหญิงจัน และมุกได้รวบรวมราษฎรต่อต้านไว้ได้ ในช่วงนั้นภูเก็ต มีเมืองถลางเป็นเมืองสำคัญ ส่วนท่าเรือทางใต้ได้เสื่อมความสำคัญลง

พม่าส่งทัพเรือมาตีเกาะภูเก็ตอีกเป็นครั้งที่สอง ในปี พ.ศ. 2352 (ค.ศ. 1809) เมื่อพม่าได้ข่าวว่า สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กำลังทรงพระประชวร จึงได้รีบส่งทัพเรือมาโจมตีเมืองถลางอีก ในระหว่างฤดูมรสุม ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการเดินเรือของพม่า และเริ่มเข้าระดมยิงเมืองถลางในวันที่ 9 สิงหาคม และสามารถเข้ายึดเมืองถลางได้ ในวันที่ 15 เดือนเดียวกัน และรีบกวาดต้อนราษฎรและทรัพย์สินกลับเมืองทวายรองแม่ทัพพม่าแล่นเรือออกทะเลจะเดินทาง แต่ต้องถูกพายุมรสุมพัดกลับเข้าฝั่งจึงถูกเจ้าเมืองถลางจับตัวไว้ได้

พม่าได้ส่งทัพเรือมาตีเกาะภูเก็ตอีกในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม พ.ศ. 2352 (ค.ศ.1809) และมกราคม พ.ศ. 2352 (ค.ศ.1810) นับเป็นครั้งที่สามเนื่องจากทางภูเก็ตไม่มีผู้ชำนาญทะเล เมื่อเข้าใจว่าพม่าถอยทัพไปแล้ว ก็เกิดชะล่าใจฝ่ายพม่าจึงยกพลขึ้นบกที่แหลมยามูและเข้าล้อมเมืองถลางในวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2352 ส่วนเมืองในเขตปกครองของภูเก็ต คือเมืองท่าเรือนั้นถูกพม่าตีแตกภายในวันเดียว ส่วนเมืองถลางนั้นถูกล้อมอยู่ 27 วัน พม่าก็บุกเข้าเมืองปล้นทรัพย์สินและกวาดต้อนราษฎรได้สำเร็จในวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2352  (ค.ศ. 1910) บาทหลวงฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ PALLEGOIX ได้เขียนบันทึกการรบครั้งนี้ไว้ละเอียดในหนังสือ HISTORY OF THE CHURCHES OF INDIA, BURMA, SIAM.

ปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2354 (ค.ศ. 1811) พม่าได้ส่งทหารประมาณ 5,000 คน ขึ้นบกที่เกาะภูเก็ตอีกเป็นครั้งที่ สี่ แต่เมืองทางเมืองหลวงส่งทัพใหญ่ไปช่วย พม่าทราบข่าวก็ถอยทัพกลับไปแต่ไม่ลืมปล้นทรัพย์สินตามเมืองเล็ก ๆ ชายฝั่งทะเลไปด้วย เพราะทางฝ่ายไทยไม่เคยส่งเรือรบออกรับมือพม่า แต่ใช้การรบแบบรับคือกวาดต้อนผู้คนเข้าค่ายเพื่อตั้งรับเท่านั้น

การรุกรานของพม่านั้น มีผลกระทบกระเทือนต่อเกาะภูเก็ตมาก ดังหลักฐานต่างๆ ที่มีผู้เขียนไว้ ถึงแม้จะเป็นเวลามากกว่า 10 ปีต่อมา

