รร.ปรินซ์พาเลซ - สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) จัดสัมมนา เรื่องสภาวะการศึกษาไทย ปี 2551/2552 "การศึกษากับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม" โดยมีรศ.ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา เป็นประธานกล่าวเปิดงานว่า มิติเรื่องการศึกษามีความกว้างขวางและซับซ้อนมาก หากไม่กำหนดทิศทางการแก้ปัญหาที่ชัดเจนก็เป็นเรื่องยากที่จะเดินต่อไปได้ถูกทิศ เรื่องใดที่ดีอยู่แล้วก็ควรต้องส่งเสริม แต่บางอย่างที่บกพร่องก็ต้องเติมเต็ม ตนขอฝากเรื่องความเชื่อมโยงการศึกษากับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งต้องตอบสนองสังคมโดยรวม ทั้งด้านกำลังคน อุตสาหกรรม และแรงงาน เราคงไม่สามารถพัฒนาได้ หากไม่มีทรัพยากรบุคคล ซึ่งสำคัญกว่าประมาณ
วันนี้มีคำถามว่าสิ่งที่ระบบการศึกษาผลิตออกไปตกงานขณะที่สาขาที่ต้องเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานกลับขาดแคลนเป็นตัวอย่างง่ายๆ ว่าการศึกษาต้องสัมพันธ์กับเศรษฐกิจ สังคมซึ่งวันนี้ค่อนข้างมีความบิดเบี้ยวไปทั้งในเรื่องความเห็นของเด็กสมัยนี้ที่ต่างจากคนรุ่นก่อน ความซื่อสัตย์สุจริต ความมีจิตใจไม่คดโกง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ทุกอย่างล้วนมีความเชื่อมเชื่อมโยงกับการศึกษาทั้งสิ้น
นายวิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต นำเสนอผลการวิเคราะห์และวิจัยเรื่องสภาวะการศึกษาไทย ปี2551/2552 “การศึกษากับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม” ใจความโดยสรุปว่าการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของการเมือง เศรษฐกิจ สังคมไทยและสถานะของประเทศไทยในระบบเศรษฐกิจโลก ความด้อยพัฒนาทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและการศึกษาต่างมีอิทธิพลต่อกัน คือการเมือง เศรษฐกิจเป็นอย่างไรก็ส่งผลกระทบทางการศึกษา ผู้บริหารประเทศมักเข้าใจผิดว่าต้องพัฒนาเศรษฐกิจก่อนพัฒนาการศึกษา ซึ่งความจริงแล้วเราต้องสร้างบุคคลกรที่มีคุณภาพก่อนเพื่อมาช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น ดังนั้นปัญหาใหญ่ของไทยคือ การกระจายการศึกษาและคุณภาพเป็นตัวการที่ทำให้คุณภาพการศึกษาของเราต่ำ ขณะที่การพัฒนาด้านเศรษฐกิจจะเน้นเรื่องความเจริญเติบโตแต่ไม่เน้นการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การศึกษากระจายไม่ทั่วถึง
นายวิทยากร กล่าวอีกว่า ไทยเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 21 ของโลก แต่รายได้ต่อหัวกลับอยู่อันดับที่ 92 ของโลกจึงถือเป็นประเทศด้อยพัฒนา ขณะที่ความสามรถทางการแข่งขัน อยู่อันดับที่ 34 ดัชนีการพัฒนามนุษย์อยู่ในอันดับที่ 81 และน่าตกใจว่าเมื่อย้อนกลับไป 5-10 ปีจะพบว่าอันดับความสามารถทางเศรษฐกิจของไทยลดลงนั่นคือมีหลายประเทศที่แซงหน้าไทยไป สัดส่วนของผู้เรียนต่อประชากรในทุกระดับการศึกษาปี 52 เพิ่มขึ้นจากปี 50-51 เล็กน้อย ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเพิ่มจาก 79.89% เป็น 81.29 ของประชากรวัยเรียน นอกจากนั้นยังพบว่ามีประชากรวัย 3-17 ปีที่ไม่ได้เรียนถึง 2.76 ล้านคน
