๗. พระมหากรุณาธิคุณ(มห.ภูเก็จ 2345)
ร.๙ เสด็จฯ วัดพระนางสร้าง ร.๙ เสด็จฯ หาดสุรินทร์ และ ท่าฉัตรไชย ๗.๑ การเสด็จพระราชดำเนินประพาสจังหวัดภูเก็ต นับเป็นความโชคดีอย่างใหญ่หลวงของประชาชนภูเก็ตที่ได้เกิดมาภายใต้พระบรมโพธิสมภาร พระบรมมหาราชจักรีวงศ์ โดยเฉพาะภายใต้พระบรมมหาเศวตฉัตรแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ซึ่งทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จประพาสจังหวัดภูเก็ตแล้ว ๔ ครั้งเพื่อทรงใกล้ชิดกับประชาชนของพระองค์ และเนื่องในการเสด็จประพาสแต่ละครั้งนั้น ได้ทรงมีพระราชกรณียกิจอันเป็นสวัสดิมงคลและเป็นมิ่งขวัญแก่พสกนิกรของพระองค์ตลอดมา เช่น การเสด็จประพาสครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๕๐๒ ระหว่างวันที่ ๘ ถึง ๑๒ มีนาคม นั้น ได้เสด็จออกให้ประชาชนชาวภูเก็ตได้เฝ้าชมพระบารมีและทูลละอองธุลีพระบาท ณ บัญชรหน้าศาลากลางจังหวัดภูเก็ต แล้วทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่พสกนิกรของพระองค์ว่า
“เราทั้งสองขอขอบใจพรที่ผู้ว่าราชการจังหวัดได้กล่าวในนามของชาวภูเก็ต ทั้งขอขอบใจที่ชาวภูเก็ตทั้งหลายได้ต้อนรับเราอย่างดี เมื่อวานนี้เมื่อเรามาถึง เราได้มีความพอใจมากและดีใจมากที่ได้มีโอกาสมาเยี่ยมจังหวัดนี้ ซึ่งภูมิประเทศสวยงาม และเราก็รอคอยมานานเหมือนกัน การที่จังหวัดภูเก็ตนี้มีประวัติศาสตร์อันน่าฟังและน่ายินดีก็เป็นสิ่งอีกอย่างหนึ่งที่จูงใจให้เราอยากได้มาเยี่ยมอีกที ชาวจังหวัดภูเก็ตนี้น่าภูมิใจที่ประวัติศาสตร์ในอดีตมีความรุ่งเรืองมาก และมีความกล้าหาญ ซึ่งพวกประชาชนผู้เป็นลูกหลานของบรรพบุรุษที่ได้ทำวีรกรรมในสมัยโน้น นอกจากนั้นจังหวัดนี้ก็มีทรัพยากรหลายอย่าง เช่น ดีบุกหรือยาง ทรัพยากรเช่นนั้นก็นำความร่ำรวยแก่ประชาชน แต่เพื่อที่จะให้เพิ่มความร่ำรวย ก็ขอให้อาศัยความขยันหมั่นเพียรและพยายามค้นคว้าในทางวิทยาการต่อไป วิทยาการสมัยใหม่เพื่อให้ผลของการที่ทำอาชีพนั้นดีขึ้น ให้เหมาะสมกับภูมิประเทศ ขอให้ประชาชนทุกคนได้ประกอบอาชีพเช่นนี้ด้วยความอุตสาหะพยายาม และขอให้มีกำลังใจ กำลังกาย ทำหน้าที่ ทำงานเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของจังหวัดภูเก็ต ขอให้พรให้ทุกคนได้มีกำลังใจ กำลังกาย เช่นนั้น และขอให้มีความเจริญ” ในปี พ.ศ.๒๕๐๒ นั้น จังหวัดภูเก็ตยังมีกิจการเหมืองแร่แบบเหมืองสูบ ที่ใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ ราคาแพง และกรรมวิธีล้างเก็บแร่จากรางกู้แร่แบบเก่า ปล่อยทิ้งแร่ละเอียดซึ่งเป็นลักษณะของ “ฝุ่นแร่” ให้ไหลตามแรงน้ำชะออกไปเสียมากต่อมาก ยังผลให้ต้นทุนการผลิตแร่มีอัตราสูง ชาวเหมืองจำต้องเสาะหาแหล่งแร่ที่มีความสมบูรณ์สูงมาประกอบกิจการ เกิดการสิ้นเปลืองที่ดินอย่างรุนแรง จนที่ดินเหมืองแร่ภายในจังหวัดภูเก็ตไม่เพียงพอ ต้องออกไปเสาะหาที่ดินเหมืองแร่จากท้องถิ่นต่างจังหวัด
ส่วนกิจการสวนยาง ก็ยังเป็นสวนยางแบบเก่า ชาวสวนยางเฝ้ากรีดน้ำยางจากต้นยางเก่าอายุแก่หลายสิบปี มิค่อยจะได้เปลี่ยนแปลงด้วยการปลูกแทนตามคำแนะนำของนักวิชาการสวนยางของทางราชการ แม้กระทั่งวิธีกรีดยางแต่ละต้น ซึ่งเคยกรีดทางด้านซ้ายบ้าง ทางด้านขวาบ้าง เมื่อทางราชการแนะนำให้กรีดทางด้านซ้ายลงมาทางด้านขวา ก็ไม่ค่อยจะมีชาวสวนยางเชื่อฟังมากนัก เพราะไม่เห็นความสำคัญของวิชาการใหม่ ๆ ทำให้ผลผลิตจากสวนยางล้าหลังกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ตลอดจนวิธีทำแผ่นยางรมควันก็ยังไม่คำนึงถึงความสะอาด ความสม่ำเสมอของคุณภาพ มุ่งเอาเพียงปริมาณเป็นสำคัญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชกระแสในพระบรมราโชวาทต่อชาวภูเก็ต