เจมส์ โลว์  ได้เขียนเรื่องการไปเกาะถลาง เมื่อปี พ.ศ. 2367 (ค.ศ. 1824) ไว้ว่าได้ไปขึ้นบกที่ท่าเรือ "เราถึงท่าเรือ เมื่อตะวันตกดิน และข้าพเจ้าได้เดินทางไปยังบ้านหลวงบำรุงผู้ดูแลเกาะนี้ เขาต้อนรับข้าพเจ้าดัวยอัธยาศัยไมตรีอันดียิ่งครั้นเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ภรรยาของหลวงบำรุงซึ่งเป็นหญิงสูงอายุได้ยกอาหารกับขนมฉาบน้ำตาล ซึ่งจัดอย่างดีมาวางตรงหน้าข้าพเจ้า เจ้าของบ้านไม่ยอมกินอาหารจนกว่าข้าพเจ้าอิ่มแล้ว เมื่อเขากินอาหารและกลับมายังข้าพเจ้า เราได้พูดคุยกันท่ามกลางแสดงคบไฟจนกระทั้งเที่ยงคืน - - - - - - - - เท่าที่ปรากฏว่าชาวเมืองถลางดำเนินชีวิตไปอย่างง่าย ๆ ตั้งแต่เกาะถลางเริ่มเสื่อม พวกเขาก็ถูกกำหนดให้อยู่ใต้การปกครองของเมืองพังงา พวกผู้หญิงมีความลำบากอยู่บ้างในการนุ่งห่ม - - - - - - - - - หมู่บ้านท่าเรือในสมัยกัปตันฟอร์เรสท์ มีบ้าน 30 หลัง ในขณะนี้มีเพียง 18 หลังคาเรือน  - - - - - - - - - เขตแดนของคนไทยทางฝั่งทะเลตะวันตกของแหลมมลายูทั้งหมด ดูเหมือนว่าถลางมีค่าอย่างแท้จริงมากที่สุด อย่างไรก็ตามสำหรับผู้เป็นเจ้าของอยู่ขณะนี้ มันมีสภาพดีกว่า แผ่นดินรกร้างแห้งแล้งนิดเดียวเท่านั้นเอง ดูเหมือนสาเหตุทั้งหลายของการขัดแย้งกันก็ได้รับการอธิบายเป็นบางส่วนแล้ว และสาเหตุหนึ่งน่าจะขจัดไปได้โดยสิ้นเชิงในไม่ช้า โดยการที่พวกอังกฤษเข้าปกครองเมืองท่าอังวะซึ่งจะทำให้สยามทุเลาจากความกลัวพม่ารุกรานได้ทันที และเมื่อได้ปล่อยให้เวลาล่วงไปสักระยะหนึ่งจะได้ผลดีแก่การเปลี่ยนแปลง ถลางก็จะสูงส่งขึ้นในความนิยมของสยาม - - - - - - -"

ตำแหน่งเจ้าเมืองภูเก็ตต่อมาจึงมักจะตกทอดแก่ลูกหลานของวีระสตรีสองท่านที่กล่าวแล้วหรือข้าราชการที่มาจากกรุงเทพฯ ดังปรากฏในหนังสือลงวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2367 (ค.ศ. 1824) ถึงร้อยเอกเจมส์ โลว์ ที่ปีนัง เขียนโดยพระบริรักษ์ภูธร บุตรท่านพระยาณรงค์เรืองฤทธิประสิทธิสงคราม พระยาถลางผู้ออกมาสำเร็จกิจศุขทุกข์ประชาราษฎร ณ เมืองถลาง บางคลี ตะกั่วทุ่ง ตะกั่วป่า ทั้งแปดหัวเมือง แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่แสดงความเด่นชัด ปรากฏในพงศาวการ จนถึงสมัยพระยาภูเก็ต (ทัด) ซึ่งได้รับผูกขาดซื้อแร่ดีบุกที่ภูเก็ต จนสามารถสะสมทรัพย์ไว้พอที่จะไปสร้างตึกใหญ่ที่ ธนบุรี ปีนัง และสิงคโปร์

ในปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร. 3) ประมาณปี พ.ศ. 2393 (ค.ศ. 1850) กรมการเมืองถลางคนหนึ่งในตำแหน่ง หลวงมหาดไทย ได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระภูเก็ต (แก้ว) ซึ่งมีต้นตระกูลเป็นพ่อค้ามาจากเมือง มัทราช พระภูเก็ต (แก้ว) มีบุตรชายชื่อ ทัด ซึ่งเป็นผู้เริ่มขยายการทำเหมืองแร่ดีบุกออกไปยังบริเวณใหม่ ๆ เช่นที่ ตำบลทุ่งคา หล่อยูง และท่าแครง เมื่อพระภูเก็ต (แก้ว) ลาออกจากราชการ บุตรชายที่ชื่อทัด หรือหลวงทวีปสยามกิจ ก็ได้รับตำแหน่งรักษาการเมืองภูเก็ต และต่อมาก็ได้เป็นเจ้าเมือง โดยมีบรรดาศักดิ์ใหม่เป็น พระยาภูเก็ตโลหเกษตรารักษ์

