เขียนโดย ปาณิศรา ชูผล มทศ.
|
อาทิตย์, 25 มีนาคม 2018 |
มห.ภูเก็จ ๒๓๒๙อั้งยี่ อั้งยี่ ความคิดเห็นที่ 1
ตอน เจ็ดแล้วครับ กำลังรออ่าน แต่ว่าตอนนี้เนี่ย หมั่นกินผัดผักบุ้งไฟแดง บำรุงสายตาอยู่ เพราะมีความรู้ให้อ่านมากมายเหลือเกิน แล้วคุณกัมม์ล่ะครับ รับประทานของบำรุงกำลังบ้างหรือเปล่า
จากคุณ : จำปูน - [ 22 ส.ค. 48 15:20:14 A:203.144.198.246 X: TicketID:033075 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 2
เรื่อง อั้งยี่
(๑) เมื่อฉันเป็นนายพลผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกอยู่ในกรมยุทธนาธิการ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๐ จนถึง พ.ศ. ๒๔๓๒ ได้เคยมีหน้าที่ทำการปราบปรามพวกจีนอั้งยี่ในกรุงเทพฯครั้งหนึ่ง ต่อมาถึงสมัยฉันเป็นตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๕ จน พ.ศ. ๒๔๕๘ มีหน้าที่ต้องคอยระวังพวกอั้งยี่ตามหัวเมืองอยู่เสมอบางทีต้องปราบปรามบ้างแต่ไม่มีเหตุใหญ่โตเหมือนเมื่อครั้งฉันอยู่ในกรมยุทธนาธิการ ถึงกระนั้นก็ยังได้ความรู้เรื่องอั้งยี่มากขึ้น ครั้นเมื่อฉันออกจากกระทรวงมหาดไทยมาจัดการหอพระสมุดสำหรับพระนครมีกิจตรวจค้นโบราณคดี พบเรื่องอั้งยี่ที่มาในเมืองไทยแต่ก่อนๆในหนังสือพงศาวดารและจดหมายเหตุเก่าหลายแห่ง เลยอยากรู้ตำนานของพวกอั้งยี่ จึงได้ไถ่ถามผู้ที่เคยเป็นหัวหน้าอั้งยี่ที่คุ้นเคยกัน คือ พระอนุวัติราชนิยม ซึ่งมักเรียกว่า "ยี่กอฮง" นั้นเป็นต้น เขาเล่าให้ฟังได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีก จึงได้ลองเขียนบันทึกเรื่องอั้งยี่ไว้บ้างหลายปีมาแล้ว ครั้นออกมาอยู่เมืองปีนัง ฉันได้มาเห็นตำนานต้นเรื่องอั้งยี่ที่แรกเกิดขึ้นในเมืองจีน มิสเตอร์ ปิคเกอร์ริง (Mr. W.A. Pickering)แปลจากภาษาจีน ในตำราของพวกอั้งยี่ พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษไว้ในหนังสือวารสารของสมาคมรอแยลอาเชียติก Journal of Royal Asiatic Society เมื่อ ค.ศ. ๑๘๗๘ (พ.ศ. ๒๔๒๑) เขาเล่าถึงพวกจีนมาตั้งอั้งยี่ในหัวเมืองขึ้นของอังกฤษในแหลมมลายูเป็นอันใด เรื่องเบื้องต้นต่อกับเรื่องอั้งยี่ที่ฉันเคยรู้มาก่อนอีกตอนหนึ่ง จึงลองรวมเนื้อความเรื่องอั้งยี่เขียนนิทานเรื่องนี้
(๒) เหตุที่เกิดอั้งยี่ในเมืองจีน เมื่อพวกเม่งจูได้พวกจีนไว้ในอำนาจ ตั้งราชวงศ์ไต้เช็งครองเมืองจีนแล้ว ถึง พ.ศ. ๒๒๐๗ พระเจ้าคังฮีได้เสวยราชย์เป็นรัชกาลที่ ๒ ในรัชกาลนั้นมีพวกฮวนเฮงโน้วอยู่ทางทิศตะวันตกยกกองทัพมาตีเมืองจีน เจ้าเมืองกรมการที่รักษาหัวเมืองชายแดนจีนต่อสู้ข้าศึกไม่ไหว พระเจ้ากรุงจีนคังฮีจะแต่งกองทัพออกไปจากกรุงปักกิ่ง หาตัวแม่ทัพไม่ได้ จึงให้ออกประกาศว่า ถ้าใครอาสาปราบปรามพวกฮวนได้ จะประทานทองเป็นบำเหน็จ ๑๐,๐๐๐ ตำลึง และจะให้ปกครองผู้คน ๑๐,๐๐๐ ครัวเป็นบริวาร ครั้งนั้นที่วัดแห่งหนึ่งบนเขากุ้ยเลงแขวงเมืองเกี้ยนเล้งในแดนจีนฮกเกี้ยนมีหลวงจีนอยู่ด้วยกัน ๑๒๘ องค์ ได้ร่ำเรียนรู้วิชาอาคมมาก พากันเข้ามาอาสารบพวกฮวน พระเจ้ากรุงจีนทรงยินดี แต่วิตกว่าหลวงจีนมีแต่ ๑๒๘ องค์ด้วยกัน พวกข้าศึกมากนัก จึงตรัสสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อ เต็งกุนตัด คุมกองทัพไปด้วยกันกับพวกหลวงจีน ไปรบข้าศึกที่ด่านท่งก๊วน พวกหลวงจีนกับพวกกองทัพกรุงปักกิ่งมาชัยชนะฆ่าฟันพวกฮวนล้มตายแตกหนีไปหมด พระเจ้ากรุงจีนจะประทานบำเหน็จรางวัลตามประกาศ พวกหลวงจีนไม่รับยศศักดิ์และบริวาร ขอกลับไปจำศีลภาวนาอยู่อย่างเดิม รับแต่ทอง ๑๐,๐๐๐ ตำลึงไปบำรุงวัด พระเจ้ากรุงจีนก็ต้องตามใจ ส่วนเต็งกุนตัดขุนนางผู้ใหญ่ที่ไปช่วยพวกหลวงจีนนั้นได้รับบำเหน็จเป็นแม่ทัพใหญ่ ณ เมืองโอ๊วก๊วง
เต็งกุนตัดกับพวกหลวงจีน ๑๒๘ องค์ เคยชอบพอกันสนิทสนมมาตั้งแต่ไปรบพวกฮวน เมื่อจะออกจากเมืองปักกิ่งแยกกันไป เต็งกุนตัดจึงเชิญหลวงจีนทั้งหมดไปกินเลี้ยงด้วยกันวันหนึ่ง แล้วเลยกระทำสัตย์สาบานเป็นพี่น้องกันต่อไปในวันหน้า ก็ในเวลานั้นมีขุนนางกังฉิน ๒ คน เคยเป็นอริกับเต็งกุนตัดมาแต่ก่อน ทูลพระเจ้ากรุงจีนว่า เมื่อเต็งกุนตัดจะออกไปจากเมืองปักกิ่งได้ลอบกระทำสัตย์สาบานเป็นพี่น้องไว้กับพวกหลวงจีน ๑๒๘ องค์ดูผิดสังเกต สงสัยว่าเต็งกุนตัดจะคิดมักใหญ่ใฝ่สูง จึงได้สาบานเป็นพี่น้องไว้กับพวกหลวงจีนที่มีฤทธิ์เดช โดยหมายจะเอาไว้ป็นกำลัง เวลาเต็งกุนตัดออกไปเป็นแม่ทัพบังคับบัญชารี้พลมาก ถ้าได้ช่องจะสมคบกับพวกหลวงจีนพากันยกกองทัพเข้ามาชิงราชสมบัติ น่ากลัวคนในเมืองหลวงจะไม่กล้าต่อสู้เพราะกลัวฤทธิ์เดชของพวกหลวงจีน พวกขุนนางกังฉินคอยหาเหตุทูลยุยงมาอย่างนั้น
จนพระเจ้ากรุงจีนคังฮีเห็นจริงด้วย จึงปรึกษากันคิดกลอุบายตั้งขุนนางกังฉิน ๒ คนนั้นเป็นข้าหลวง คนหนึ่งให้ไปยังเมืองโอ๊วก๊วง ทำเป็นทีว่าคุมของบำเหน็จไปพระราชทานเต็งกุนตัด อีกคนหนึ่งให้ไปยังวัดบนภูเขากุ้ยเล้ง ทำเป็นทีว่าคุมเครื่องราชพลี มีสุราบานและเสบียงอาหาร เป็นต้นไปพระราชทานแก่พวกหลวงจีน ๑๒๘ องค์ เมื่อข้าหลวงไปถึงเมืองโอ๊วก๊วง เต็งกุนตัดออกไปรับข้าหลวงถึงนอกเมืองหลวงตามประเพณี ข้าหลวงก็อ่านท้องตราว่าเต็งกุนตัดคิดกบฏต้องโทษถึงประหารชีวิต แล้วจับตัวเต็งกุนตัดฆ่าเสีย ฝ่ายข้าหลวงที่ไปยังภูเข้ากุ้ยเล้ง พวกหลวงจีนก็ต้อนรับโดยมีการเลี้ยงรับที่วัด ข้าหลวงเอายาพิษเจือสุราของประทานไปตั้งเลี้ยง แต่หลวงจีนเจ้าวัดได้กลิ่นผิดสุราสามัญ เอากระบี่กายสิทธิ์สำหรับวัดมาจุ่มลงชันสูตร เกิดเปลวไฟพลุ่งขึ้นรู้ว่าเป็นสุราเจือยาพิษ ก็เอากระบี่ฟันข้าหลวงตาย แต่ขณะนั้นพวกข้าหลวงที่ล้อมอยู่ข้างนอกพากันจุดไฟเผาวัดจนไหม้โทรมหมด พวกหลวงจีน ๑๒๘ องค์ตายอยู่ในไฟบ้าง พวกข้าหลวงฆ่าตายบ้าง หนีรอดไปได้แต่ ๕ องค์ ชื่อ ฉอองค์หนึ่ง บุงองค์หนึ่ง มะองค์หนึ่ง โอองค์หนึ่ง ลิองค์หนึ่ง พากันไปซ่อนตัวอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ในแขวงเมืองโอ๊วก๊วง ที่เต็งกุนตัดเคยเป็นแม่ทัพอยู่แต่ก่อน
อยู่มาวันหนึ่ง หลวงจีน ๕ องค์นั้งลงไปที่ริมลำธาร แลเห็นกระถางธูปสามเขามีหูสองข้างใบหนึ่ง ลอยมาในน้ำกำลังมีควันธูปในอากาศ นึกหลากใจจึงลงไปยกขึ้นมาบนบกพิจารณาดู เห็นมีตัวอักษาอยู่ที่ใต้กระถางธูปนั้น ๔ ตัว ว่า หวน เชง หก เหม็ง แปลว่ากำจัดเชงเสีย กลับยกเหม็งขึ้น นึกสงสัยว่าเทวดาฟ้าและดินจะสั่งให้ทำอย่างนั้นหรืออย่างไร ลองเสี่ยงทายดูหลายครั้งก็ปรากฏว่าให้ทำเช่นนั้นทุกครั้ง หลวงจีนทั้ง ๕ ประจักษ์แจ้งแก่ใจดังนั้น จึงเอาหญ้าปักต่างธูปที่ในกระถางจุดบูชา แล้วกระทำสัตย์กันตามแบบที่เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยสัญญากันแต่ก่อน ว่าจะช่วยกันทำนุบำรุงแผ่นดิน และจะกำจัดราชวงศ์ไต้เช็งเอาบ้านเมืองคืนให้แก่ราชวงศ์ไต้เหม็งตามเดิม เมื่อปฏิญาณกันแล้ว เห็นสมุดตำราพยากรณ์มีอยู่ในก้นกระถางด้วยก็พากันยินดี แต่ในขณะนั้นเองพวกข้าหลวงที่เที่ยวติดตามก็ไปถึงจะเข้าล้อมจับ พวกหลวงจีนจึงอุ้มกระถางธูปวิ่งหนีไป เผอิญวันนั้นนางกู้ส่วยเองเมียงเต็งกุนตัดที่ถูกฆ่าตาย พาลูกและญาติพี่น้องออกไปเซ่น ณ ที่ฝังศพเต็งกุนตัด ในเวลากำลังเซ่นอยู่ได้ยินเหมืองเสียงคน แลไปดูเห็นกระบี่เล่มหนึ่งโพล่ขึ้นมาจากแผ่นดิน เอามาพิจารณาดูเห็นมีตัวอักษรจารึกที่กั่นกระบี่ว่า น่อ เล้ง โต๊ว แปลว่ามังกรสองตัวชิงดวงมักดากัน และที่ในตัวกระบี่ก็มีอักษรจารึกว่า หวน เช็ง หก เหม็ง แปลว่าให้กำจัดราชวงศ์ไต้เช็งคืนแผ่นดินให้ราชวงศ์เหม็ง ในเวลาที่กำลังพิจารณาตัวอักษรอยู่นั้นได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วย นางกู้ส่วยเองก็ถือกระบี่ที่ได้ใหม่มาพาพวกพ้องออกไปดูเห็นข้าหลวงกำลังไล่หลวงจีนทั้ง ๕ องค์มา พวกนางกู้ส่วยเองเข้าป้องกันหลวงจีน เอากระบี่ฟันถูกข้าหลวงตาย พรรคพวกก็หนีไปหมด นางกู้ส่วยเองกับพวกหลวงจียไถ่ถามและเล่าเรื่องฝ่ายของตนให้กันฟัง ก็รู้ว่าเป็นพวกเดียวกันมาแต่เดิม และได้ถูกเนรคุณอย่างเดียวกัน นางจึงให้พวกหลวงจีนอาศัยอยู่ที่บ้าน จนเห็นการสืบจับสงบเงียบ แล้วจึงให้หลวงจีนทั้ง ๕ กลับไปอยู่วัดตามเดิม หลวงจีนทั้ง ๕ นี้ได้นามว่า โหวง โจ๊ว แปลว่า บุรุษทั้ง ๕ ของอั้งยี่ต่อมา