ความว่า “---แต่เพื่อที่จะให้เพิ่มความร่ำรวย ก็ขอให้อาศัยความขยันหมั่นเพียร และพยายามค้นคว้าในทางวิทยาการต่อไป วิทยาการสมัยใหม่ เพื่อให้ผลของการที่ทำอาชีพนั้นดีขึ้น ให้เหมาะสมกับภูมิประเทศ----“ นับว่าเป็นพระราชกระแสที่มีคุณค่ายิ่งแก่ประชาชนของพระองค์ที่จะได้ฉุกใจคิด และหันมาปรับปรุงธุรกิจเหมืองแร่และกิจการสวนยางให้ก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ ซึ่งปัจจุบันนี้กิจการสวนยางในภูเก็ตนับได้ว่าเจริญก้าวหน้าไม่แพ้เพื่อนบ้านต่างประเทศเลย ส่วนเหมืองแร่นั้นแม้ปัจจุบันได้เลิกและหยุดกิจการไปเนื่องจากภาวะวิกฤติด้านราคาของดีบุก แต่ก่อนหน้าที่จะเลิกล้ม ก็ได้พัฒนาขึ้นด้วยวิทยาการสมัยใหม่ สามารถล้างและเก็บ “ฝุ่นแร่” ได้จากรางล้างแร่มากขึ้น และใช้เครื่องจักรขนาดเล็กลง สมรรถนะสูงขึ้น ต้นทุนต่ำลง สามารถใช้ที่ดินแหล่งแร่ขนาดเล็ก และอัตราความสมบูรณ์ต่ำ ประกอบกิจการได้เพิ่มขึ้น สมดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์และทรงพระราชทานพระราชพระกระแสไว้ อนึ่ง จากน้ำพระทัยที่ทรงมุ่งมั่นจะใกล้ชิดกับพสกนิกรของพระองค์ และทรงไม่แน่พระทัยว่าบรรดาข้าราชบริพาร ตลอดจนข้าราชการท้องถิ่นที่ห่วงใยในความปลอดภัยของพระมหากษัตริย์ของเขาจะเปิดโอกาสให้พระองค์ได้เข้าสัมผัสกับชีวิตอันแท้จริงของชาวบ้านร้านถิ่นที่ห่างไกลจากชุมชนเมืองออกไปยังชนบท ซึ่งราษฎรของพระองค์ส่วนหนึ่งอาจถูกทอดทิ้งให้รับความลำบากอยู่เงียบ ๆ ปราศจากผู้รู้เห็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงปลีกเวลาส่วนพระองค์เสด็จโดยลำพังไปตามเส้นทางที่ปรากฏในแผนที่ส่วนพระองค์ที่ทรงมีเป็นพิเศษ จนบางคราวก็ทรงประสบกับเส้นทางวิบากที่มิอาจจะเสด็จพระราชดำเนินไปได้ เช่น ที่บ้านบางโรง ตำบลป่าคลอก เป็นต้น ชาวบ้านคนหนึ่งที่บ้านบางโรง ตำบลป่าคลอก เล่าว่า เขาได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขับรถยนตร์โดยพระองค์เอง เสด็จเข้าไปตามถนนขรุขระอันเหมาะที่จะเรียกว่าทางเกวียนมากกว่าถนน เขาได้ออกมาขวางทางรถพระที่นั่ง กราบทูลว่า “จะเสด็จเข้าไปไม่ได้ ไม่มีทางให้รถยนตร์เข้าไปได้อีกแล้ว“ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่า “เห็นมีถนนอยู่ในแผนที่“ ชาวบ้านคนนั้นเกรงว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จเข้าไปจนรถยนตร์พระที่นั่งติดหล่ม จะทรงได้รับความลำบาก จึงกราบทูลด้วยความตกใจตามประสาชาวบ้านว่า “ถ้าไม่เชื่อและเสด็จเข้าไปให้ได้แล้ว ก็จะขอถวายศีรษะให้” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงกลับรถยนตร์พระที่นั่งเสด็จออกมา (ปัจจุบันชายผู้นี้ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว จึงไม่สามารถอ้างชื่อไว้ในที่นี้) วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๐๒ ทรงปลีกเวลาส่วนพระองค์เสด็จโดยลำพังไปยังตำบลป่าตอง ซึ่งเวลานั้นถนนข้ามภูเขานาคเกิดจากตำบลกะทู้ไปยังตำบลป่าตองยังสร้างไม่เรียบร้อย มีเพียงการตัดกรุยทางและถมหินลูกรังพอให้รถยนตร์โดยสาร-บรรทุกของชาวบ้านผ่านไปมาได้เท่านั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขับรถยนตร์พระที่นั่งโดยพระองค์เอง เสด็จลึกเข้าไปถึงบริเวณที่เรียกกันว่า “วังขี้อ้อน” ซึ่งเป็นแอ่งน้ำตกจากเทือกเขานาคเกิดไหลออกสู่ทะเลอ่าวป่าตอง เป็นแอ่งธรรมชาติที่สวยงาม ชาวบ้านละแวกนั้นได้อาศัยอาบและซักผ้าเป็นประจำ มีผู้หญิงชาวบ้านคนหนึ่งจำได้ว่าทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่เสด็จไปประทับยืนทอดพระเนตรชาวบ้านซักผ้าอยู่ด้วยความสนพระทัย