พระยาภูเก็ต (ทัด) เป็นบุคคลสำคัญในการสร้างตำบลทุ่งคาให้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของเกาะภูเก็ต โดยมาสร้างบ้านอยู่ในหมู่เหมืองแร่ดีบุก จนกระทั่งเกาะที่เคยเรียกกันว่า เกาะถลาง ก็มาเป็นที่รู้จักกันว่า เกาะภูเก็ต ความสำคัญของการทำเหมืองแร่ดีบุก ที่ตำบลทุ่งคา ได้ทำให้ตำบลทุ่งคาได้กลายเป็นอำเภอทุ่งคา และเป็นอำเภอเมืองภูเก็ตหรือเทศบาลเมืองภูเก็ต ในสมัยต่อมา

พระยาภูเก็ตโลหเกษตรารักษ์ (ทัด) เลือกที่ตั้งข้างริมแม่น้ำใหญ่ หรือคลองทุ่งคา หรือคลองบางใหญ่ ตามแนวสายแร่ดีบุกที่มุ่งตรงออกสู่ทะเลในอ่าวทุ่งคา การทำเหมืองแร่ดีบุกในสมัยนั้นใช้วิธีทำเหมืองหาบด้วยแรงงานคนเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็จำเป็นต้องอาศัยกรรมกรจีน ที่มาจากดินแดนต่าง ๆทั้งประเทศจีนและแหลมมลายู และเมื่อมีการติดตามสายแร่ดีบุกออกไปใกล้ทะเล ก็จำเป็นต้องกั้นเป็นทำนบย้ายทางน้ำให้ออกไปทางอื่น และได้ขยายการทำเหมืองแร่ห่างออกไปจากฝั่งเดิม

หน้าที่สำคัญของเจ้าเมืองภูเก็ตในสมัยนั้น ก็คือการประมูลเก็บภาษีอากรจากเหมืองแร่ดีบุก เพื่อที่จะส่งให้รัฐบาลในกรุงเทพฯ ซึ่งถ้าเก็บได้มากก็จะได้ผลประโยชน์เป็นของส่วนตัว ระบบการประมูลเก็บภาษีนี้ ทำให้กรรมกรเหมืองแร่ชาวจีนต้องเดือดร้อนและได้ก่อการจลาจลขึ้นหลายครั้ง จนรัฐบาลต้องส่งเรือรบไปควบคุม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2412 (ค.ศ.1869) พ.ศ. 2415 (ค.ศ. 1872) เมื่อพระยาอัศฎงคติทิศรักษา (ตันกิมเจ๋ง) ได้เริ่มยื่นขอประมูลเก็บภาษีแข่งกับเจ้าเมืองภูเก็ต ซึ่งทำให้เจ้าเมืองภูเก็ตต้องเพิ่มค่ารับเหมาตามไปด้วย พระยาภูเก็ต (ทัด) นั้นต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น พระยาวิชิตสงคราม จางวางกำกับเมืองภูเก็ต และบุตรชายชื่อ ลำดวน ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็น พระยาภูเก็ตโลหเกษตรารักษ์ สืบทอดไป

ในปี พ.ศ. 2424 (ค.ศ. 1881) พระยาภูเก็ต (ลำดวน) ไม่สามารถส่งภาษีให้รัฐบาลได้ครบถ้วน จนต้องเลิกระบบผูกขาดเหมาเก็บภาษี และบ้านเรือนของพระยาภูเก็ต (ลำดวน) ที่ตำบลทุ่งคาก็ได้ตกเป็นทรัพย์สินของทางราชการ

ในปี พ.ศ. 2437 (ค.ศ.1894) วาร์ริงตัน สไมธ์ จากกรมราชโลหกิจมีโอกาสไปราชการที่จังหวัดภูเก็ต และเขียนบันทึกไว้ (FIVE YEARS IN SIAM 1891-1896) ว่า:-