นอกจากนั้น ยังพบว่าระดับที่ได้รับการศึกษาต่ำคือปฐมวัยและระดับม.ปลาย ระดับปฐมวัยมีเด็กที่ได้เรียนเพียง 61% ของประชากรทั้งหมด เพราะค่าใช้จ่ายสูงผู้ปกครองไม่ให้ความสำคัญ และปัญหาที่สำคัญคือปัญหาออกกลางคันซึ่งรัฐบาลไม่ให้ความสำคัญ
“สถิติที่น่าสนใจคือ เด็กที่เข้าป.1ตอน ปี 40 ได้เรียนถึงชั้น ม.6/ปวช.3 ในปี2551 เพียงร้อยละ 47.2 คือออกกลางคันไปกว่าครึ่งหนึ่งคิดเป็นจำนวน 5.2 แสนคน ดังนั้นรัฐบาลต้องแก้ปัญหาเด็กออกกลางคันก่อน แทนที่จะไปแจกของฟรีควรให้ทุนการศึกษาคนจนมากกว่า ส่วนสถิติทางด้านแรงงาน เวลาบอกว่าคนออกกลางคันมา ศธ.ชอบเถียง แต่หากดูตัวเลขแรงงานแล้ว ร้อยละ 54.2 ของประชากรทั้งหมดคือคนวัยแรงงานหรือคิดเป็นจำนวนประชากร 37 ล้านคน และประมาณ 20 ล้านคนหรือมากกว่าครึ่งมีการศึกษาแค่ประถมหรือต่ำกว่า แต่ แล้วแบบนี้จะไปแข่งขันกับใครได้ ที่สำคัญพบว่าตัวเลขคนว่างงาน มากสุดคือคนจบป.ตรี ถึง 2 แสนคน จากจำนวนผู้ว่างงานทั้งหมด 8.2 แสนคน แสดงว่าเราผลิตคนได้ไม่ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน โครงการเรียนฟรี 15 ปี ที่ช่วยออกค่าใช้จ่าย 5 อย่างให้กับทุกคนไม่ได้ช่วยคนจนได้จริง คนจนผู้มีรายได้น้อยกว่าร้อยละ 40 ขาดโอกาสทางการศึกษา ซึ่งกลุ่มนี้จำเป็นต้องมีทุนช่วยเหลือค่าอยู่กิน และให้ทุนการศึกษาสำหรับเด็กยากจนด้วย” นายวิทยากร กล่าว
ทั้งนี้ จากการประเมินผลการปฏิรูปการศึกษาโดยบุคลากรวงการต่าง ๆ พบว่า การจัดการศึกษายังไม่มีการกระจายตัวอย่างเป็นธรรม โดยเฉลี่ยมีคุณภาพต่ำ ซึ่งยังคงต้องเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพของครู อาจารย์และผู้บริหารอย่างจริงจัง ปรับโครงสร้างอำนาจบริหารแบบรวมศูนย์ที่ศูนย์กลาง หรือที่กระทรวงศึกษา มาเป็นสำนักงาน และคณะกรรมการประกันคุณภาพการศึกษาที่มีภาคี 4 ฝ่ายคือ ศธ. ประชาชน ผู้ทรงคุณวุฒิ และครูอาจารย์ในฐานะผู้ปฏิบัติงาน ร่วมบริหารจัดการ เพื่อลดอำนาจผูกขาดและวิธีการบริหารแบบสั่งการจากบนลงล่าง และมุงสนองความต้องการของประชาชน ชุมชน มากกว่าระบบราชการเพื่อราชการ
ดร.เลขา ปิยะอัจฉริยะ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสภาการศึกษา กล่าวว่า การปฏิรูปการศึกษาในรอบแรก ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษายังอ่อน และการชี้จุดอ่อนของตนเองเป็นเรื่องที่น่าอับอาย จึงมีการแต่งผลการประกันภายใน ขณะที่การประกันคุณภาพการศึกษาภายนอกโดย สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.)ยังขาดความเข้าใจแท้จริง
"ข้อเสนอให้ปรับอำนาจการบริหารของศธ. เป็น สำนักงานคณะกรรมการประกันคุณภาพการศึกษา โดยยึดรูปแบบเดียวกันกับ สปสช.เป็นรูปแบบที่น่าสนใจมากทำให้ สธ. สามารถปฏิรูประบบสาธารณสุขของชาติได้ประสบความสำเร็จ เพราะสธ.มีการวิจัยระบบสาธารณสุข ในขณะที่ปฏิรูปการศึกษา แต่ไม่สนใจที่จะวิจัยระบบการศึกษา โดยคิดเพียงว่า การนำประถมกับมัธยมมารวมไว้ในองค์กรเดียวกัน ก็จะสำเร็จ แต่ความจริงหากมีการทำวิจัยระบบ ก็จะทราบถึงความแตกต่างกันของวัฒนธรรมองค์กร จึงทำให้ขณะนี้ประถมและมัธยม ต้องขอแยกตัวจากกัน" ดร.เลขา กล่าว