จึงได้นำน้ำหวานที่ผลิตจากโรงงานพื้นเมืองในจังหวัดภูเก็ตมาทูลเกล้าถวายหนึ่งแก้ว พระองค์ทรงรับแล้วถามว่า น้ำอะไร ชาวบ้านไม่สามารถกราบทูลเป็นคำราชาศัพท์ได้จึงกราบทูลว่า “น้ำมินิด เจ้าค่ะ” ซึ่งเป็นศัพท์พื้นเมืองของภูเก็ตที่ใช้เรียกน้ำอัดลม “เลม็อนเนด”ในขณะนั้น เป็นที่เข้าใจของชาวบ้านโดยทั่วไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเข้าพระทัยหรือไม่ ไม่อาจทราบได้ แต่พระองค์ก็ทรงรับมาและเสวยโดยไม่ได้ถือพระองค์แต่อย่างใด ยังความปลื้มปีติแก่บรรดาชาวบ้านที่มีโอกาสได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทโดยใกล้ชิดในวันนั้นอย่างหาที่สุดมิได้ ทุกคนยังจดจำเรื่องราวและเล่าขานกันต่อมาไม่สุดสิ้นจนถึงทุกวันนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นในครั้งนั้น ชาวป่าตองโดยมีท่านพระครูพิสิฐกรณี เจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรีวงก์ ตำบลป่าตอง เป็นประธาน จึงได้ร่วมใจกันจัดสร้างอนุสรณ์สถานขึ้น ณ จุดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าเสด็จลงประทับยืนนั้นไว้ ชื่อว่า “ราชปาทานุสรณ์” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงสลักพระปรมาภิไธย “ภูมิพลอดุลยเดช” ไว้ ณ สถานที่นี้ เมื่อวันพุธวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๑ ในพระราชวโรกาสที่เสด็จพระราชดำเนินประพาสภูเก็ต ครั้งที่ ๓ พ.ศ.๒๕๑๐ เสด็จพระราชดำเนินประพาสภูเก็ตครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม หลังจากที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเปิดอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทร และทรงเจิมช่อฟ้าอุโบสถวัดเจริญสมณกิจ ในตอนเช้าแล้ว ตอนบ่ายได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด “ศูนย์บริการโลหิตตึกเลิศโภคารักษ์” ณ โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต และในพระราชวโรกาสนั้นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระราชทานพระราชเสาวนีย์ ความว่า “ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้มากระทำพิธีเปิดอาคารศูนย์บริการโลหิตเหล่ากาชาดจังหวัดภูเก็ตในวันนี้ การสร้างตึกศูนย์บริการโลหิตเพื่อเก็บสำรองโลหิตที่มีผู้บริจาคให้ไว้ใช้แก่ผู้เจ็บป่วย ในเวลาต้องการเพื่อให้ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้น นับว่าเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ เพราะเป็นการชุบชีวิตของผู้ที่ไม่มีหวังแล้วให้คงมีชีวิตอยู่เป็นมิ่งขวัญแก่เพื่อนฝูงญาติมิตร ครอบครัว และอาจบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้สืบไป ข้าพเจ้าหวังว่าคงจะมีผู้ใจบุญช่วยกันสละโลหิตให้แก่ศูนย์บริการแห่งนี้ เพื่อให้ศูนย์บริการแห่งนี้ได้บริการโลหิตแก่ผู้เจ็บป่วยในทุกโอกาส สมตามเจตจำนงของสภากาชาดต่อไป ขอขอบใจขุนเลิศโภคารักษ์ และผู้มีส่วนช่วยเหลือให้อาคารหลังนี้บังเกิดขึ้น ขอให้ทุกคนได้มีความสุขความเจริญโดยทั่วกัน
ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ประกอบพิธีเปิดตึก “เลิศโภคารักษ์” เพื่อเป็นศิริมงคลต่อไป” ตึกศูนย์บริการโลหิตหลังนี้ นับได้ว่าเป็นอาคารของโรงพยาบาลที่สร้างขึ้นเพื่อสนองพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ประการหนึ่ง เนื่องด้วยเหตุที่ว่าในฐานะที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งองค์สภานายิกา สภากาชาดไทย ความขาดแคลนโลหิตในวงการแพทย์ย่อมประจักษ์แก่พระเนตรพระกรรณอยู่เนืองนิจ ทรงมีพระราชดำริว่า