“ข้าพเจ้าได้ทราบจากกรุงเทพฯ ว่าท่านสมุหเทศาภิบาลเป็นผู้เฉลียวฉลาดซึ่งใครได้พบเห็นก็คงจะไม่คัดค้าน และก็คงทราบว่า นโยบายสูบเลือดหัวเมืองต่างๆ ทางด้านตะวันตกเช่นนี้คงจะมีผลตามมาเช่นไร และก็เป็นที่น่าประหลาดใจว่าทางรัฐบาลสยามก็พลอยเห็นชอบไปด้วย เพราะท่านข้าหลวงตรวจการได้รับความไว้วางใจ และปฏิบัติหน้าที่ต่อไปอีกสมัยหนึ่ง ท่านสามารถเก็บภาษีได้มากประมาณว่าส่งเงินเข้ากรุงเทพฯ ได้ปีละ 500,000 เหรียญ ไม่มีเจ้าเมืองที่ไหนจะสามารถเก็บภาษีได้มากกว่านี้ และก็ไม่มีเจ้าเมืองใด ๆ ในโลกที่จะใช้เงินบูรณะบ้านเมืองในความดูแลได้น้อยกว่านี้ นอกจากอาคารสำนักงานของราชการและทำเนียบสมุหเทศาภิบาลแล้ว มีหลักฐานว่ามีการใช้เงินบำรุงท้องที่ในภูเก็ตอีกเพียง 3 แห่ง คือมีการซ่อมถนนสายในทู้ช่วงหนึ่งระยะ 200 หลา ค่าใช้จ่ายประมาณ 100 เหรียญ อีกแห่งหนึ่งคือ เมื่อที่พักตำรวจพังลง ได้มีการสร้างโรงไม้ไผ่ขึ้นแทน แต่ตำรวจคงไม่ได้จ่ายเงินเอง แห่งที่สาม ทุ่นและเสาวัดระดับน้ำในอ่าวภูเก็ตมีการทาสี กัปตัน เวเบอร์ ผู้กำกับตำรวจจ่ายค่าสี แต่ใช้แรงงานของราชการ ข้าพเจ้าเชื่อว่ารัฐบาลในกรุงเทพฯ คงไม่ทราบถึงผลกระทบอันจะพึงเกิดขึ้นจากากรใช้ระบบดังกล่าวในดินแดนที่ห่างไกล ตราบใดที่มีการส่งภาษีให้ครบถ้วน ก็จะไม่มีใครสนใจ เงินที่ใช้บำรุงกรุงเทพฯนั้น อาจจะทำให้ผู้คนเข้าใจว่า ประเทศสยามรุ่งเรือง เพราะเขาไม่เห็นหัวเมืองต่าง ๆ ที่ยากจน เจ้าเมืองคนหนึ่งชี้ให้เห็นถนนเรียบสองฝากคลองในกรุงเทพฯ แล้วบอกข้าพเจ้าว่า เงินของพวกเราจากบ้านนอกทั้งนั้น แต่เจ้าเมืองต้องควักกระเป๋าจ่ายค่ามุงหลังคาศาลประจำจังหวัดเอง

เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ได้ทรงรับตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย หัวเมืองต่าง ๆ เริ่มได้รับความสนใจ และนโยบายสูบเลือดจากหัวเมืองไปบำรุงกรุงเทพฯ ก็กำลังเริ่มจะสั่นคลอน ในช่วง 18 เดือนที่แล้วมาได้มีการเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้นมากบ้างน้อยบ้าง แต่จะต้องก้าวไปอีกไกล เพราะยังหาคนที่เหมาะสมได้ยาก ทางด้านการกระจายเงินออกไปตามหัวเมืองนั้น ข้าพเจ้ายังไม่ทราบ แต่อย่างไรก็ตามภูเก็ตยังไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากนโยบายใหม่ ๆ นี้ หรือจากความคิดเห็นใหม่ ๆ กำลังเป็นของทันสมัยในกรุงเทพฯ

เจ้าเมืองภูเก็ตต่อมา ที่รู้จักกันดี ก็คงจะเป็น พระยารัษฎานุประดิษฐฯ ซึ่งความจริงมีตำแหน่งเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ท่านได้มีบทบาทมากในการพัฒนาเกาะภูเก็ต เช่นการตัดถนน ส่งเสริมให้ปลูกสวนยาง ตลอดจนการสร้างศาลากลางจังหวัดภูเก็ตขึ้นใหม่ ที่ตีนเขาโต๊ะแซะ แทนที่ทำการเก่าที่บ้านเดิมของพระยาภูเก็ต (ลำดวน) ที่ตำบลทุ่งคา สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เขียนในหนังสือสาร์นสมเด็จไว้ว่า :-