ถึงตอนนี้หลวงจีนทั้ง ๕ แน่ใจว่าเทวดาฟ้าดิน ให้คิดอ่านกูบ้านเมืองด้วยกำจัดราชวงศ์ไต้เช็ง ก็ตั้งหน้าเกลี้ยกล่อมผู้คนให้ร่วมคิดได้พรรคพวกมากขึ้น แต่กิติศัพท์รู้ไปถึงเจ้าเมืองกรมการก็ให้ออกไปจับ หลวงจีนทั้ง ๕ จึงต้องหนีออกจากเมืองโอ๊วก๊วงต่อไป ไปพบนายโจรพวกทหารเสือ ๕ คน เมื่อได้พูดสนทนากัน พวกนายโจรก็เลื่อมใส รับจะพาโจรบริวาลของตนมาเข้าพวกด้วย แล้วพาหลวงจีนไปสำนักอยู่ภูเขาเหล็งโฮ้ว แปลว่า มังกรเสือ ในเวลานั้นมีหลวงจีนองค์หนึ่งชื่อตั้งกิ๋มน้ำ เคยเรียนรู้หนังสือมากจนได้เป็นขุนนางรับราชการอยู่ในกรุงปักกิ่ง อยู่มาสังเกตว่าราชวงศ์ไต้เช็งปกครองบ้านเมืองไม่เป็นยุติธรรม เกิดท้อใจจึงลาออกจากราชการไปบวชเป็นหลวงจีนจำศีลศึกษาวิชาอาคมของลัทธิศาสนาเต๋าอยู่ ณ ถ้ำแป๊ะเฮาตั้ง แปลว่า นกกระสาเผือก จนมีผู้คนนักถือมาก วันหนึ่งลูกศิษย์ ๔ คนไปบอกข่าวว่า หลวงจีน ๕ องค์ได้ของวิเศษ คิดอ่านจะกำจัดราชวงศ์ไต้เช็งกู้บ้านเมือง หลวงจีนตั้งกิ๋มน้ำก็ยินดีพาศิษย์ ๔ คนตามไปยังสำนักของหลวงจีน ๕ องค์ ณ ภูเขามังกรเสือ ขอสมัครเป็นพวกร่วมคิดช่วยกู้บ้านเมืองด้วย ในพวกที่ไปสมัครนั้นยังมีคนสำคัญอีก ๒ คน คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มชื่อ จูฮุ่งชัก เป็นราชนัดดาของพระเช่งจง ในราชวงศ์ไต้เหม็ง อีกคนรหนึ่งเป็นหลวงจีนชื่อ บั้งลุ้ง รูปร่างใหญ่มีกำลังวังชากล้าหาญมาก เมื่อรวบรวมพรรพวกได้มากแล้ว พวกคิดการกำจัดราชวงศ์ไต้เช็งจึงประชุมกันทำสัตย์สาบานเป็นพี่น้องกันทั้งหมด แล้วยก เจ้าจูฮุ่งชัก ขึ้นเป็นรัชทายาทราชวงศ์ไต้เหม็ง ตั้งหลวงจีนตั้งกิ๋มน้ำซึ่งเป็นผู้มีความรู้มากเป็นอาจารย์(จีนแส) และตั้งหลวงจีนบั้งลุ้งเป็น "ตั้วเฮีย" แปลว่าพี่ชายใหญ่ และเป็นตำแหน่งจอมพล ตัวนายนอกจากนั้นก็ให้มีตำแหน่งและคุมหมวดกองต่างๆ แล้วพากันยกรี้พลไปตั้งอยู่ที่ภูเขาฮ่งฮวง แปลว่า ภูเขาหงส์ (จะเป็นแขวงเมืองไหนไม่ปรากฏ) หวังจะตีเอาบ้านเมืองคืน ได้รบกับกองทัพประจำเมืองนั้น รบกันครั้งแรก พวกกบฏมีชัยชนะตีกองทหารหลวงแตกหนีเข้าเมือง แต่รบครั้งหลังเกิดเหตุอัปมงคลขึ้นอย่างประหลาด ด้วยในเวลาหลวงจีนบั้งลุ้งตั้วเฮีย ขี่ม้าขับพลเข้ารบ ม้าล้มลงจอมพลตกม้าตาย พวกกบฏก็แตกพ่ายพากันหนีกลับไปยังเขามังกรเสือ หลวงจีนตั้งกิ๋มน้ำผู้เป็นอาจารย์เห็นว่าเกิดเหตอันมิบังควรผิดสังเกต ตรวจตำราดูก็รู้ว่าเป็นเพราะพระราชวงศ์ไต้เช็งยังรุ่งเรืองในตำราว่า ศัตรูไม่สามารถจะทำร้ายได้ จึงชี้แจงแก่พวกกบฏว่า ถาจะรบพุ่งต่อไปในเวลานั้นก็ไม่สำเร็จได้ดังประสงค์ ต้องเปลี่ยนอุบายเป็นอย่างอื่น แนะให้พวกที่ทำสัตย์สาบานกันแล้วแยกย้ายกระจายกันไปอยู่โดยลำพังตัวตามหัวเมืองต่างๆ และทุกๆคนไปคิดตั้งสมาคมลับขึ้นในตำบลที่ตนไปอยู่ หาพี่น้องน้ำสบถร่วมความคิดกันให้แพร่หลาย พอถึงเวลาชะตาราชวงศ์ไต้เช็งตก ก็ให้พร้อมมือกันเข้าตีเมือง จึงจะกำจัดราชวงศ์ไต้เช็งได้ พวกกบฏเห็นชอบด้วย จึงตั้งสมาคมลับให้เรียกชื่อว่า "เทียนตี้หวย" แปลว่า ฟ้าดินมนุษย์ หรือเรียกโดยย่ออีกอย่าง "ซาฮะ" แปลว่า องค์สาม คือฟ้าดินมนุษย์ และตั้งแบบแผนสมาคม ทั้งวิธีสบถสาบานรับสมาชิกและข้อบังคับสำหรับสมาชิก กับทั้งกิริยาอาการที่จะแสดงความลับกันในระหว่างสมาชิกให้รู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน จึงเกิดสมาคมลับที่ไทยเราเรียกว่า "อั้งยี่" ขึ้นในเมืองจีนด้วยประการฉะนี้ รัฐบาลจีนรู้ว่าใครเป็นพวกอั้งยี่ก็จับฆ่า ถึงอย่างนั้นพวกสมาคม "เทียนตี้หวย" หรือ "ซาฮะ" ก็ยังมีอยู่ในเมืองจีนสืบมา รัฐบาลทำลายล้างไม่หมดได้
(๓) อั้งยี่ในแหลมมลายู
จากคุณ : กัมม์ - [ 22 ส.ค. 48 16:59:20 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 3
รับยาดองครับ ท่านจำปูน
จากคุณ : กัมม์ - [ 22 ส.ค. 48 17:00:25 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 4
จากคุณ : กริชครับผม - [ 22 ส.ค. 48 17:51:24 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 5
ยินดีต้อนรับครับสู่ห้องใหม่ครับคุณกริช
ท่าน จำปูน เห็นในกระดาน ตำนานพระโกศ ตอนท้ายของ # ๑ เอะใจว่าทำไมถึงลง "เอย" อ่านดูอีกรอบ นั้นแน่ ไม่ธรรมดานี่ เป็นฉันทลักษณ์
"อันตัวเราก็หนึ่งในตองอู ดูหรือมาหมิ่นเชิงชาย"
เมื่อท้าทายกันก็ต้องโต้กันเสียบ้างแล้วครับ
....ชื่อ กัมม์ แม้ดับแล้ว................แต่เหลือ เหลือแต่หนี้สินเฝือ......................มากได้ ได้มากเท่าไรเถือ........................ทั้งหมด หารสอง สองหารเท่าใดไซร้......................แบ่งให้ จำปูน ฯ
จากคุณ : กัมม์ - [ 22 ส.ค. 48 18:32:09 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 6
....ยอมรับจับจิตแล้ว.....................คุณกัมม์ หลังขดหลังแข็งจำ.........................จดให้ ความรู้ถ่ายทอดทำ........................ประโยชน์ ขอโทษรับมิได้..............................เนื่องไซร้ ยังจน
มาอย่างไรก็ไปอย่างนั้นครับ
จากคุณ : จำปูน - [ 22 ส.ค. 48 21:46:51 A:202.133.166.147 X: TicketID:033075 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 7
อย่างนี้พอรับได้ครับ ท่าน .......มรดกพกห่อต้อง……..….ทองคำ ร้อยบาทเป็นอย่างต่ำ…..….....สิบอกให้ ร้านฮั่วเซ่งเฮงทำ……………...ลายเลิศ หรูแฮ ทองดอกบวบนั้นไซร้……...….อย่าได้นำมา
ง้วง ง่วง ไปนอนก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์
จากคุณ : จำปูน - [ 22 ส.ค. 48 22:58:16 A:202.133.166.147 X: TicketID:033075 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 8
ขอเสริมนิดครับ
สำนวน โค่นชิงกู้หมิง นี้ ภาษาจีนกลาง ออกเสียงว่า
ฝ่านชิงฝู่หมิง ครับ
จากคุณ : เอิ๊ก พรหรม - [ 22 ส.ค. 48 23:18:50 A:203.170.228.172 X: TicketID:050066 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 9
เจอของจริงเข้าเสียแล้ว นับถือ นับถือ ข้าน้อยนับถือ เอาไว้ว่างๆ หรือท่านจำปูน เงียบหายไปจะแหย่ใหม่นะครับ
ขอบพระคุณครับ คุณ เอิ๊ก ช่วยกัน ช่วยกัน
จากคุณ : กัมม์ - [ 23 ส.ค. 48 10:42:28 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 10
สำนวน โค่นชิงกู้หมิง นี้ มาแต่โบราณเลยหรือครับ ใครแต่งหนอ เก่งจัง เวลาดูหนังจีนแล้วฮึกเหิมดี
จากคุณ : จำปูน - [ 23 ส.ค. 48 11:28:42 A:203.144.198.246 X: TicketID:033075 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 11