หากมีการส่งเสริมให้ประชาชนสนใจและยินดีในการบริจาคโลหิตเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยในโรงพยาบาลต่าง ๆ ได้ในจำนวนที่สมควรก็จะเป็นประโยชน์แก่การแพทย์และโรงพยาบาลเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้แล้วยังมีพระราชดำริเกี่ยวกับสถานที่เก็บรักษาโลหิตที่มีผู้บริจาคคราวละมาก ๆ ไม่อาจจะใช้ไปหมดสิ้นได้ในเวลาอันจำกัด หรือความขาดแคลนโลหิตอย่างปัจจุบันทันด่วนในกรณีที่มีคนไข้จำนวนมาก ทำให้จัดหาโลหิตมาบริการไม่ทันท่วงที ซึ่งเป็นข้อขัดข้องอย่างสำคัญเกี่ยวเนื่องกัน จำเป็นต้องมีสถานที่เก็บโลหิตสำรองไว้ในอัตราที่สมควร โดยเฉพาะโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ยังไม่มีอาคารจะเก็บรักษาโลหิตตามที่ทรงมีพระราชดำริ นายแพทย์สนอง กาญจนาลัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตสมัยนั้นจึงได้หารือกับขุนเลิศโภคารักษ์ ผู้เป็นนายเหมืองที่มุ่งมั่นต่อการบำเพ็ญกุศลสาธารณประโยชน์โดยสม่ำเสมอตลอดมา ก็เป็นที่ตกลงกันจะสนองพระมหากรุณาธิคุณ โดยขุนเลิศโภคารักษ์ บริจาคเงินจำนวนหนึ่งสร้างอาคารศูนย์บริการโลหิตขึ้นในบริเวณโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ครั้นเสร็จสมบูรณ์แล้วทางราชการจึงทำเรื่องกราบบังคมทูลพระกรุณาเชิญเสด็จทรงประกอบพิธีเปิดอาคารหลังนี้ ซึ่งก็ประจวบกับทางราชการจังหวัดภูเก็ตมีงานเปิดอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทร และทางวัดเจริญสมณกิจ ก็มีงานยกช่อฟ้าอุโบสถ เตรียมเชิญเสด็จพระราชดำเนินประพาสภูเก็ตเป็นครั้งที่ ๒ พระราชภารกิจในการเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ล้วนแต่สร้างประโยชน์สร้าง สวัสดิการและสร้างมิ่งขวัญให้แก่พสกนิกรของพระองค์อย่างลึกซึ้งและหาที่สุดมิได้ วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๑ เสด็จพระราชดำเนินประพาสภูเก็ตเป็นครั้งที่ ๓ ทรงนำ “พระพุทธนวราชบพิตร” ซึ่งทรงสร้างด้วยพระองค์เองเป็นพระพุทธรูปประจำรัชกาลของพระองค์มาพระราชทานไว้เป็นพระพุทธรูปประจำเมืองภูเก็ต นับเป็นการแผ่พระมหากรุณาธิคุณในพระบรมโพธิสมภาร ภายใต้พระมหาเศวตฉัตรแห่งรัชกาลที่ ๙ ให้ทรงอานุภาพปกป้องผองภัยนานาประการมิให้แผ้วพานประชาชนพลเมืองอันเป็นพสกนิกรของพระองค์ได้แม้แต่เท่าผงธุลี พระมหากรุณาธิคุณอันนี้ล้นเกล้าล้นกระหม่อมแก่ชาวภูเก็ตหาที่สุดมิได้อยู่ตราบนิรันดร์
๗.๒ การพัฒนาท้องถิ่นตามโครงการพระราชดำริ
อาจจะเนื่องด้วยเหตุที่จังหวัดภูเก็ตเคยได้ชื่อว่าเป็นเมืองเศรษฐี ประชาชนพลเมืองส่วนใหญ่มีอาชีพมั่นคง อยู่เย็นเป็นสุขมาเนิ่นนาน จังหวัดภูเก็ตเคยมีศักยภาพสามารถหล่อเลี้ยงจังหวัดใกล้เคียงมาแต่ก่อน นับเนื่องมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนเกิดความเข้าใจฝังลึกว่าจังหวัดภูเก็ตไม่มีความเดือดร้อนที่จะเป็นภาระของทางราชการมากมายเช่นบางจังหวัด เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการพัฒนาจังหวัดจึงไม่ค่อยสนใจคิดโครงการใด ๆ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตไว้ในโครงการตามพระราชดำริ ทั้ง ๆ ที่ความจริงนั้นยังมีความจำเป็นเกี่ยวกับการพัฒนาหลายอย่างหลายประการที่เป็นการเร่งด่วนอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แม้กระนั้นก็ตามกระแสพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวที่แพร่กระจายออกมาสู่จังหวัดภูเก็ตโดยสื่อสารมวลชน ก็ปลุกประชาชนให้สำนึกได้ว่าพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักและสักการะของเรานั้น ทรงมีพระราชดำริที่จะบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชนของพระองค์ในประการใดบ้าง ก็ได้โดยเสด็จพระราชดำริตามรอยพระยุคลบาทเสมอมา ๗.