“การบำรุงเมืองภูเก็ตได้เริ่มก่อขึ้น ทั้งทำถนนหนทาง และการจัดนคราทร พอประจวบเวลาพวกฝรั่งชาวออสเตรเลียนเข้ามาทำเหมืองแร่ในหัวเมืองไทย และแหลมมลายู พวกนี้มีทุนมากประสงค์แต่จะให้ได้ลงมือทำการโดยเร็ว ด้วยเวลานั้นดีบุกราคาสูงก็เป็นช่วงที่ พระยารัษฎานุประดิษฐฯ จะเรียกเงิน คอมเมนเสชั่น ได้ง่ายและได้มากขึ้นฝ่ายผู้ให้ก็ยอมด้วยยินดี เพราะเห็นประโยชน์ที่ได้จากเงินที่เสียไปนั้น ในตอนนี้รัฐบาลให้มี เอนยิเนียฝรั่ง ในกระทรวงโยธาธิการลงไปช่วยด้วย พระยารัษฎานุประดิษฐฯ จึงสามารถทำการบำรุงบ้านเมืองได้กว้างขวางออกไป ให้ทำถนนจากตัวเมืองภูเก็ตออกไปถึงตำบลต่าง ๆ ที่มีเหมืองแร่ทั่วเกาะ และให้กรุยถนนที่จะทำให้ถึงหัวเมืองใกล้เคียง สายหนึ่งจะทำไปถึงเมืองตะกั่วป่า อีกสายหนึ่งจะทำผ่านเมืองตะกั่วทุ่ง เมืองพังงา เมืองกระบี่ ต่อไปจนถึงเมืองตรัง ว่าโดยย่อ ถนนที่พวกกรมทางไปทำในรัชกาลที่ 7 นั้น ทำตามทางที่พระยารัษฎานุประดิษฐฯ ได้กะไว้แล้วทั้งนั้น

นอกจากทำถนนดังกล่าวมา พระยารัษฎานุประดิษฐฯ สามารถสร้างเมืองภูเก็ตขึ้นใหม่ได้ทั้งเมือง ด้วยอุบายอย่างน่าอัศจรรย์ ด้วยบริเวณบ้านพระยาภูเก็ต ซึ่งตกเป็นของหลวงและอาศัยใช้เหย้าเรืองเดิมเป็นที่ว่าการมณฑล และที่พักของข้าราชการอยู่นั้นเป็นที่มีแร่ดีบุกอยู่ใต้ดินมาก เมื่อขุดแร่ตาที่ใกล้เคียงหมดแล้ว ก็ยังเหลืออยู่ตรงที่ตั้งบริเวณสถานรัฐบาล  มีบริษัทฝรั่งมาถาว่าถ้ายอมให้ค่าคอมเมนเสชั่นตามสมควร รัฐบาลจะอนุญาตให้ขุดแร่ตรงนั้นได้หรือไม่ พระยารัษฎานุประดิษฐณ มาบอกหม่อมฉันว่า โชคดีมาถึงแล้ว ขออนุญาตขายที่บริเวณรัฐบาลเอาเงินสร้างสถานที่สำหรับราชการต่าง ๆ กับที่ตั้งที่อยู่ของข้าราชการขึ้นใหม่ให้สมสมัย หม่อมฉันก็กราบบังคมทูลของพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ตามประสงค์ พระยารัษฎานุประดิษฐฯ ไปเลือกที่ใหม่บนเนินเขา แล้วคิดทำแผนผังทั้งถนนและสถานที่ต่าง ๆ เหมือนอย่างสร้างเมืองใหม่ ประมาณเงินที่จะต้องใช้การก่อสร้างตั้งเป็นราคาที่บริเวณรัฐบาล บริษัทก็รับซื้อ ได้เมืองใหม่ซึ่งปรากฏอยู่ทุกวันนี้ทั้งเมือง โดยมิต้องจ่ายเงินพระคลัง และยังมีกำไรต่อไปด้วยลงความในสัญญาขาย ว่าขายแต่แร่ดีบุก เมืองบริษัทขุดแร่ดีบุกหมดแล้วต้องคืนที่นั้นให้รัฐบาลโดยไม่เรียกค่าชดใช้อย่างใด เมื่อหม่อมฉันไปเมืองภูเก็ตคราวตามเสด็จในรัชกาลที่ 7 ที่นั้นกลับมาเป็นของรัฐบาลแล้ว ยังเป็นที่ว่างเปล่าอยู่กลางตลาด รัฐบาลจะขายหรือจะสร้างตึกแถวให้เช่า ก็จะได้เงินอีกครั้งหนึ่งจากที่แห่งเดียวนั้น แต่ที่ประหลาดอย่างยิ่งนั้น ปรากฏว่าบริษัทที่รับซื้อไปได้กำไรงามด้วย เพราะแร่เนื้อดีบุกมาอยู่ตรงนั้นมาก รัฐบางยิ่งได้เงินค่าภาคหลวงมากขึ้นจากการทำเหมืองแร่ในที่นั้นด้วยอีกโสดหนึ่ง