ไปอยู่ที่ ตำนานพระโกศ เสียครึ่งวัน มาว่ากันต่อนะครับ
(๓) อั้งยี่ในแหลมมลายู
ในหนังสือฝรั่งแต่ง เขาว่าพวกจีนที่ทิ้งบ้านเมืองไปเที่ยวทำมาหากินตามต่างประเทศ ล้วนแต่เป็นชาวเมืองชายทะเลภาคใต้ และอยู่ในพวกที่เป็นคนขัดสนทั้งนั้น จีนชาวเมืองดอนหรือที่มีทรัพย์สินสมบูรณ์หามีใครทิ้งบ้านเมืองไปเที่ยวทำมาหากินตามต่างประเทศไม่ และว่าพวกจีนที่ทำมาหากินต่างประเทศนั้น จีนต่างภาษามักไปประเทศที่ต่างกัน พวกจีนจิ๋วมักชอบไปเมืองไทย พวกจีนฮกเกี้ยนมักชอบไปเมืองชวามลายู พวกจีนกวางตุ้งมักชอบไปอเมริกา เมื่ออังกฤษตั้งเมืองสิงคโปร์(ตรงกับตอนปลายรัชกาลที่ ๒ กรุงรัตนโกสินทร์) มีพวกจีนอยู่ในแหลมมลายูเป็นอันมากมาแต่ก่อนแล้ว ที่มาได้ผลประโยชน์จนมีกำลังเลยตั้งตัวเป็นหลักเป็นแหล่งก็มี ในสมันนั้นจีนที่มาเที่ยวหากินในเมืองไทยและเมืองชวามลายู มาแต่ผู้ชาย จีนที่มาตั้งตัวเป็นหลักแหล่งมาได้ผู้หญิงชาวเมืองเป็นเมีย มีลูกเกิดด้วยสมพงศ์เช่นนั้นมลายูเรียกผู้ชายว่า "บาบ๋า" เรียกผู้หญิงว่า "ยอหยา" ทางเมืองชวามลายู จีนผู้เป็นพ่อไม่พอใจจะให้ลูกถือศาสนาอิสลามตามแม่ จึงฝึกหัดอบรมให้ลูกทั้งชายหญิงเป็นจีนสืบตระกูลต่อมาทุกชั่ว เพราะฉะนั้นจีนในเมืองชวามลายูจึงต่างกันเป็น ๒ อย่าง คือ "จีนนอก" ที่มาจากเมืองจีนอย่าง ๑ "จีนบาบ๋า" ที่เกิดขึ้นในท้องที่อย่าง ๑ อยู่เสมอ ผิดกับเมืองไทน เพราะเหตุที่ไทยถือพระพุทธศาสนาร่วมกับจีน ลูกจีนที่เกิดในเมืองไทย ถ้าเป็นผู้ชายคงเป็นจีนตามอย่างพ่ออยู่เพียงชั่วหนึ่งหรือสองชั่วก็กลายเป็นไทย แต่ลูกผู้หญิงกลายเป็นไทยตามแม่ตั้งแต่ชั่วแรก ในเมืองไทยจึงมีแต่จีนนอกกับไทยที่เป็นเชื้อจีน หามีจีนบาบ๋าเป็นจีนประจำอยู่พวกหนึ่งต่างหากไม่
ในสมัยเมื่ออังกฤษแรกตั้งเมืองสิงคโปร์นั้น พวกจีนก็เริ่มตั้งอั้งยี่คือสมาคมลับที่เรียกว่า "เทียนตี้หวย" หรือ "ซาฮะ" ขึ้นในเมืองมลายูบ้างแล้ว อังกฤษรู้อยู่ว่าวัตถุที่ประสงค์ของพวกอั้งยี่จะกำจัดราชวงศ์ไต้เช็ง อันเป็นการในเมืองจีน ไม่เห็นว่ามีมูลอันใดจะมาตั้งอั้งยี่ในเมืองต่างประเทศ สืบถามได้ความว่าพวกจีนมาตั้งอั้งยี่ในมลายูไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องกำจัดราชวงศ์ไต้เช็ง เป็นแต่เอาแบบแผนสมาคม "เทียนตี้หวย" ในเมืองจีนมาตั้งข้น เพื่อจะสงเคราะห์พวกจีนที่จะมาทำมาหากินทางเมืองมลายู มิให้ต้องตกยากหรือได้รับความเดือดร้อนเพราะถูกพวกมลายูกดชี่ข่มเหงเท่านั้น อีกประการหนึ่งปรากฏว่าพวกอั้งยี่มีแต่ในพวกจีนนอก แต่จีนที่มาตั้งตัวเป็นหลักแหลบ่งและจีนบาบ๋าที่เกิดในแหลมมลายูหาเกี่ยวข้องกับพวกอั้งยี่ไม่ อังกฤษเห็นว่าเป็นแต่สมาคมสงเคราะห์กันและกัน ก็ปล่อยให้มีอั้งยี่อยู่ไม่ห้ามปราม ครั้นจำเนียรกาลนานมา(ถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ กรุงรัตนโกสินทร์)เมื่อเศรษฐกิจในแหลมมลายูเจริญขึ้น พวกพ่อค้าที่ขุดแร่ดีบุกและทำเรือกสวนต้องการแรงงานมากขึ้น ต่างก็เรียกหาว่าจ้างจีนในเมืองจีนมาเป็นกรรมกรมากขึ้นโดยลำดับ จำนวนจีนที่เป็นอั้งยี่ก็มีมากขึ้นและจัดแยกกันเป็นหลายเหล่า จนเหลือกำลังผู้ที่เป็น "ตั้วเฮีย" หัวหน้าจะว่ากล่าวปกครองได้ ไม่มีใครสมัครเป็นตั้วเฮีย พวกอั้งยี่ก็แยกกันเป็นหลายกงสีเรียกชื่อต่างกัน ต่างมีแต่ "ยี่เฮีย" (แปลว่าพี่ที่สอง) เป็นหัวหน้า เป็นอิสระแก่กัน และอั้งยี่ต่างกงสีมักเกิดวิวาทตีรันฟันแทงกันจนรัฐบาลรำคาญ แต่จะบังคับให้เลิกอั้งยี่ก็เกรงจะเกิดลำบากด้วยอาจเป็นเหตุให้พวกจีนในเมืองจีนหวาดหวั่น ไม่มารับจ้างเป็นกรรมกรพอต้องการเหมือนแต่ก่อนอย่างหนึ่ง และพวกจีนกรรมกรมีมากกว่าแต่ก่อนมาก ถ้าพวกอั้งยี่ขัดขืนก็ต้องใช้กำลังปราบปรามกลายเป็นการใหญ่โตขึ้นกว่าเหตุ อีกประการหนึ่งเห็นว่าพวกอั้งยี่เป็นแต่มักวิวาทกันเอง หาได้ทำร้ายต่อรัฐบาลอย่างใดไม่ อังกฤษตั้งข้อบังคับควบคุมพวกอั้งยี่เป็นสายกลาง คือ ภ้าจีนตั้งสมาคมอั้งยี่หรือสาขาของสมาคมที่ไหน ต้องมาขออนุญาตต่อรัฐบาล บอกชื่อผู้เป็นหัวหน้าและพนักงานของสมาคมก่อน ต่อได้รับอนุญาตจึงตั้งได้ ถ้ารัฐบาลมีกิจเกี่ยวข้องแก่พวกอั้งยี่สมาคมไหน ก็จะว่ากล่าวเอาความรับผิดชอบแก่หัวหน้าและพนักงานแก่สมาคมนั้น แต่นั้นมาพวกอั้งยี่สมาคมต่างๆก็ตั้งกงสีของสมาคม ณ ที่ต่างๆแพร่หลาย โดยวิธี "รัฐบาลเลี้ยงอั้งยี่" เป็นประเพณีสืบมา
ที่เอาเรื่องอั้งยี่ในหัวเมืองขึ้นอังกฤษมาเล่าเพราะมามีเรื่องเกี่ยวข้องกับในเมืองไทยเมื่อภายหลัง ดังจะปรากฏต่อไปข้างหน้า
(๔) อั้งยี่แรกมีในเมืองไทย
ในจดหมายเหตุของไทยใช้คำเรียกอั้งยี่ต่างกันตามสมัยแต่ความไม่ตรงกับที่จริงทั้งนั้น จึงจะแทรกคำอธิบายเรียกต่างๆลงตรงนี้ก่อน ชื่อของสมาคมที่ตั้งในเมืองจีนแต่เดิมเรียกว่า "เทียนตี้หวย" แปลว่า "ฟ้า ดิน มนุษย์"(๑) หรือเรียกโดยย่ออีกอย่างหนึ่งตามภาษาจีนฮกเกี้ยนว่า "ซาฮะ" แปลว่า องค์สาม เป็นนามของอั้งยี่ทุกพวก ครั้นอั้งยี่แยกกันเป็นหลายกงสี จึงมีชื่อกงสีเรียกต่างกัน เช่น งี่หิน ปูนเถ้าก๋ง งี่ฮก ตั้งกงสี ชิวลิกือ เป็นต้น คำว่าอั้งยี่ แปลว่า "หนังสือแดง" ก็เป็นแต่ชื่อกงสีอันหนึ่งเท่านั้น ยังมีชื่อเรียกสำหรับตัวนายอีกส่วนหนึ่ง ผู้ที่เป็นหัวหน้าอั้งยี่ในถิ่นอันหนึ่งรวมกันทุกกงสี เรียกตามภาษาฮกเกี้ยนว่า "ตั้วกอ" ตามภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า "ตั้วเฮีย" แปลว่าพี่ใหญ่ ผู้เป็นหัวหน้ากงสีเรียกว่า "ยี่กอ" หรือ "ยี่เฮีย" แปลว่าพี่ที่สอง ตัวนายรองลงมาเรียกว่า "ซากอ" หรือ "ซาเฮีย" แปลว่าพี่ที่สาม ในจดหมายเหตุของไทยเดิมเรียกพวกที่เข้าสมาคมเทียนตี้หวยทั้งหมดว่า "ตั้วเฮีย" มาจนรัชกาลที่ ๕ เปลี่ยนคำว่า "ตั้วเฮีย" เรียก "อั้งยี่" ในนิทานนี้ฉันเรียกอั้งยี่มาแต่ต้นเพื่อให้สะดวกแก่ท่านผู้อ่าน
อั้งยี่แรกขึ้นมีในเมืองไทยเมื่อรัชกาลที่ ๓ มูลเหตุที่จะเกิดอั้งยี่นั้น เนื่องมาแต่อังกฤษเอาฝิ่นอินเดียเข้าไปขายในเมืองจีนมากขึ้น พวกจีนตามเมืองชายทะเลพากันสูบฝิ่นติดแพร่หลาย จีนเข้ามาหากินในเมืองไทย ที่เป็นคนสูบฝิ่นก็เอาฝิ่นเข้ามาสูบกันแพร่หลายกว่าแต่ก่อน เลยเป็นปัจจัยให้มีไทยสูบฝิ่นมากขึ้น แม้จนผู้ดีที่เป็นเจ้าและขุนนางพากันสูบฝิ่นติดก็มี ก็ในเมืองไทยมากฎหมายห้ามมาแต่ก่อนแล้วมิให้ใครสูบฝิ่ หรือซื้อฝิ่นขายฝิ่น เมื่อปรากฏว่ามีคนสูบฝิ่นขึ้นแพร่หลายเช่นนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงดำรัสสั่งให้ตรวจจับฝิ่นตามกฎหมายอย่างกวดขัน(๒) แต่พวกจีนและไทยที่สูบฝิ่นมีมากก็จำต้องลอบหาซื้อฝิ่นสูบ เป็นเหตุให้คนลอบขายฝิ่นขึ้นราคาขายได้กำไรงาม จึงมีพวกค้าฝิ่นด้วยตั้งอั้งยี่วางสมัครพรรคพวกไว้ตามหัวเมืองชายทะเลที่ไม่มีการตรวจตรา คอยรับฝิ่นจากเรือที่มาจากเมืองจีนแล้วเอาปลอมปนกับสินค้าอื่นส่งเข้ามายังกงสีใหญ่ ซึ่งตั้งขึ้นตามที่ลี้ลับในหัวเมืองใกล้ๆกรุงเทพฯ ลอบขายฝิ่นเป็นรายย่อยเข้ามายังพระนคร ข้าหลวงสืบรู้ก็ออกไปจับ ถ้าซ่องไหนมีพรรคพวกมากก็ต่อสู้จนถึงเกิดเหตุรบพุ่งกันหลายครั้ง มีปรากฎในหนังสือพงศาวดารว่า
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕ เกิดอั้งยี่ในแขวงจังหวัดนครชัยศรี และจังหวัดสมุทรสาคร แต่ปราบปรามได้โดยไม่ต้องรบพุ่งครั้งหนึ่ง