๒.๑ ถนนสายป่าตอง-กมลา นายมานิต วัลยะเพ็ชร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต (พ.ศ.๒๕๒๓–๒๕๒๘) เป็นผู้หนึ่งที่ตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณซึ่งมุ่งจะบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาราษฎรเป็นอย่างดี จึงกล้าที่จะคิดโครงการสนองพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าวนี้ โดยสำรวจพบว่า ถนนสายหาดป่าตองน่าจะบรรจบติดต่อกับถนนสายบ้านกมลา ในระยะทางเพียง ๑๐ กิโลเมตร หากแต่ยังไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ เพราะไม่ได้รับอนุมัติงบประมาณติดต่อกันมาหลายปี ทั้ง ๆ ที่จังหวัดภูเก็ตมีโครงการสร้างถนนรอบเกาะเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นโครงการหลัก แต่ผู้เดินทางจากตัวเมืองภูเก็ตไปยังตำบลกมลา หากจะเดินทางไปป่าตองซึ่งห่างกันเพียง ๑๐ กิโลเมตร จำต้องเดินทางกลับเข้าเมืองภูเก็ตอีกประมาณ ๒๕ กิโลเมตร แล้วจึงเข้าเส้นทางไปหาดป่าตองในระยะทาง ๑๕ กิโลเมตร รวมเป็นระยะทางทั้งสิ้น ๔๐ กิโลเมตร แตกต่างกัน ๔ เท่าตัว นายมานิต วัลยะเพ็ชร จึงตัดสินใจทำโครงการสร้างถนนตามพระราชดำริสายป่าตอง-กมลา นำขึ้นกราบทูลพระกรุณาผ่านทางกองทัพภาคที่ ๔ ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า ฯ รับไว้ในโครงการพระราชดำริ การสร้างถนนสายนี้จึงได้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนและสำเร็จลงในระยะเวลาเพียง ๑ ปี ด้วยความร่วมมือของเจ้าของที่ดินบางรายที่ถนนจำต้องตัดผ่านไป โดยเจ้าของที่ดินไม่ติดใจจะขอรับเงินชดเชยแต่ประการใด ทั้งนี้ก็ด้วยพระบารมีแห่งบรมโพธิสมภารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ตั้ง ทุกคนจึงพร้อมใจกันอุทิศที่ดินให้เป็นการถวายความจงรักภักดี ถนนเปิดใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ.๒๕๒๕ เกิดความสะดวกสบายแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะผู้อยู่อาศัยในตำบลป่าตอง และตำบลกมลา ที่จะไปมาหาสู่กันได้ด้วยระยะทางเพียง ๑๐ กิโลเมตรแทนที่จะเป็น ๔๐ กิโลเมตร ดังที่เคยเป็นมาแต่ก่อน ๗.๒.๒ สวนหลวง ร.๙ ดังได้กล่าวแล้วว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ทรงสถิตอยู่ในดวงใจของพสกนิกรของพระองค์ถ้วนทั่วทุกผู้คน กระแสพระราชดำริของพระองค์จึงเป็นที่สนใจของประชาชนทุกหมู่เหล่า ที่จะดำเนินตามรอยพระยุคลบาททุกโอกาสที่จะปฏิบัติได้ กระแสพระราชดำริอีกอย่างหนึ่งในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ พระราชประสงค์ที่จะให้ประชาชนมีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจพอเพียงแก่สำมะโนครัวที่หนาแน่น เพื่อทุกคนจะได้มีสุขภาพที่แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน พระราชดำริข้อนี้เป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่ข้าราชบริพารและข้าราชการทุกหมู่เหล่า และต่างก็พยายามเสาะหาวิธีรวมทั้งสถานที่อันจะได้จัดทำสวนสาธารณะให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนอยู่โดยมิได้ท้อถอย ทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดทั่วประเทศไทย