พระยารัษฎานุประดิษฐฯ หาเงิน คอมเมเสชั่น ได้เกินความคาดหมายจนสามารถทำถนนในเมืองอื่น เช่น ต่อถนนที่เมืองกระบุรี ต่อจากบ้านปากจั่นลงไปถึงทับหลี อันเป็นท่าเรือใหญ่สายหนึ่ง ช่วยกันกับเจ้าพระยายมราช และสมเด็จชาย เมื่อยังเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ทำถนนจากเมืองตรัง ถึง เมืองนครศรีธรรมราชสายหนึ่ง จากเมืองตรังข้ามภูเขามาถึงเมืองพัทลุงสายหนึ่ง ที่เมืองตะกั่วป่าก็ย้ายเมืองลงมาตั้งใหม่ที่น้ำลึกให้เรือไปมาได้สะดวก นอกจากนั้นสามารถต่อเรือไฟสำหรับใช้ราชการได้คือเรือถลาง (ลำเก่า) ลำหนึ่ง เรือเทพสตรี ลำหนึ่ง และมีตัวเงินเหลืออยู่ในพระคลังเมืองภูเก็ต เมื่อพระยารัษฎานุประดิษฐฯถึงแก่อนิจกรรม กว่าสองแสนบาท การที่พระยารัษฎานุประดิษฐฯ บำรุงหัวเมืองฝ่ายตะวันตกครั้งนั้น ได้พระราชทานบำเหน็จความชอบด้วยเครื่องอิสริยาภรณ์มหาสุราภรมงกุฎสยาม เป็นสายสะพายสายที่สุด ที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง พระราชทานแก่ผู้มีความชอบ เมื่อก่อนสวรรคต เพียง 3 เดือน

หลังจากสมัย พระยารัษฎานุประดิษฐฯ แล้ว การเก็บเงินชดเชย จากบริษัทเหมืองแร่เพื่อบำรุงท้องถิ่น ก็ถูกยกเลิกไป ทางเกาะภูเก็ตมิได้รับการทำนุบำรุงตามสมควรเนื่องจากได้ส่วนแบ่งน้อยจากงบประมาณส่วนกลาง จึงมิได้มีเจ้าเมืองที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมาก จนกระทั่งยุคหลัง สงครามโลกครั้งที่สอง ที่ประเทศไทยต้องถูกญี่ปุ่นยาตราทัพเข้ามาในประเทศไทย

ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ได้มีคนไทยอย่างน้อย 2 ท่าน ที่ได้มีบทบาทในการต่อต้านญี่ปุ่นที่ได้เข้ามาควบคุมประเทศไทย และทำลายเศรษฐกิจของประเทศด้วยการปรับค่าเงินบาทให้เท่ากับเงินเยนอันไร้ค่าของญี่ปุ่น “เสรีไทย” 2 ท่านนี้ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองภูเก็ต คือ นายอุดม บุญญประสพ (พ.ศ.2492-2494) และนายมาลัย หุวะนันท์ (พ.ศ.2494-2495)

เจ้าเมืองในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่มีโอกาสแสดงความสามารถเพราะมาอยู่ภูเก็ตในระยะสั้น ๆ แต่ที่มีชื่อเป็นนักประชาธิปไตย ก็มี คุณมงคล สุภาพงษ์แต่ก็อยู่ไม่นาน และก็มี คุณอ้วน สุระกุล ซึ่งมีชื่อว่าเป็นนักพัฒนา และมีโอกาสมาเป็นผู้ว่าราชการภูเก็ตนานถึง 10 ปี ซึ่งในช่วงนั้น ท่านได้เอาใจใส่ในการฟื้นฟูสนามกอล์ฟหาดสุรินทร์ ซึ่งได้ถูกบุกรุกเหลือที่ดินไม่ถึง 60 ไร่ ริเริ่มสร้างอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรีและได้สร้างสนามกีฬา “สุระกุล” ตลอดจนการสร้างสะพาน สารสิน เชื่อมเกาะภูเก็ตกับฝั่งจังหวัดพังงา จากท่าฉัตรชัยไปยังท่านุ่น เล่ากันว่า คุณอ้วน เมื่อครั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ได้มีการพบช้างเผือกหนึ่งเชือก แต่ทางรัฐบาลสมัยนั้นไม่สนใจ ต่อมาเมื่อ จอมพลสฤษฎ์ ธนรัตน์ มีอำนาจ คุณอ้วนจึงรายงานไปใหม่และได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี คุณอ้วนจึงเป็นเจ้าเมืองช้างเผือกทำหน้าที่อยู่ภูเก็ตจนกระทั่งได้ลาออกจากราชการ เมื่อลงสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ในปี พ.ศ. 2511 ราษฎรชาวภูเก็ตไม่สนใจหรือลืมเรื่องช้างเผือกไปแล้ว คุณอ้วนจึงไม่ได้รับเลือกตั้ง