ต่อนั้มา ๒ ปี ถึง พ.ศ. ๒๓๘๗ พวกอั้งยี่ตั้งซ่องขายฝิ่นที่ในป่าแสมริมชายทะเล ณ ตำบลแสมดำ ในระหว่างปากน้ำบางปะกงกับแขวงจังหวัดสมุทรปราการต่อสูเจ้าพนักงานจับฝิ่น ต้องให้กรมทหารปากน้ำไปปราบ ยิงพวกอั้งยี่ตายหลายคน และจับหัวหน้าได้ อั้งยี่ก็สงบลงอีกครั้งหนึ่ง
ต่ามาอีก ๓ ปี ถึง พ.ศ. ๒๓๙๐พวกอั้งยี่ตั้งซ่องขายฝิ่นขึ้นอีกที่ตำบลลัดกรุด แขวงเมืองสมุทรสาคร ครั้งนี้พวกอั้งยี่มีพรรคพวกมากว่าแต่ก่อน พระยาพลเทพ(ปาน)ซึ่งเป็นหัวหน้าพนักงานจับฝิ่น ออกไปจับเองถูกพวกอั้งยี่ยิงตาย จึงโปรดฯให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์(๓)เมื่อยังเป็นเจ้าพระยาพระคลังคุมกำลังไปปราบ ฆ่าพวกอั้งยี่ตายประมาณ ๔๐๐ คน และจับหัวหน้าได้จึงสงบ
ปราบพวกอั้งยี่ที่ลัดกรุดได้ไม่ถึงเดือน พอเดือน ๕ พ.ศ. ๒๓๙๑ พวกอั้งยี่ก็กำเริบขึ้นที่เมืองฉะเชิงเทรา คราวนี้ถึงเป็นกบฎ ฆ่าพระยาวิเศษลือชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดตาย แล้วพวกอั้งยี่เข้ายึดป้อมเมืองฉะเชิงเทราไว้เป็นที่มั่น โปรดฯให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ยกพลจากเมืองสมุทรสาครไปปราบ พวกอั้งยี่ที่เมืองฉะเชิงเทราต่อสู่พ่ายแพ้ พวกจีนถูกฆ่าตายกว่า ๓,๐๐๐ คน อั้งยี่เมืองฉะเชิงเทราจึงสงบ(๓) ต่อมาอีก ๒ ปีก็สิ้นรัชกาลที่ ๓
(๕) อั้งยี่ในเมืองไทยเมื่อรัชกาลที่ ๕
....................................................................................................................................................
(๑) ในหนังเรื่อง "หวงเฟยหง" มักได้ยิน คนแปลคนพากย์ใช้คำว่า พรรคฟ้าดิน-คือสมาคมลับต่อต้านราชวงศ์ ก็คืออันเดียวกัน "เทียนตี้หวย"
(๒) การกวดขันปราบปรามฝิ่นในครั้ง ได้ฝิ่นเป็นจำนวนมาก โปรดฯให้เอา"กลักฝิ่น"ที่ได้มาด้วยนั้นหลอมและหล่อเป็นพระพุทธรูปประดิษฐานไว้ในบริเวณเชิงภูเขาทอง กรุงเทพฯ เป็นอนุสรณ์
ผ่านไปผ่านมาแวะนมัสการบ้างนะครับ Unseen Thailand พระพุทธรูปองค์เดียวที่หล่อสร้างจากกลักฝิ่น
(๓) สมเด็จพระบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) เป็นบุตรเจ้าพระยามหาเสนา(บุนนาค) และเจ้าคุณนวล พระกนิษฐภคินีในกรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ เดิมเป็นนายสุจินดาหุ้มแพรมหาดเล็ก แล้วเป็นหลวงศักดิ์นายเวร เป็นจมื่นไวยวรนาถ หัวหมื่นมหาดเล็กในรัชกาลที่ ๑ แล้วเป็นพระยาสุริยวงศ์มนตรี จางวางมหาดเล็กในรัชกาลที่ ๒เมื่อเจ้าพระยาโกษา(สังข์)เลื่อนไปเป็นที่สมุหพระกลาโหม จึ่งโปรดฯให้พระยาสุริยวงศ์มนตรี(ดิศ)เป็นเจ้าพระยาพระคลัง เมื่อตอนปลายรัชกาลที่ ๒
ครั้นรัชกาลที่ ๓ เจ้าพระยามหาเสนา(น้อย)ถึงอสัญกรรมแล้ว จะโปรดฯให้เจ้าพระยาพระคลัง(ดิศ)เลื่อนเป็นเจ้าพระยามหาเสนา เจ้าพระยาพระคลัง(ดิศ)อ้างว่าเป็นเจ้าพระยามหาเสนามักจะอายุสั้นไม่ยอมรับ จึงโปรดฯให้ว่าทั้งกลาโหมและกรมท่า เรียกว่า เจ้าพระยาพระคลังว่าที่สมุหกลาโหม
ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ โปรดฯให้ยกขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยา เรียกันว่าสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ เมื่อก่อนจะทรงตั้งเจ้าพระยาพระคลังที่สมุหพระกลาโหมเป็นสมเด็จเจ้าพระยา โปรดฯให้เรียกว่า เจ้าพระยาอัครมหาอุดมบรมวงศาเสนาบดีไปพลางก่อนจนได้ฤกษ์ ในปีกุน พ.ศ. ๒๓๙๔ พระราชทานราชทินนามว่า สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ วรุตพงศนายก สยามดิลกโลกานุปาลนนาถสกลราชวราณาจักราธิเบนทร ปรเมนทรมหาราชานุกูล สรรพกิจมูลมเหศวรเชษฐามาตยาธิบดี ศรีสรณรัตนธาดา อดุลยเดชานุภาพบพิตร
สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ เกิดเมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๓๓๑ ถึงแก่พิราลัย เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๙๘ อายุ ๖๘ ปี
(๓) มีเรื่องในเทศนาเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวว่า "เจ้าพระยาบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี) ยกทัพกลับจากเมืองเขมรผ่านมาทางเมืองฉะเชิงเทรา ได้แวะช่วยเจ้าพระยาพระคลังปราบกบฏที่เมืองฉะเชิงเทราจนสงบ จึงยกทัพเข้าพระนคร"
ต้องให้เครดิตกับท่านด้วย.... ตายไปกว่า ๓,๐๐๐ คน ดูสมกับอุปนิสัยที่เข้มแข็ง เด็ดขาดของท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่จริงๆ ประวัติ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา(สิงห์ สิงหเสนี) คลิ๊กที่ลิงค์นี้ครับ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K3435860/K3435860.html
จากคุณ : กัมม์ - [ 23 ส.ค. 48 16:41:20 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 12
มาเข้าคิวอ่านเช่นเดิมครับ
จากคุณ : jaxcu - [ 24 ส.ค. 48 12:55:44 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 13
ยินดีต้อนรับเช่นเดิมครับ Jaxcu
จากคุณ : กัมม์ - [ 24 ส.ค. 48 16:46:34 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 14
(๕) อั้งยี่ในเมืองไทย เมื่อรัชกาลที่ ๔
ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตรัสปรึกษาเสนาบดีเห็นพร้อมกันว่า การจับฝิ่นเมื่อรัชกาลที่ ๓ แม้จับกุมอย่างกวดขันมาหลายปี ฝิ่นก็ยังเข้ามาได้เสมอ คนสูบฝิ่นก็ยังมีมากไม่หมดไป ซ้ำเป็นเหตุให้เกิดอั้ยี่ถึงต้องรบพุ่งฆ่าฟันกันหลายครั้ง จะใช้วิธีจับฝิ่นอย่างนั้นต่อไปเห็นจะไม่เป็นประโยชน์อันใด จึงเปลี่ยนนโยบายเป็นตั้งภาษีฝิ่นผูกขาด คือ เฉพาะแต่รัฐบาลซื้อฝิ่นเข้ามาต้มขายเอากำไร ให้จีนซื้อฝิ่นสูบได้ตามชอบใจ คงห้ามแต่ไทยมิให้สูบฝิ่น
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริอีกอย่างหนึ่งว่า ที่อั้งยี่หาพรรคพวกได้มาก เป็นเพราะพวกจีนที่ไปทำเรือกสวนหรือค้าขายอยู่ตามหัวเมืองมักถูกพวกจีนเจ้าภาษีเบียดเบียนในการเก็บภาษีและถูกคนในพื้นเมืองรังแก ทรงแก้ไขข้อนี้ด้วยเลือกหาจีนที่ตั้งตัวได้เป็นหลักแหล่งแล้ว และเป็นคนซื่อตรงมีคนนับถือมากตั้งเป็นตำแหน่งปลัดจีนขึ้นในกรมการตามหัวเมืองที่มีจีนมาก สำหรับช่วยเป็นธุระและรับทุกข์ร้อนของพวกจีนขึ้นเสนอต่อรัฐบาล เมื่อทรงแก้ไขด้วยอุบาย ๒ อย่างนั้น เหตุการณ์เรื่องอั้งยี่ก็สงบมาได้หลายปี
แต่ถึงตอนปลายรัชกาลที่ ๔ มีอั้งยี่เกิดขึ้นด้วยเหตุอย่างอื่น เหตุที่เกิดอั้งยี่ตอนนี้เนื่องจากประเพณีจีนเข้าเมือง ด้วยจีนที่ทิ้งถิ่นไปทำมาหากินในต่างประเทศล้วนเป็นคนยากจนมักไปแต่ตัว แม้เงินค่าโดยสารเรือก็ไม่มีจะเสีย เมื่อเรือไปถึงเมืองไหน เช่น เมืองสิงคโปร์ก็ดี หรือมาถึงกรุงเทพฯก็ดี มีจีนในเมืองนั้นที่เป็นญาติหรือเป็นเถ้าเก๋หาลูกจ้าง ไปรับเสียเงินค่าโดยสารและรองเงินล่วงหน้าให้จีนที่เข้ามาใหม่ ไทยเรียก "จีนใหม่" ทางเมืองสิงคโปร์เรียกว่า "sing Keh" แล้วทำสัญญากันว่าเถ้าเก๋จะรับเลี้ยงให้กินอยู่ ข้างฝ่ายจีนใหม่จะทำงานให้เปล่าไม่เอาค่าจ้างปีหนึ่ง งานที่ทำนั้นเถ้าเก๋จะใช้เอง หรือจะให้ไปทำงานให้คนอื่น เถ้าเก๋เป็นผู้รับค่าจ้าง หรือแม้เถ้าเก๋จะโอนสิทธิ์ในสัญญาให้ผู้อื่นก็ได้ เมื่อครบหนึ่งปีแล้วสิ้นเขตที่เป็นจีนใหม่พ้นหนี้สิน จะรับจ้างเถ้าเก๋ทำงานต่อไป หรือไปทำมาหากินที่อื่นโดยลำพังตนก็ได้ มีประเพณีอย่างนี้มาแต่เดิม ถึงรัชกาลที่ ๔ ตั้งแต่ไทยทำหนังสือสัญญาค้าขายกับฝรั่งต่างชาติ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ การค้าขายในเมืองไทยเจริญขึ้นรวดเร็ว มีโรงจักรสีข้าว เลื่อยไม้ และมีการขนลำเลียงสินค้า อันต้องการแรงงานมากขึ้น ทั้งในเวลานั้นการคมนาคมกับเมืองจีนสะดวกขึ้นด้วยมีเรือกำปั่นไปมาบ่อยๆ พวกจีนใหม่ที่เข้ามาหากินก็มากขึ้น จึงเป็นเหตุให้จีนในกรุงเทพฯคิดหาผลประโยชน์ด้วยการเป็นเถ้าเก๋รับจีนใหม่เข้าเมืองโดยวิธีดังกล่าวมาแล้วมากขึ้น และการนั้นได้กำไรงาน ก็เกิดแข่งขันเกลี้ยกล่อมจีนใหม่ พวกเถ้าเก๋ก็เลยอาศัยจีนใหม่ของตนให้ช่วยกันเกลี้ยกล่อมจีนเข้ามาใหม่ ตลอดจนไปชิงกันหางานให้พวกจีนใหม่ของตนทำ ก้เลยตั้งพวกเป็นอั้งยี่ด้วยประการฉะนี้ แต่ผิดกับอั้งยี่ในรัชกาลที่ ๓ ด้วยไม่คิดร้ายต่อรัฐบาลและมีแต่พวกละน้อยๆหลายพวกด้วยกัน