จังหวัดภูเก็ตมีที่ดินเหมืองแร่เก่าทิ้งร้างอยู่แปลงหนึ่ง เนื้อที่ประมาณ ๓๕๐ ไร่ อยู่ชานเมืองแต่ไม่ห่างไกลจากชุมชนส่วนใหญ่ที่จะเดินทางไปพักผ่อนและออกกำลังกายได้ในช่วงเวลาที่ว่างเว้นจากการงาน เป็นที่ดินประทานบัตรเก่าของกรมทรัพยากรธรณี อยู่ในเขตเทศบาลเมืองภูเก็ต ทางเทศบาลเมืองภูเก็ต ได้ดำริเรื่องการจัดสร้างสวนสาธารณะเพื่อถวายเป็นราชบรรณาการเนื่องในพระวโรกาสเฉลิมฉลอง ๒๐๐ ปี แห่งพระบรมมหาราชจักรีวงศ์ ใน พ.ศ.๒๕๒๕ จึงได้นำเรื่องเข้าปรึกษากรมทรัพยากรธรณีผู้เป็นเจ้าของที่ดิน กรมทรัพยากรธรณีเห็นชอบด้วย แต่ขอเข้าเป็นผู้จัดทำโดยเจ้าหน้าที่และงบประมาณของกรม ฯ เอง เพื่อร่วมน้อมเกล้า ฯ ถวายแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในนามของกรมทรัพยากรธรณี แล้วจะมอบให้เทศบาลเมืองภูเก็ตเป็นผู้ดูแลรักษาต่อไป
การก่อสร้างสวนสาธารณะแห่งนี้ดำเนินติดต่อกันหลายปี เนื่องจากเนื้อที่กว้างขวางถึง ๓๕๐ ไร่ ประกอบด้วยลำธารน้ำไหล ซึ่งแปรสภาพมาจากลำคลองใหญ่สมัยโบราณที่เรือกำปั่นสามารถแล่นเข้าจอดเทียบเพื่อรับส่งสินค้าได้ เรียกว่า “คลองท่าแครง” แต่เดิมมาเคยเป็นแหล่งแร่ของเรือขุดแร่ฝรั่งสัญชาติอังกฤษ ทำการขุดหาแร่มาก่อนสมัยสงครามโลกยังไม่อุบัติ ครั้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ อุบัติขึ้น พวกฝรั่งก็ละทิ้งเหมืองหนีไป รัฐบาลไทยได้เข้ารับช่วงดูแลรักษาไว้ตลอดระยะเวลาสงคราม เมื่อสงครามสงบลงบริษัทฝรั่งเห็นว่าความสมบูรณ์ของแหล่งแร่ไม่เหมาะจะทำการขุดหาต่อไปอีกจึงโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่รัฐบาลไทย โดยเรียกร้องค่าปฏิกรรมไปจำนวนหนึ่ง กรมทรัพยากรธรณีจึงเข้ารับหน้าที่ดูแลรักษาอยู่ตลอดมาจนหมดอายุประทานบัตร ที่ดินทั้งหมดตกเป็นของราชพัสดุในปัจจุบัน
นอกจากมีธารน้ำไหลแล้ว ยังมีขุมน้ำที่เกิดจากเหมืองเก่าได้ขุดทิ้งไว้ด้วย กรมทรัพยากรธรณีได้ดัดแปลงแก้ไข และตบแต่งบริเวณที่ดินทำให้เกิดมีสวนไม้ดอก ไม้ใบ เนินดิน ศาลาพักผ่อน ถนนยวดยาน และทางเดินของผู้คนที่เข้าไปพักผ่อนหรือออกกำลังกายเป็นอย่างดี กรมทรัพยากรธรณีได้มอบสวนสาธารณะแห่งนี้ ซึ่งได้ขอพระราชทานนามว่า “สวนหลวง ร.๙“ ให้อยู่ในความดูแลรักษาของเทศบาลเมืองภูเก็ต ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๘ เป็นต้นมา ๗.๒.๓ ปลูกต้นไม้ถวายในหลวง กระแสพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เกี่ยวกับโครงการ “ป่ารักษ์น้ำ” และ “โครงการปลูกป่าให้เป็นมรดกของแผ่นดิน” ได้กระจายสู่ความรู้ความเข้าใจของพสกนิกรของพระองค์โดยสม่ำเสมอมิได้ขาดสาย ปลุกให้ทุกคนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของทั้งสองพระองค์ที่ทรงดำรงอยู่อย่างเสมอต้นเสมอปลายมิได้ทรงท้อถอยแม้แต่น้อย พระราชอุตสาหะวิริยะอันแรงกล้าเช่นนี้ เป็นแรงชักนำให้ประชาชนของพระองค์ต่างพากันดำเนินรอยเบื้องพระยุคลบาทเพิ่มขึ้นตามลำดับ
ประชาชนชาวจังหวัดภูเก็ตทั้งข้าราชการทุกหมู่เหล่าและราษฎรทุกอาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสิต นักศึกษา และครูอาจารย์ ได้ร่วมสมานสามัคคีช่วยกันปลูกต้นไม้ในวันที่ ๕ ธันวาคม ของทุกปี เพื่อน้อมเกล้า ฯ ถวายเป็นราชสักการะแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ขาด เป็นผลให้ป่าไม้ในภูเก็ตเริ่มมีลักษณะสมบูรณ์ขึ้น เป็นการแก้ไขความผิดพลาดที่เคยเป็นมาแต่ครั้งก่อน ๆ ซึ่งป่าไม้อันสมบูรณ์ได้ถูกทำลายลงเพื่อประโยชน์แก่การเหมืองแร่ สวนยาง และการปลูกสร้างบ้านเรือน โดยปราศจากการควบคุมจากผู้รับผิดชอบเท่าที่ควร
