ศธ. สั่ง รร.ปรับตารางสอน เพิ่มชั่วโมงกิจกรรม ลดเนื้อหาซ้ำซ้อนลง 30% เน้นให้เด็กคิดวิเคราะห์มากขึ้น ต่อไปข้อสอบต้องมีทั้งอัตนัยและปรนัย พร้อมจัดครูแนะแนวให้เด็กค้นพบตัวเองตั้งแต่ประถม
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมผู้บริหารองค์กรหลักของ ศธ. ว่า ศธ.มีนโยบายจะปรับกระบวนการเรียนการสอนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยจะเน้นให้เด็กคิดวิเคราะห์มากขึ้นและลดการสอนท่องจำเท่าที่จำเป็น โดยจะเริ่มใช้หลักสูตรใหม่ปีการศึกษา 2553 ในเดือน พ.ค.นี้ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่สอนให้เด็กคิดวิเคราะห์มากขึ้น ลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหาวิชาลง 30% นอกจากนั้นยังลดตัวชี้วัดที่ซ้ำซ้อนลงจากที่มีทั้งหมดกว่า 4,000 ตัวชี้วัดเหลือเพียง 2,165 ตัวชี้วัดเท่านั้น
นายจุรินทร์กล่าวอีกว่า ทั้งนี้การตัดเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนออกจะไม่ทำให้คุณภาพการเรียนการสอนลดลง แต่จะมีผลดีตรงที่ทำให้เด็กมีโอกาสเรียนนอกห้องเรียนอย่างสร้างสรรค์มากขึ้น โดยแต่ละ รร.จะต้องออกแบบและสรุปว่าจะต้องมีกิจกรรมใดบ้างใน 3 เรื่องหลัก คือ 1.ทุก รร.จะต้องหาแหล่งเรียนรู้ใน รร.ที่จะนำไปสู่การเรียนรู้นอกห้องเรียน 2.แหล่งเรียนรู้ภายในท้องถิ่นซึ่งทุกโรงเรียนจะต้องมีข้อสรุปว่าในท้องถิ่นของตนเองมีแหล่งเรียนรู้หรือภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบใดบ้าง และข้อสุดท้าย คือทุก รร.จะต้องกำหนดการจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน เช่น การเข้าค่าย ทัศนศึกษา ดนตรี กีฬา ศิลปะ เป็นต้น โดยนโยบายเรียนฟรี 15 ปีจะมีส่วนเข้าไปสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้นำไปสู่การปรับตารางสอน ซึ่ง รร.ต้องไปคิดว่าจากเดิมที่เด็กต้องเรียนทั้งหมดถึง 30 ชั่วโมง/สัปดาห์ ควรจะลดลงกี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และจะมีชั่วโมงกิจกรรมกี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนการปรับกระบวนการเรียนการสอน แบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ สอนให้คิดวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะเน้นในช่วงชั้นที่ 1 และ 2 ตั้งแต่ ป.1-ป.6 คือสอนให้รู้จักสื่อสาร สังเกต สำรวจ ค้นหา และแยกแยะเป็น ระดับที่สองคือ การคือวิเคราะห์ระดับสูง ในช่วงชั้นที่ 3-4 ตั้งแต่ ม.1-ม.6 คือสอนให้เด็กรู้จักการนิยาม วิเคราะห์ สังเคราะห์ แก้ปัญหา ตัดสินใจ และคิดอย่างมีวิจารณญาณได้ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดสิ่งใหม่คือกระบวนการสอนจะเน้นให้เด็กเขียนเรียงความและย่อความมากขึ้น
"ต้องยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมาเราขาดหายเรื่องนี้ไป อีกทั้งต่อจากนี้ได้มอบเป็นนโยบายลงไปว่าข้อสอบของทุก รร.ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะต้องมีข้อสอบอัตนัยและปรนัยผสมกัน และให้ สพฐ.ไปประสานกับสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เพื่อให้ข้อสอบการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ต สอดคล้องกับการเรียนการสอน" นายจุรินทร์กล่าว
นอกจากนั้น จะมีกระบวนการแนะแนวของครูที่ปรึกษาในทุกระดับ และควรจะเริ่มแนะแนวเรียนอาชีพตั้งแต่ ม.1 เป็นอย่างช้า ซึ่งทั้งหมดนี้ รร.ดี 3 ระดับ จะเป็นแกนหลักสำคัญเป็นแม่ข่ายช่วย รร.ต่างๆ.