แต่เมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๔๑๐ ก่อนจะสิ้นรัชกาลที่ ๔ มีพวกอั้งยี่กำเริบขึ้นที่เมืองภูเก็ต แต่มิได้เกี่ยวข้องกับจีนในกรุงเทพฯ ด้วยพวกอั้งยี่ที่เมื่อภูเก็ตขยายมาจากเมืองขึ้นของอังกฤษ ซึ่งรัฐบาลใช้นโยบาย "เลี้ยงอั้งยี่" ดังกล่าวมาแล้ว พวกจีนในแดนอังกฤษไปมาค้าขายกับหัวเมืองไทยทางตะวันตกอยู่เป็นนิจ พวกอั้งยี่จึงมาเกลี้ยกล่อมจีนที่เมืองภูเก็ตให้ตั้งอั้งยี่เพื่อสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน เป็นสาขาของกงสี "งี่หิน" พวกหนึ่งมีประมาณ ๓,๕๐๐ คน ของกงสี "ปูนเถ้าก๋ง" พวกหนึ่งประมาณ ๔,๐๐๐ คน อยู่มามีนายอั้งยี่ทั้งสองพวกนั้นวิวาทกันด้วยชิงสายน้ำที่ทำเหมืองแร่ดีบุก ต่างเรียกพวกอั้งยี่ของตนมารบกันที่กลางเมือง ผู้ว่าราชการเมืองภูเก็ตห้ามก็ไม่ฟัง จะปราบปรามก็ไม่มีกำลังพอการ จึงโปรดฯให้เจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ(๑)เมื่อยังเป็นที่พระยาเทพประชุนปลัดทูลฉลองกระทรวงกลาโหมเป็นข้าหลวงออกไปยังเมืองภูเก็ต ให้ไปพิจารณาว่ากล่าวเรื่องอั้งยี่วิวาทกัน ถ้าพวกอั้งยี่ไม่ฟังคำบังคับบัญชาให้เรียกระดมพลตามหัวเมืองปราบปรามด้วยกำลัง แต่เมื่องเจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯออกไปถึง หัวหน้าอั้งยี่ทั้งสองพวกอ่อนน้อมโดยดี เจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯว่ากล่าวระงับเหตุวิวาทเรียบร้อยแล้ว พาตัวหัวหน้าอั้งยี่ทั้งสองกงสีรวม ๙ คนมาสารภาพผิดในกรุงเทพฯ จึงโปรดให้ถือน้ำกระทำสัตย์สาบานว่าจะไม่คิดร้ายต่อแผ่นดิน แล้วปล่อยตัวกลับไปทำมาหากินอย่างเดิม
การระงับอั้งยี่วิวาทกันที่เมืองภูเก็ตครั้งนั้น เป็นเหตุที่ไทยจะเอาวิธี "เลี้ยงอั้งยี่" อย่างที่อังกฤษจัดตามหัวเมืองในแหลมมลายูมาใช้ที่เมืองภูเก็ตก่อน แล้วเลยเอาเข้ามาใช้ในกรุงเทพฯ เมื่อภายหลัง แต่อนุโลมให้เข้ากับประเพณีไทยมิให้ขัดกัน เป็นต้นว่าที่เมืองภูเก็ตนั้นเลือกจีนที่มีพรรคพวกนับถือมากมาตั้งเป็น "หัวหน้าต้นแซ่" สำหรับนำกิจทุกข์สุขของพวกของตนเสนอต่อรัฐบาล และควบคุมว่ากล่าวของตนตามประสงค์ของรัฐบาล คล้ายๆกับกรรมกรจีน ที่เป็นคนมีหลักฐานมั่นคงถึงให้มีบรรดาศักดิ์เป็นขุนเป็นหลวงก็มี แต่พวกหัวหน้าต้นแซ่นั้นก็เป็นอั้งยี่พวกงี่หินหรือปูนเถ้าก๋งทุกคน การที่จัดขึ้นเป็นแต่อย่างควบคุมอั้งยี่และให้มีพวกหัวหน้าต้นแซ่สำหรับรัฐบาลใช้ไปว่ากล่าวพวกอั้งยี่ และคอยห้ามปรามพวกอั้งยี่ต่างพวกวิวาทกัน แต่ยังยอมให้พวกจีนตั้งอั้งยี่ได้ตามใจไม่ห้ามปราม
(๖) อั้งยี่ในเมืองไทย เมื่อต้นรัชกาลที่ ๕
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์ เมื่อเดือนตุลาคม ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑(๒) เวลานั้นยังทรงพระเยาว์วัย พระชันษาเพียง ๑๖ ปี จึงต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เมื่อยังเป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ สมุหพระกลาโหม ได้เป็นผู้สำเร็จราชการอยู่ ๕ ปี
เวลาเมื่อเปลี่ยนรัชกาลครั้งนั้น มีเหตุต่างๆที่ทำให้รัฐบาลลำบากหลายเรื่อง เรื่องอื่นยกไว้จะเล่าแต่เรื่องกับพวกอั้งยี่(๓) เมื่อกำลังจะเปลี่ยนรัฐบาลมีอั้งยี่พวกหนึ่งในกรุงเทพฯต่อสู้เจ้าภาษีฝิ่นในโรงกงก๊วน ที่ริมวัดสัมพันธวงศ์ ถึงศู้รบกันขึ้นในสำเพ็ง พอเปลี่ยนรัชกาล อั้งยี่พวกหนึ่งก็คุมกันเที่ยวปล้นราษฎรที่ในแขวงจังหวัดนครชัยศรี และท่าทางจะกำเริบขึ้นที่อื่นอีกทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมือง สมเด็จเจ้าพระยาฯระงับด้วยอุบายหลายอย่าง พิเคราะห์ดูก็น่าพิศวง
อย่างที่หนึ่งใช้ปราบด้วยอาญา ดังเช่นปราบอั้งยี่ที่กำเริบขึ้นในแขวงจังหวัดนครชัยศรี เมื่อจับได้ให้ส่งเข้ามาในกรุงเทพ เอาตัวหัวหน้าประหารชีวิตและเอาสมัครพรคพวกทั้งหมดจำคุกให้ปรากฏแก่คนทั้งหลาย
อีกอย่างใช้อุบายขู่ให้พวกอั้งยี่กลัว ด้วยจัดการซ้อมรบที่สนามชัน ถวายพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรบนพระที่นั่งพุทไธสวรรค์ทุกสัปดาห์ ฉันยังเป็นเด็กไว้จุกเคยตาม้สด็จไปดูหลายครั้ง การซ้อมรบนั้นบางวันก็ให้ทหารปืนใหญ่ปืนเล็กยิงปืนติดดินดำ เสียงดังสนั่นครั่นครื้น บางวันก็ให้ทำเป็นโครงค่ายมีหุ่นรูปคนอยู่ประจำ เอาช้างรบออกซ้อมแทงหุ่นทำลายค่าย เวลานั้นมีช้างรบอยู่ในกรุงเทพฯสักสามสี่เชือก ตัวหยึ่งชื่อพลายแก้ว เจ้าพระยายมราช(แก้ว)หัดที่เมืองนครราชศรีมา กล้าหาญนัก พอเห็นยิงปืนออกมาจากค่ายก็สวนควันเข้าไปรื้อค้าย แทงรูปหุ่นมี่รักษาทำลายลง พวกชาวพระนครไม่เคยเห็นการซ้อมรบอย่างนั้น พากันมาดูมากกว่ามาก เกิดกิตติศัพท์ระบือไปถึงพวกอั้งยี่ ก็กลัวไม่ก่อเหตุอันใดได้จริง
อุบายของสมเด็จเจ้าพระยาฯอีกอย่างหนึ่งนั้น ขยายการบำรุงจีนอนุโลมตามกระแสพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงตั้งปลัดจีนตามหัวเมืองดังกล่าวมาแล้ว และเวลานั้นมีความลำบากเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งด้วย เพราะเมื่อตอนปลายรัชกาลที่ ๔ มีพวกชาวจีนชาวเมืองขึ้นอังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลันดา และโปรตุเกส เข้ามาหากินในกรุงเทพฯมากขึ้น ก็ตามหนังสือสัญญายอมให้จีนเหล่านั้นอยู่ในความป้องกันของกงสุลชาตินั้นๆ จึงเรียกกันว่า "พวกร่มธง" หมายความว่า "อยู่ในร่มธงของต่างประเทศ" หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สับเย๊ก" (Subject) หมายความว่าเป็นคนของชาตินั้นๆ ไม่ต้องอยู่ในอำนาจโรงศาลหรือในบังคับของรัฐบาลของบ้านเมือง แม้กงสุลต่างประเทศช่วยห้ามมิให้จีนในร่มธงเป็นอั้งยี่ก็ดี สมเด็จเจ้าพระยาฯก็ยังวิตก เกรงว่าพวกจีนชั้นพลเมืองจะพากันอยากเข้าร่มธงฝรั่ง เพราะฉะนั้นเมื่อเปลี่ยนรัชกาลได้ ๓ สัปดาห์ก็ประกาศตั้งศาลคดีจีนขึ้นในกรมท่าซ้าย ให้พระยาโชฎีกราชเศรษฐี(จ๋อง แล้วเปลี่ยนเป็นพระยาโชฎึกฯ พุก)คนหนึ่ง หลวงพิพิธภัณฑ์วิจารณ์(ฟัก ภายหลังได้เป็นพระยาโชฎึกฯ)คนหนึ่ง กับหลวงพิชัยวารี(มลิ)คนหนึ่ง (เป็นชั้นลูกจีนทั้งสามคน)เป็นผู้พิพากษา สำหรับชำระตัดสินคดีคู่ความเป็นจีนทั้งสองฝ่าย ด้วยใช้ภาษาจีนและประเพณีจีนในการพิจารณา
....................................................................................................................................................