โครงการปลูกต้นไม้ถวายในหลวง มิเพียงแต่ได้ช่วยฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมให้กลับคืนสภาพที่ดีขึ้น เพื่อสอดรับพระราชดำริ “ป่ารักษ์น้ำ” ด้วยการ “ปลูกต้นไม้” เท่านั้น หากแต่ยังเป็นการ “ปลูกความสำนึกของอนุชน” ในการอนุรักษ์ธรรมชาติ ให้ฝังแนบแน่นตั้งแต่เยาวัยสืบไปจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่อีกด้วย ๗.๒.๔ การฟื้นฟูป่าชายเลนที่เสื่อมโทรม เป็นกิจกรรมพัฒนาอีกประการหนึ่ง ซึ่งสืบเนื่องมาจากพระราชดำริอันเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่จะทรงคงสภาพธรรมชาติของป่าชายเลนไว้เพื่อเป็นแหล่งกำเนิดของสัตว์ทะเลและพืชพันธ์ต่าง ๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นทรัพยากรของโลก และเป็นอาหารของมนุษย์ที่ยั่งยืน แต่ป่าชายเลนของภูเก็ตได้ถูกทำให้เสื่อมโทรมลงเป็นจำนวนมาก เนื่องจากกิจการเหมืองแร่ที่ให้ประโยชน์ทางการเงินสูงในสมัยก่อน จนประชาชนและแม้แต่ทางราชการก็ลืมคำนึงถึงสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ครั้นล่วงมาถึงปัจจุบัน เมื่อป่าไม้ชายเลน เช่น ต้นแสม และโกงกาง(พังกา) ถูกตัดโค่นไปทำประโยชน์จนเกือบสูญพันธ์ คงเหลือพื้นที่ป่าชายเลนที่มีป่าเป็นละเมาะไม้เพียงหย่อม ๆ ชาวบ้านก็เข้าครอบครองแล้วถมดินให้กลายเป็นที่ราบ ปลูกสร้างบ้านเรือนอาศัยบ้าง เข้าครอบครองทำนากุ้งบ้าง ยิ่งสร้างความเสื่อมโทรมและสูญเสียแก่ระบบนิเวศของธรรมชาติป่าชายเลนเพิ่มขึ้น จากกระแสพระราชดำริที่จะทรงให้คงสภาพป่าชายเลนไว้ตามธรรมชาติให้มากที่สุดเท่าที่จะพึงกระทำได้ จึงเกิดเป็นกระแสชักชวนให้ประชาชนทุกฝ่ายช่วยกันปลูกต้นกล้าไม้แสม ไม้โกงกาง (พังกา) ลงในพื้นที่ป่าชายเลนซึ่งยังคงสภาพเป็นที่หลวงอยู่ เช่น ในบริเวณอ่าวบางโรง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะภูเก็ต ในเขตอำเภอถลาง เป็นต้น
การร่วมกันช่วยปลูกต้นกล้าไม้ป่าชายเลนแต่ละครั้ง ผู้ร่วมกิจกรรมต่างมีความตั้งใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันว่ากิจกรรมเช่นนี้ เป็นการสนองนโยบายรัฐบาลตามกระแสพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ซึ่งทรงมุ่งหวังให้เกิดพัฒนาการแก่ท้องถิ่นเพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาราษฎร์ทั้งปวงสืบไปถึงอนาคตกาลที่ยั่งยืน ๗.๒.๕ การอนุรักษ์ป่าพรุ สืบเนื่องจากกระแสพระราชดำริในการอนุรักษ์ป่าพรุโต๊ะแดงที่จังหวัดนราธิวาส และกิจกรรมหลายอย่างอันเกี่ยวเนื่องกับการอนุรักษ์ป่าพรุโต๊ะแดง ได้กระจายทางสื่อมวลชนต่าง ๆ ก่อให้เกิดความสนใจขึ้นในชุมชนชาวอำเภอถลาง โดยเฉพาะผู้ซึ่งตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ใกล้ท้องถิ่นที่มีป่าพรุ เช่น ตำบลไม้ขาว เป็นต้น ชุมชนเหล่านี้เกิดความรู้เรื่องคุณประโยชน์ของป่าพรุ ซึ่งเคยถูกทิ้งร้างไร้ผู้สนใจอยู่จำนวนหนึ่ง ครั้นมีผู้สนใจที่จะเข้าครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว หรือแม้กระทั่งทางราชการท้องถิ่นจะทำการขุดลอก ถม และดัดแปลงให้แปรสภาพไป ชุมชนก็ได้ออกมาคัดค้าน ไม่ยอมรับการพัฒนาในลักษณะดัดแปลงสภาพป่าพรุให้เปลี่ยนเป็นแหล่งน้ำอย่างอื่น แต่ต้องการให้คงสภาพป่าพรุไว้ตามธรรมชาติดังเดิม เช่น ป่าพรุจิก ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อสนองนโยบายอนุรักษ์ธรรมชาติตามพระราชดำริที่กระจายออกมาทางสื่อมวลชน
จากตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น เป็นตัวอย่างในการพัฒนาท้องถิ่นอันเกิดขึ้นเนื่องด้วยพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ซึ่งทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ห่วงใยในความเป็นอยู่ของพสกนิกรในพระองค์ ตลอดจนทรงมุ่งหวังที่จะให้บ้านเมืองเจริญไปโดยถูกทาง มีความสันติสุขและมั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นผลประโยชน์ในด้านโภคทรัพย์และด้านอาหาร การบริโภคของประชาราษฎร์ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารสืบไปยั่งยืนนาน.
พระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. เมื่อเสด็จ ฯ จังหวัดภูเก็ต เสด็จ ฯ ครั้งที่ ๑ วันอาทิตย์ที่ ๘ มีนาคม ๒๕๐๒ สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ตามเสด็จ ฯ เสด็จ ฯ ข้ามช่องแคบปากพระด้วยแพขนานยนต์ จากท่านุ่น จังหวัดพังงา ถึงท่าฉัตรไชย จังหวัดภูเก็ต เวลา ๑๖.๐๐ น. และประทับแรม ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัด วันจันทร์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๐๒ เสด็จ ฯ เยี่ยมราษฎร ณ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ทรงมีพระราชปฏิสันถารและทรงแนะนำให้ราษฎรไปรับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันอหิวาตกโรค เสด็จ ฯ ทอดพระเนตรกิจการเหมืองเจ้าฟ้า ประทับบนพลับพลาเพื่อทอดพระเนตรการสูบแร่ดีบุก ตอนบ่ายเสด็จ ฯ เยี่ยมราษฎรอำเภอถลาง ณ โรงเรียนวัดพระนางสร้าง และหาดสุรินทร์ มีประชาชนมารอเฝ้ารับ ฯ ชมพระบารมีอย่างเนืองแน่น วันอังคารที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๐๒ เสด็จ ฯ ทรงปล่อยกุ้งหัวโขนที่ท่าเรือ เสด็จ ฯ เยี่ยมราษฎรหมู่บ้านชาวเลที่บ้านราไวย์ ทอดพระเนตรการซ่อมเรือหาปลาด้วยความสนพระทัย ราษฎรทูลเกล้า ฯ ถวายกัลปังหาสีเหลือง เสด็จ ฯ กลับที่ประทับแรม ทรงดนตรีร่วมกับคณะมิตรศิลป์ของสมาคมนายเหมืองภูเก็ต และทอดพระเนตรการแสดงรองเง็งของชาวเลภูเก็ตด้วยความสนพระทัยยิ่ง วันพุธที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๐๒ เสด็จ ฯ เป็นการส่วนพระองค์ไปทรงเยี่ยมราษฎรตำบลป่าตอง และทอดพระเนตรน้ำตกวังขี้อ้อน ยังความปีติยินดีแก่ชาวบ้านซึ่งมาซักผ้าและอาบน้ำขณะนั้น ทรงขอบใจผู้นำน้ำมิหนิดซึ่งผลิตจากโรงงานบนเกาะภูเก็ต มาทูลเกล้า ฯ ถวาย ชาวป่าตองและพระครูอธิการวัดสุวรรณคีรีวงก์(พระครูพิสิฐกรณี) ได้ร่วมกันสร้างอนุสรณสถาน”ราชปาทานุสรณ์” ณ สถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ประทับยืนแรกสุด ณ ตำบลป่าตอง ในตอนบ่ายเสด็จ ฯ วัดมงคลนิมิตร ทอดพระเนตรพระพุทธรูปทองคำโบราณศิลปะสุโขทัย เสด็จ ฯ วัดพระทอง และเสด็จ ฯ เยี่ยมราษฎร ณ ตำบลป่าคลอก วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๐๒ เสด็จ ฯ ไปจังหวัดพังงา ราษฎรชาวภูเก็ตได้จัดทำป้ายผ้าแพร ถวายพระพร”ทรงจงพระเจริญ” ผูกติดกับลูกโป่งปล่อยลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าทันทีที่แพขนานยนต์ออกจากท่าฉัตรไชยเพื่อเป็นการส่งเสด็จ ฯ เสด็จ ฯ ครั้งที่ ๒ วันอังคารที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๑๐ เสด็จ ฯ ประกอบพิธีเปิดอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทร เสด็จ ฯ ประกอบพิธีปิดทองและทรงเจิมช่อฟ้าอุโบสถวัดเจริญสมณกิจ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดกราบบังคมทูลเบิกตัวผู้มีจิตศรัทธา ทูลเกล้า ฯ ถวายเงินสมทบทุนก่อสร้างอุโบสถจำนวน ๙ ราย พระครูสถิตบุญญารักษ์ รองเจ้าอาวาสวัดเจริญสมณกิจ ถวายพระพิมพ์ ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับนโยบายพระศาสนา เสด็จ ฯ ประกอบพิธีเปิด”ศูนย์บริการโลหิต ตึกเลิศโภคารักษ์” ณ โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เสด็จ ฯ ครั้งที่ ๓ วันอังคารที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๑๑ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ตามเสด็จ ฯ ทรงพระราชทาน”พระพุทธนวราชบพิตร” เพื่อเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง เสด็จ ฯ เยี่ยมราษฎรที่มาเฝ้า ฯ ชมพระบารมีที่หน้าศาลากลางจังหวัด ตอนบ่ายเสด็จ ฯ เยี่ยมโรงถลุงแร่ดีบุกของบริษัทไทยซาร์โก้ เสด็จ ฯ ทอดพระเนตรอ่าวป่าตอง และเสด็จ ฯ ทรงลงพระปรมาภิไธย”ภูมิพลอดุลยเดช”ไว้ ณ ราชปาทานุสรณ์ วันพุธที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๑๑ เสด็จ ฯ โดยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งจากสนามสุระกุลไปยังสนามบินภูเก็ต เพื่อเปลี่ยนขึ้นประทับเครื่องบินทหารไปยังจังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วเสด็จ ฯ กลับมาขึ้นเครื่องบินพระที่นั่งที่ภูเก็ต เพื่อเสด็จ ฯ นิวัติกรุงเทพมหานคร เสด็จ ฯ ครั้งที่ ๔ วันจันทร์ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๖ สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ตามเสด็จ ฯ ประทับเครื่องบินพระที่นั่งถึงสนามบินภูเก็ต ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับข้าราชการและประชาชน เสด็จ ฯ วางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี – ท้าวศรีสุนทร เสด็จ ฯ ท่าเรือบริษัทไทยซาร์โก้ เสด็จประทับเรือหลวงจันทร เยี่ยมราษฎร ณ เกาะนาคาน้อย ทรงพระราชทานเสื้อผ้าและสิ่งของแก่คนชรา.
***
ประวััติศาสตร์ ข้อมูลภูเก็ต
แก้ไข http://www.phuketdata.net/main/administrator/index2.php?option=com_content§ionid=0&task=edit&hidemainmenu=1&id=83 |