เจ้าเมืองอีกผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าเมืองนักเขียนค้นคว้า และนักประชาธิปไตย คือ คุณสุนัย ราชภัณฑารักษ์ ซึ่งได้ประพันธ์หนังสือเรื่องภูเก็ตไว้ ท่านได้เป็นสมาชิกก่อตั้งสโมสรไลออนส์ภูเก็ต ในปี พ.ศ. 2514 และได้ทำหน้าที่ต่าง ๆ สละเวลาให้แก่สโมสรการกุศลนี้ และเมื่อมีอายุเกษียณแล้ว ก็ยังไปปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ของสโมสรในกรุงเทพฯจนถึงแก่อนิจกรรม ในด้านประชาธิปไตยนั้น ท่านมิได้ปฏิบัติตามจังหวัดต่าง ๆ ที่นิยมแต่งตั้งภรรยาผู้ว่าราชการ ให้เป็น นายกสมาคมวัฒนธรรมหญิง หรือ สมาคมสตรี แต่กลับส่งเสริมให้สตรีภูเก็ต เข้ารับตำแหน่งแทน

การศึกษาประวัติศาสตร์ของภูเก็ต จากหลักฐานตามที่กล่าวมาแล้วนี้ จะเห็นได้ชัดว่า ชาวเกาะภูเก็ตได้ถูกพ่อค้าเอารัดเอาเปรียบด้วยการวิ่งเต้นซื้อตำแหน่งเจ้าเมืองมาเป็นเวลาช้านาน เกิดความรู้สึกได้สำนึกสืบทอดอยู่จนถึงทุกวันนี้ ที่ไม่พร้อมที่จะรับคนต่างเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งให้มาปกครองบ้านเมืองโดยมิได้คำนึงถึงว่าผู้ที่ถูกส่งมานั้น จะมีความสามารถหรือความตั้งใจดีเพียงใด

พระนามและนามสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต

1. พระยาทิพย์โกษา (หมาโต โชติกะเสถียร)

2. พระยาวิสูตรสาครดิฐ (สาย โชติกะเสถียร)

3. พระยาวรสิทธิ์เสวีวัฒน์ (ไต่ฮัก)

4. พระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง)     พ.ศ. 2450-2456
5. พลโท พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (ม.ร.ว. สิทธิ สุทัศน์)    พ.ศ. 2456-2463

6. พระยาสุรินทราชา (นกยูง วิเศษกุล)             พ.ศ. 2463-2468

7. หม่อมเจ้าสฤษดิเดชชายางกูร                                                        พ.ศ. 2469-2473

8. พระยาศรีเสนา (ฮะ สมบัติศิริ)                                                     พ.ศ. 2474-2475

 

พระนามและนามผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต

1. พระยาวิสูตรสาครดิฐ (สาย โชติกะเสถียร)

2. พระยาวิเศษสิงหนาท (ปิ๋ว บุนนาค)

3. พระยาประชากิจกรจักร (ชุบ โอสถานนท์)

4. พระยาณรงค์เรืองฤทธิ์ (อรุณ อมาตยกุล)

5. หม่อมเจ้าประดิพัทธเกษมศรี พ.ศ. 2450-2458

6. พระยาทวีปธุระประศาสตร์ (ชุบ โอสถานนท์)                พ.ศ. 2458-2461

7. พระกรุงศรีสวัสดิการ (จำรัส สวัสดิชูโต)                   พ.ศ. 2461-2465

8. พระยานครราชเสนี (สหัส สิงหเสนี)                    พ.ศ. 2465-2471

9. พระศรีสุทัศน์ (ม.ล.อนุจิตร สุทัศน์)            พ.ศ. 2471-2472

10. พระยาอมรศักดิ์ประสิทธิ์ (ทะนง บุนนาค)          พ.ศ. 2472-2476

11. พระองค์เจ้าอาทิตย์ ทิพยอาภา                                                    พ.ศ. 2476-2476