(๑) เจ้าพระยาภานุวงศมหาโกษาธิบดี เสนาบดีจตุสดมภ์กรมท่า นามเดิม ท้วม เป็นบุตรสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ ถวายตัวทำราชการเป็นมหาดเล็กในรัชกาลที่ ๓ ถึงรัชกาลที่ ๔ ได้เป็นนายไชยขรรค์หุ้มแพร แล้วเป็นจมื่นทิพรักษา แล้วเป็นจมื่อราชามาตย์ ไปในคณะทูตไทยที่ไปเมืองอังกฤษครั้งแรก เป็นนายงานสร้างพระนครคีรีและสะพานช้างข้ามแม่น้ำเพชรบุรี ในปลายรัชกาลเลื่อนเป็นพระยาเทพประชุน ปลัดทูลฉลองกลาโหม ถึงรัชกาลที่ ๕ เป็นเสนาบดีกรมท่า เมื่อมะเส็งเอกศก พ.ศ. ๒๔๑๒ พระราชทานสมญาว่า เจ้าพระยาภาณุวงศมหาโกษาธิบดี ศรีวิบุลยยศสุนทรศักดิ์ อัครมหาราชานุกูลกิจ วิจิตรวรปรีชาญาณ ราชสมบัติสารไพบูลยพิพัฒน์ ประทุมรัตนมุรธาธร สมุทตินคร เกษตราธิบาล สรรพดิฐการมหิศวรฤทธิธาดา เมตตาชวาภิธยาศัย อภัยพิริยบรากรมพาหุ นาคนาม
กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อ ปีระกาสัปตศก พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ปีฉลู พ.ศ. ๒๔๕๖
(๒) เมื่อทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรกทรงใช้พระนามาภิไธย ว่า "พระบาทสมเด็จฯ พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว" สำหรับจารึกพระสุพรรณบัฏ ต่อทำพระบรมราชาภิเษกครั้งหลังปีระกา จึงโปรดให้แก้พระนามาภิไธยบางคำ และเปลี่ยนลงท้ายพระนามว่า "พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"
(๓) เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อเริ่มรัชกาลที่ ๕ - เรื่อง กงสุลอังกฤษลดธง - เรื่อง อัฐปลอม - เรื่อง เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุม - เรื่อง พวกจีนอั้งยี่
ค้นดูวิธีแก้ไขของผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ที่ลิงค์ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K3598710/K3598710.html
จากคุณ : กัมม์ - [ 24 ส.ค. 48 19:35:50 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 15
(ต่ออีกนิด)
แต่ห้ามมิให้รับคดีคู่ความเป็นจีนแต่ฝ่ายเดียว หรือคดีที่เป็นความอาญาว่ากล่าวในศาลนั้น นอกจากตั้งศาล ให้แบ่งเขตท้องมี่อันมีจีนอยู่มาก เช่น ในสำเพ็ง เป็นหลายอำเภอ ตั้งนายอำเภอจีนประจำสำหรับอุปการะจีนในถิ่นนั้นทุกอำเภอ ตามหัวเมืองก็ให้ปลัดจีนมีอำนาจว่ากล่าวคดีจีน อำเภอที่มีจีนอยู่มากก็ตั้งหัวหน้าให้เป็นตำแหน่ง "กงสุลจีนในบังคับสยาม" สำหรับเป็นผู้อุปการะจีนอยู่ในอำเภอนั้นๆ
ส่วนมากการควบคุมพวกอั้งยี่นี้น สมเด็จเจ้าพระยาฯก็อนุโลมเอาแบบอย่างอังกฤษ "เลี้ยงอั้งยี่" ในแหลมมลายูมาใช้ ปรากฏว่าให้สืบเอาตัวจีนเถ้าเก๋ที่เป๋นหัวหน้าอั้งยี่ได้ ๑๔ คน แล้วตั้งข้าหลวง ๓ คน คือ เจ้าพระยาภาณุวงศ์ เมื่อยังเป็นพระยาเทพประชุน(ซึ่งเคยปราบอั้งยี่ที่เมืองภูเก็ต)คนหนึ่ง พระยาโชฎึกราชเศรษฐีคนหนึ่ง พระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง(เนียม)ซึ่งเป็นผู้บังคับการกองตระเวน(โปลิศ)ในกรุงเทพฯคนหนึ่ง พร้อมด้วยขุนนางเจ้าภาษีอีกบางคน พาพวกหัวหน้าอั้งยี่ ๑๔ คนนั้นไปทำพิถือน้ำกระทำสัตย์ในวิหารหลวงพ่อโต ณ วัดกัลยาณมิตรซึ่งจีนนับถือมาก รับสัญญาว่าจะไม่คิดประทุษร้ายต่อพระเจ้าอยู่หัว และจะคอยระวังพวกอั้งยี่ของตนมิให้คิดร้ายด้วย แล้วปล่อยตัวไปทั้ง ๑๔ คน แต่นั้นสมเด็จเจ้าพระยาฯก็เอาพวกหัวหน้าอั้งยี่เหล่านั้นเป็นคนรับใช้สอยของท่านให้ตรวจตราว่ากล่าวมิให้พวกอั้งยี่กำเริบ ก็สำเร็จประโยชน์ได้อย่างประสงค์ พวกอั้งยี่ก็เรียบร้อยเพราะใช้วิธี "เลี้ยงอั้งยี่" มาตลอดเวลาสมเด็จเจ้าพระยาฯมีอำนาจในราชกาลแผ่นดิน
จากคุณ : กัมม์ - [ 24 ส.ค. 48 19:36:09 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 16
อั้งยี่กำเริบที่เมืองระนองและภูเก็ต
ถึงปีชวด พ.ศ.๒๔๑๙ เป็นปีที่ ๙ ในรัชกาลที่ ๕ เกิดลำบากด้วยพวกจีนอั้งยี่ที่เป็นกรรมกรที่ทำเหมืองแร่ดีบุกที่เมืองระนอง และเมืองภูเก็ตกำเริบคล้ายกับเป็นกบฏต้องปราบปรามเป็นการใหญ่โต แต่ว่าพวกอั้งยี่ทางหัวเมืองในแหลมมลายูเป็นสาขาขอพวกอั้งยี่กงสี "งี่หิน" และกงสี "ปูนเถ้าก๋ง" ในแดนอังกฤษมาตั้งขึ้นในเมืองไทยไม่ได้ติดต่อกับพวกอั้งยี่ในกรุงเทพฯดังกล่าวมาแล้ว ในเรื่องปราบอั้งยี่ที่เมืองภูเก็ตเมื่อปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ นั้นแล้ว แต่ครั้งนั้นมาการทำเหมืองแร่ดีบุกที่เมืองระนองกับเมืองภูเก็ตเจริญขึ้น มีพวกจีนกรรมกรเข้ามารับจ้างขุดขนดีบุกมากขึ้นเป็นลำดับมา จนที่เมืองระนองมีจำนวนจีนกรรมกรกว่า ๓,๐๐๐ คน และที่เมืองภูเก็ตมีจำนวนจีนกรรมกรหลายหมื่น มากกว่าจำนวนราษฎรไทยที่อยู่ในตัวเมืองทั้งสองแห่ง ตามบ้านนอกพวกจีนกรรมกรไปรวมกันรับจ้างขุดแร่อยู่ที่ไหน ทั้งพวกงี่หินและพวกปูนเถ้าก๋งตั้งก็ไปตั้งกงสีอั้งยี่พวกของตนขึ้นที่นั่น มีนายรองปกครองขึ้นต่อผู้ที่รัฐบาลตั้งเป็นหัวหน้าต้นแซ่ ซึ่งเป็นผู้มีถิ่นฐานอยู่ในเมือง จึงมีกงสีอั้งยี่อยู่ตามเหมืองแร่แถบทุกแห่ง พวกหัวหน้าต้นแซ่ก็ช่วยรัฐบาลรักษาความสงบเงียบเรียบร้อยตลอดมา แต่เมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๔๑๙ นั้น เผอิญดีบุกตกราคา พวกนายเหมืองขายดีบุกได้เงินไม่พอให้ค่าจ้างกรรมกร จึงเกิดเหตุขึ้นที่เมืองระนองก่อน
ปรากฏว่าเมื่อเดือน ๓ แรม ๑๔ ค่ำ ถึงตรุษจีนพวกกรรมกรที่เป็นอั้งยี่ปูนเถ้าก๋งพวกหนึ่ง ไปทวงเงินต่อนายเหมือง ขอให้ชำระหนี้สินให้สิ้นเชิงตามประเพณีจีน นายเหมืองไม่มีเงินพอจะให้ขอผ่อนผัด พวกกรรมกรจะเอาเงินให้จงได้ก็เกิดทุ่มเถียง จนเลยวิวาทกันขึ้น พวกกรรมกรฆ่านายเหมืองตาย ชะรอยผู้ตายจะเป็นตัวนายคนหนึ่ง พวกกรรมกรตกใจเกรงว่าจะถูกจับกุมเอาไปลงโทษ ก็พากันถือเครื่องศาสตราวุธหนีออกจากเมืองระนอง หมายว่าจะเดินบกข้ามภูเขาบรรทัดไปหาที่ซ่อนตัวอยู่ที่เหมืองแร่ในแขวงเมืองหลังสวน เมื่อไปถึงด่าน พวกชาวด่านเห็นกิริยาอาการผิดปกติ สงสัยว่าจะเป็นโจรผู้ร้าย จะเอาตัวมาให้ไตร่สวนที่ในเมืองก็เกิดวิวาทกันขึ้น คราวนี้ถึงยิงกันตายทั้งสองข้าง พวกชาวด่านจับจีนได้ ๘ คคุมตัวเข้ามายังเมืองระนอง ถึงกลางทางพวกจีนกรรมกรเป็นอันมาก พากันมากรุ้มรุมแทงฟันพวกชาวด่าน ชิงเอาพวกจีนที่ถูกจับไปได้หมด แล้วพวกจีนกรรมกรก็เลยเป็นกบฏ รวบรวมกันประมาณ ๕๐๐-๖๐๐ คน ออกจากเหมืองแร่เข้ามาเที่ยวไล่ฆ่าคน และเผาบ้านเรือนในเมืองระนอง พระยาระนองไม่มีกำลังพอจะปราบปรามก็ได้แต่รักษาบริเวณศาลากลางอันเป็นสำนักรัฐบาลไว้ พวกจีนกบฏจะตีเอาเงินในคลังไม่ได้ก็พากันเที่ยวเก็บเรือทะเลบรรดามีที่เมืองระนอง และไปปล้นฉางเอาข้าวบรรทุกลงในเรือ แล้วพากันลงเรือแล่นแล่นหนีไปทางทะเลประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ คน ที่ไปทางเรือไม่ได้ก็พากันไปทางบก หนีไปยังเหมืองแร่ในแขวงหลังสวนประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ คน พอประจวบกับเวลาเรือรบไปถึงเมืองระนอง เหตุที่อั้งยี่เมืองระนองเป็นกบฏก็สงบลง ไม่ต้องรบพุ่งปราบปราม เพราะเป็นกบฏแต่พวกปูนเถ้าก๋งหนีไปหมดแล้ว พวกงี่หินที่ยังอยู่ก็หาได้เป็นกบฏไม่
แต่ที่เมืองภูเก็ตมีจีนกรรมกรหลายหมื่น จำนวนมากกว่าเมืองระนองหลายเท่า และพวกจีนก็มีเหตุเดือดร้อนด้วยดีบุกตกราคาเช่นเดียวกันกับเมืองระนอง ทั้งยังมีเหตุอื่นนอกจากนั้นด้วยพวกอั้งยี่ปูนเถ้าก๋งสงสัยว่าเจ้าเมืองลำเอียงเข้าข้างพวกงี่หิน มีความแค้นเคืองอยู่บ้างแล้ว พอพวกอั้งยี่ที่หนีมาจากเมืองระนองมาถึงเมืองภูเก็ต แยกย้ายกันไปเที่ยวอาศัยอยู่ตามโรงกงสีอั้งยี่พวกของตนตามตำบลจ่างๆ ไปเล่าว่าเกือบจะตีเมืองระนองได้ หากเครื่องยุทธภัณฑ์ไม่มีพอมือจึงต้องหนีมา ก็มีพวกหัวโจกตามกงสีต่างๆชักชวนพวกอั้งยี่ในกงสีของตนให้รวมกันตีเมืองภูเก็ตบ้าง แต่ปกปิดมิให้พวกหัวหน้าต้นแซ่รู้ ก็รวมได้แต่บางกงสีไม่พรักพร้อมกัน ในเวลานั้นพระยามนตรีสุริยวงศ์(ชื่น บุนนาค) เมื่อยังเป็นเจ้าหมื่นเสมอใจราชหัวหมื่นมหาดเล็ก เป็นข้าหลวงประจำหัวเมืองฝ่ายตะวันตกทั้งปวงอยู่ ณ เมืองภูเก็ต มีเรือรบ ๒ ลำ กับโปลิศสำหรับรักษาสำนักรัฐบาลประมาณ ๑๐๐ คนเป็นกำลัง ส่วนการปกครองเมืองภูเก็ตนั้น พระยาวิชิตสงคราม(ทัด)ซึ่งเป็นพระยาภูเก็ตอยู่จนแก่ชราจึงเลื่อนขึ้นเป็นจางวาง แต่ก็ยังว่าราชการและผูกภาษีผลประโยชน์เมื่อภูเก็ตอยู่อย่างแต่ก่อน เป็นผู้ที่พวกจีนกรรมกรเกลียดชังว่าเก็บภาษีให้เดือดร้อน แต่หามีใครคาดว่าพวกจีนกรรมกรจะกำเริบไม่
แต่แรกเกิดเหตุเมื่อเดือน ๔ ขึ้น ๑๓ ค่ำ ปีชวด พ.ศ. ๒๔๑๙ เวลาบ่ายวันนั้น กลาสีเรือรบพวกหนึ่งขึ้นไปบนบกไปเมาสุรา เกิดทะเลาะกับพวกจีนที่ในตลาดเมืองภูเก็ตแต่ไม่ทันถึงทุบตีกัน มูลนายเรียกกลาสีพวกนั้นกับไปลงเรือเสียก่อน ครั้นเวลาค่ำมีกลาสีพวกอื่น ๒ คนขึ้นไปบนบก พอพวกจีนเห็นก็กลุ้มรุมทุบตีแทบปางตาย โปลิศไประงับวิวาทจับได้จีนที่ตีกลาสี ๒ คนเอาตัวเข้าไปส่งข้าหลวง ในไม่ช้าก็มีจีนพวกใหญ่ประมาณ ๓๐๐ คนซึ่งรวมกันอยู่ในตลาด ถือเครื่องศัสตราวุธพากันไปรื้อโรงโปลิศ แล้วเที่ยวปล้นบ้านเผาวัดและเรือนไทยที่ในเมือง พบไทยที่ไหนก็ไล่ฆ่าฟัน พวกไทยอยู่ในเมืองมีน้อยกว่าจีนก็ได้แต่พากันหนีเอาตัวรอด ฝ่ายพวกจีนได้ทีก็เรียกกันเพิ่มเติมเข้ามาจนจำนวนกว่า ๒,๐๐๐ คน แล้วยังตามกันยกเข้ามาหมายจะปล้นสำนักงานรัฐบาล และบ้านพระยาวิชิตสงคราม เป็นการกบฏออกหน้า พระยาวิชิตสงครามอพยพครอบครัวหนีเอาตัวรอดไปได้ แต่พระยามนตรีฯไม่หนี ตั้งต่อสู้อยู่ในบริเวณสำนักรัฐบาลและรักษาบ้านพระยาวิชิตสงครามซึ่งอยู่ติดต่อกันไว้ด้วย ให้เรียกไทยบรรดามีในบริเวณศาลารัฐบาล และถอดคนโทษมี่ในเรือนจำออกมาสมทบกับโปลิศซึ่งมีอยู่ ๑๐๐ คน แล้วได้พาทหารเรือในเรือรบขึ้นมาช่วยอีก ๑๐๐ คน รวมกันรักษาทางที่พวกจีนจะเข้ามาได้ และเอาปืนใหญ่ตั้งจุกช่องไว้ทุกทาง แล้วให้ไปเรียกจีนพวกหัวหน้าต้นแซ่ซึ่งอยู่ในเมืองเข้ามาประชุมกันที่ศาลารัฐบาลในค่ำวันนั้น และรีบเขียนจดหมายถึงหัวเมืองอื่นๆที่ใกล้เคียงให้ส่งกำลังมาช่วย และมรีหนังสือส่งไปตีโทรเลขที่เมืองปีนังบอกข่าวเข้ามายังกรุงเทพฯ และมีจดหมายบอกอังกฤษเจ้าเมืองปีนังให้กักเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ อย่าให้พวกจีนส่งมายังเมืองภูเก็ต ให้คนถือหนังสือลงเรือเมล์และเรือใบไปยังเมืองปีนัง และที่อื่นๆที่สามารถจะไปได้
ในค่ำวันนั้นพวกจีนหัวหน้าต้นแซ่พากันเข้ามายังศาลารัฐบาลตามคำสั่งโดยมาก และรับจะช่วยรัฐบาลตามแต่พระยามนตรีฯจะสั่งให้ทพประการใด พระยามนตรีฯจึงสั่งให้พวกหัวหน้าเขียน "ตั๋ว" ออกไปถึงพวกแซ่ของต้นที่มากับพวกผู้ร้าย สั่งให้กลับไปที่อยู่ของตนเสียตามเดิม มีทุกข์ร้อนอย่างไรพวกหัวหน้าต้นแซ่จะช่วยแก้ไขให้โดยดี ก็มีพวกกรรมกรเชื่อฟังพากันกลับไปเสียมาก พวกที่ยังเป็นกบฏอยู่น้อยตัวลง ก็ไม่กล้าเข้าตีศาลารัฐบาล พระยามนตรีฯจึงจัดให้จีนหัวหน้าต้นแซ่คุมจีนพวกของตัวตั้งเป็นกองตระเวนคอยห้ามปรามอยู่เป็นแห่งๆที่ในเมืองก็สงบไป แต่พวกจีนกบฏที่มีหัวโจกชักนำไม่เชื่อฟังหัวหน้าต้นแซ่ เมื่อเห็นว่าจะตีศาลารัฐบาลไม่ได้ก็คุมกันเป็นพวกๆแยกกันไปเที่ยวปล้นทรัพย์เผาเรือนพวกชาวเมืองต่อออกไถงตามบ้านนอก ราษฎรน้อนกว่าก็ได้แต่หนีเอาตัวรอด ก็เกิดเป็นจลาจนทั่วไปทั้งเมืองภูเก็ต มีแต่ที่บ้านฉลองแห่งเดียว ชาวบ้านได้สมภารวัดฉลองเป็นหัวหน้า อาจต่อสู้ชนะพวกจีน(ดังได้เล่ามาในนิทานที่ ๒)(๑) แม้พระยามนตรีก็มีกำลังเพียงจะรักษาศาลารัฐบาล ยังไม่สามารถจะปราบพวกจีนกบฎตามบ้านนอกได้
เมื่อรัฐบาลในกรุงเทพฯได้รับโทรเลขว่าเกิดกบฏที่เมืองภูเก็ต จึงโปรดฯให้พระยาประภากรวงศ์(ชาย บุนนาค)เมื่อยังเป็นเจ้าหมื่นไวยวรนาถหัวหมื่นมหาดเล็ก เป็นข้าหลวงใหญ่มีอำนาจบังคับบัญชาการปราบอั้งยี่ได้สิทธิขาด (เพราะพระยามนตรีฯเป็นลูกเขยพระยาวิชิตสงคราม เกรงจะบังคับการไม่ได้เด็ดขาด ต่อภายหลังจึงทราบว่าพระยามนตรีฯต่อสู้จึงไม่เสียเมืองภูเก็ต) คุมเรือรบกับทหารและเครื่องสัสตราวุธยุทธภัณฑ์เพิ่มเติมออกไป พระยาประภาฯไปถึงเมืองภูเก็ตก็ไปร่วมมือกับพระยามนตรีฯ ช่วยกันรวบรวมรี้พลทั้งไทยและมลายูที่ไปจากหัวเมืองปักษ์ใต้ไปเข้าเป็นกองทัพ และเรียกพวกเจ้าเมืองที่ใกล้เคียงไปประชุมปรึกษากัน ให้ประกาศว่าจะเอาโทษแต่พวกที่ฆ่าคนและปล้นสะดม พวกกรรมกรที่ไม่ได้ประพฤติร้ายเช่นนั้น ถ้ามาลุแก่โทษต่อหัวหน้าต้นแซ่และกลับไปทำการเสียโดยดีจะไม่เอาโทษ พวกจีนที่เป็นแต่ชั้นสมพลก็พากันเข้ามาลุแก่โทษโดยมาก จับได้ตัวหัวโจกและที่ประพฤติร้ายบ้าง แต่โดยมากพากันหลบหนีจากเมืองภูเก็ตไปตามเมืองในแดนอังกฤษ การจลาจลที่เมืองภูเก็ตก็สงบ
ในครั้งนั้นทรงพระกรุณาโปรดฯปูนบำเหน็จให้เจ้าหมื่นเสมอใจราช(ชาย บุนนาค)เลื่อนขึ้นเป็นพระยาประภากรวงศ์ ให้เจ้าหมื่นเสมอใจราช(ชื่น บุนนาค)เลื่อนขึ้นเป็นพระยามนตรีสุริยวงศ์ ตำแหน่งจางวางมหาดเล็กและได้รับพระราชทานพานทองเสมอกันทั้ง ๒ คน พวกกรมการที่ได้ช่วยรักษาเมืองภูเก็ตนั้น พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์บ้าง เลื่อนบรรดาศักดิ์บ้าง ตามควรแก่ความชอบ ที่เป็นหัวหน้าต้นแซ่ซึ่งได้ช่วยราชการครั้งนั้น โปรดฯให้สร้างเหรียญตืดอกเป็นเครื่องหมายความชอบ(วึ่งมาเปลี่ยนเป็นเหรียญดุษฎีมาลาภายหลัง)พระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบทุกคน แต่นั้นพวกอั้งยี่ที่เมืองภูเก็ตก็ราบคาบ.