12. พระยาสุรเดชรณชิต                                                                     พ.ศ. 2476-2478

13. พระยาศิริชัยบุรินทร์ (เบี๋ยน)               พ.ศ. 2478-2479

14. พระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์                                             พ.ศ. 2479-2480

15. หลวงเธียรประสิทธิสาร (ร.อ.มงคล เธียรประสิทธิ์)              พ.ศ. 2480-2486

16. หลวงอังคณานุรักษ์ (ร.อ.ถวิล เทพาคำ)                    พ.ศ. 2486-2489

17. ขุนภักดีดำรงฤทธิ์                                                                         พ.ศ. 2489-2492

18. นายอุดม บุญยประสพ                                                                 พ.ศ. 2492-2494

19. นายมาลัย หุวะนันทน์                                                  พ.ศ. 2494-2495

20. ขุนจรรยาวิเศษ (เที่ยง บุณยนิตย์)                                               พ.ศ. 2495-2497

21. นายมงคล สุภาพงษ์                                                                      พ.ศ. 2497-2500

22. นายเฉลิม ยูปานนท์                                                                      พ.ศ. 2500-2501

23. ขุนวรคุตต์คณารักษ์                                                                      พ.ศ. 2501-2501

24. นายอ้วน สุระกุล                                                                           พ.ศ. 2501-2511

25. นายกำจัด ผาติสุวัณณ                                                   พ.ศ. 2511-2512

26. นายสุนัย ราชภัณฑารักษ์                                                            พ.ศ. 2512-2518

27. นายศรีพงศ์ สระวาสี                                                                    พ.ศ. 2518-2521

28. นายเสน่ห์ วัฑฒนาธร                                                  พ.ศ. 2521-2523

29. นายมานิต วัลยะเพ็ชร์                                                  พ.ศ. 2523-2528

30. นายสนอง รอดโพธิ์ทอง                                                             พ.ศ. 2528-2529

31. นายกาจ รักษ์มณี                                                                           พ.ศ. 2529-2530

32. นายเฉลิม พรหมเลิศ                                                                     พ.ศ. 2530-2534

33. นายยุวัฒน์ วุฒิเมธี                                                                        พ.ศ. 2534-2536

34. นายสุดจิต นิมิตกุล                                                                        พ.ศ. 2536-2539

35. นายจำนง เฉลิมฉัตร                                                                     พ.ศ. 2539-2541

36. นายจเด็จ อินสว่าง                                                                        พ.ศ. 2541-2542

37. นายชาญชัย สุนทรมัฎฐ์                                                               พ.ศ. 2542-

 

 

หนังสืออ้างอิง

(1) CAPTAIN FAMES LOWE – JOURNAL OF THE INDIAN ARCHIPELAGO.

(2) MAURICE COLLIS – SIAMESE WHITE.

(3) EDMUND BARKER – THE VOYAGES OF SIR JAMES LANCASTER TO THE EAST INDIES.

(4) สุนัย ราชภัณฑารักษ์ – ภูเก็ต – พิมพ์เป็นบรรณาการ เนื่องในโอกาสอันเป็นมงคล

                                                   ครบอายุ หกสิบปี – 5 ตุลาคม 2517

(5) COLONEL G.E. GERINI – HISTORICAL RETROSPECT OF JUNK CEYLON ISLAND.

(6) W.A.R.WOOD – HISTORY OF SIAM.

(7) ประชุมพงศาวดาร เล่ม 26

(8) ALEXANDER HAMILTON – “NEW ACCOUNT OF THE EAST INDIES”

                                                                   EDINBURGH 1727, LONDON 1744.

(9) PALLEGOIX – HISTORY OF THE CHURCHES OF INDIA, BURMA, SIAM.

(10) จดหมายเหตุ เจมส์ โลว์ – กรมศิลปากรพิมพ์ พ.ศ. 2519

(11) H. WARRING – TON SMYTH – FIVE YEARS IN SIAM (FORM 1891-1896)

(12) สาส์นสมเด็จ – สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

 
< ก่อนหน้า   ถัดไป >

สมุดภาพเหมืองแร่

Counter

mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterวันนี้80
mod_vvisit_counterเมื่อวาน1238
mod_vvisit_counterทั้งหมด10732037