....................................................................................................................................................
(๑) เรื่องสมภารวัดฉลองรบอั้งยี่ จะนำมาลงไว้ในตอนท้ายนะครับ
จากคุณ : กัมม์ - [ 26 ส.ค. 48 22:42:43 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 18
คุณกัมม์ครับ เพื่อนๆจะพากันหายไปจากบอร์ดแล้วครับ ทำงัยดี
จากคุณ : จำปูน - [ 27 ส.ค. 48 13:38:41 A:202.133.166.52 X: TicketID:033075 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 19
เรื่องอั้งยี่งี่หินหัวควาย
เมื่อระงับอั้งยี่ที่เมืองระนองกับเมืองภูเก็ต ซึ่งเป็นกบฏเมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๔๑๙ เรียบร้อยแล้ว ต่อมาอีก ๙ ปีถึงปีระกา พ.ศ. ๒๔๒๘ เกิดอั้งยี่กำเริบขึ้นตามหัวเมืองในแหลมมลายูอีกครั้งหนึ่งแต่เป็นอย่างแปลกประหลาดผิดกับที่เคยมีมาแต่ก่อน ด้วยพวกอั้งยี่ล้วนเป็นไทยไปเอาอย่างจีนมาตั้งอั้งยี่ขึ้นเรียกพวกตัวเองว่า "งี่หินหัวควาย" แต่ในทางราชการใช้ราชาศัพท์เรียกว่า "งี่หินหัวกระบือ" หัวหน้ามักเป็นพระภิกษุซึ่งเป็นสมภารอยู่ตามวัด เอาวัดเป็นกงสีที่ประชุม จะมีขึ้นในเมืองไหนก่อนไม่ทราบแน่ แล้วผู้ต้นคิดแต่งพรรคพวกไปเที่ยวเกลี้ยกล่อมผู้คน คือสมภารตามวัดโดยเฉพาะให้ตั้งอั้งยี่งี่หินหัวควายขึ้นตามเมืองต่างๆทางเมืองปักษ์ใต้ตั้งแต่เมืองกำเนิดนพคุณ เมืองปทิว เมืองชุมพร เมืองหลังสวน เมืองไชยา ลงไปจนเมืองกาญจนดิฐ ทางฝ่ายเมืองตะวันตกก็เกิดที่เมืองตะกั่วทุ่ง เมืองตะกั่วป่า เมืองคีรีรัตนนิคม และเมืองถลาง ก็แต่ธรรมดาของการตั้งอั้งยี่เหมาะแต่กับจีน เพราะเป็นชาวต่างประเทศมาหากินอยู่ต่างด้าว จึงรวมเป็นพวกเพื่อป้องกันตัวมิให้ชาวเมืองข่มเหงอย่างหนึ่ง เพราะพวกจีนมาหากินเป็นกรรมกรอาศัยเลี้ยงชีพแต่ด้วยค่าจ้างที่ได้มาจากค่าแรงงาน จึงรวมกันเป็นพวกเพื่อมิให้แย่งงานกันทำ และมิให้ผู้จ้างเอาเปรียบลดค่าจ้างโดยอุบายต่างๆ ตลอดจนสงเคราะห์กันในเวลาต้องตกยาก พวกจีนชั้นเลวจึงเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ตนที่จะเข้าเป็นอั้งยี่ แต่ไทยเป็นชาวเมืองนั้นเองต่างมีถิ่นฐานทำการงานหาเลี้ยงชีพได้โดยอิสระลำพังตน ไม่มีกรณีที่ต้องเกรงภัยเหมือนอย่างพวกจีนกรรมกร การที่ตั้งอั้งยี่เป็นแต่พวกคนพาล ที่เป็นหัวหน้าประสงค์ลวงเอาเงินค่าธรรมเนียม โดยอ้างว่าถ้าเข้าเป็นอั้งยี่จะเป็นประโยชน์อย่างนั้นๆ ครั้นรวมกันตั้งเป็นอั้งยี่ไม่มีกรณีอันเป็นกิจการของสมาคมอย่างพวกจีน พวกหัวโจกก็ชักชวนให้พวกอั้งยี่แสวงหาผลประโยชน์ด้วยทำเงินแดงบ้าง ด้วยคุมกันเที่ยวปล้นสะดมภ์ชาวบ้านเอาทรัพย์สินบ้าง พวกงี่หินหัวควายมีขึ้นที่ไหนพวกชาวเมืองก็ได้ความเดือดร้อนเช่นเดียวกับเกิดโจรผู้ร้ายชุกชุม แต่การปราบปรามก็ไม่ยากเพราะมีแต่แห่งละเล็กละน้อย พวกชาวเมืองพากันเกลียดชังพวกงี่หินหัวควายคอยช่วยรัฐบาลอยู่ทุกเมือง ครั้งนั้นโปรดฯให้พระยาสุรินทรภักดี(ชื่อตัวอะไร และภายหลังได้มียศศักดิ์เป็นอย่างไร สืบยังไม่ได้ความ)เป็นข้าหลวงลงไปชำระทางหัวเมืองปักษ์ใต้ ให้ข้าหลวงประจำเมืองภูเก็ตชำระทางหัวเมืองฝ่ายตะวันตก ให้จับแต่ตัวนายหัวหน้าโจกและที่ได้กระทำโจรกรรมส่งเข้ามาลงพระราชอาญาในกรุงเทพฯ พวกที่เป็นแต่เข้าอั้งยี่ให้เรียกประกันทัณฑ์บนแล้วปล่อยไป ในไม่ช้าก็สงบเรียบร้อย ถ้าไม่เขียนเล่าไว้ในที่นี้ก็เห็นจะไม่มีใครรู้ว่าเคยมีอั้งยี่ "งี่หินหัวควาย"
อั้งยี่ในกรุงเทพฯ เปลี่ยนขบวน
เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาฯ ออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแล้ว ท่านยังควบคุมพวกอั้งยี่ต่อมมาจนตลอดอายุของท่าน ครั้นสมเด็จเจ้าพระยาฯถึงพิราลัยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๕ การควบคุมพวกอั้งยี่ตกมาเป็นหน้าที่ของกระทรวงนครบาล ตั้งแต่กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ เป็นเสนาบดีสืบมา จนถึงกรมพระนเรศวรฤทธิ์ เป็นนายกกรรมการบัญชาการกระทรวงนครบาล ก็ยังคงใช้วิธีเลี้ยงอั้งยี่อยู่อย่างเดิม แต่ผิดกันกับแต่ก่อนเป็นข้อสำคัญอย่างหนึ่ง ด้วยสมเด็จเจ้าพระยาฯคนยำเกรงทั่วไปทั้งแผ่นดิน แต่เสนาบดีกระทรวงนครบาลมีอำนาจเพียงในกรุงเทพฯ บางทีจะเพราะเหตุนั้น เมื่อสิ้นสมเด็จเจ้าพระยาฯแล้ว พวกอั้งยี่จึงคิดวิธีหาผลประโยชน์เพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งทั้งที่ในกรุงเทพฯและตามหัวเมือง คือนายอั้งยี่บางคนเข้ารับประมูลเก็บภาษีอากร ถ้าประมูลสู้คนอื่นไม่ได้ก็ให้พวกอั้งยี่ของตนที่มีอยู่ในแขวงที่ประมูลนั้นคอยรังแกพวกเจ้าภาษีมิให้เก็บภาษีอากรได้สะดวกจนต้องขาดทุน เมื่อถึงคราวประมูลหน้าจะได้ไม่กล้าแย่งประมูลแข่งตัวนายอั้งยี่ เมื่อเกิดอุบายขึ้นอย่างนั้นคนอื่นก็เอาอย่าง มักเป็นเหตุให้เกิดอั้งยี่ต่างพวกก่อการวิวาทขึ้นตามหัวเมือง หรือใช้กำลังขัดขวางเจ้าภาษี บางที่ถึงรัฐบาลต้องปราบปราม ยกตัวอย่างพวกอั้งยี่ตั้งซ่องต้มเหล้าเถื่อนที่ดอนกระเบื้อง ไม่ห่างกับสถานนีรถไฟสายใต้ที่บางตาลนัก แต่สมัยนั้นยังเป็นป่าเปลี่ยวชายแดนจังหวัดราชบุรีต่อกับจังหวัดนครปฐม ขุดคูทำเชิงเทินเหมือนอย่างตั้งค่าย พวกเจ้าภาษีไปจับถูกพวกอั้งยี่ยิงต่อสู้จนต้องหนีกลับมา แต่เมื่อรัฐบาลให้ทหารเอาปืนใหญ่ออกไป อั้งยี่ก็หนีหมดไม่ต่อสู้ แต่พวกจีนเจ้าภาษีเขาคิดอุบายแก้ไขโดยใช้วิธีอย่างจีน บางคนจะผูกภาษีที่ไหนที่มีอั้งยี่มาก เข้าชวนหัวหน้าไปเข้าหุ้นโดยมิต้องลงทุน บางแห่งก็ให้สินบนแก่หัวหน้าอั้งยี่ในท้องถิ่นรักษาความสงบมาได้
ปราบอั้งยี่เมื่อรัชกาลที่ ๕
ถึง พ.ศ. ๒๔๓๒ พวกอั้งยี่ในกรุงเทพฯก่อเหตุใหญ่อย่างไม่เคยมีมาแต่ก่อน ด้วยถึงสมัยนั้นมีโรงสีข้าวขนาดใหญ่ๆตั้งขึ้นหลายโรง เรือกำปั่นไฟก็มีมารับสินค้ามากขึ้น เป็นเหตุให้มีจีนใหม่เข้ามามากกว่าแต่ก่อน พวกจีนใหม่ที่เข้ามาหากินสมัยนี้ มีทั้งจีนแต้จิ๋วมาจากเมืองซัวเถาและจีนฮกเกี้ยนมาจากเมืองเอ้มึ้ง จีนสองพวกนี้พูดภาษาต่างกันและถือว่าชาติภูมิต่างกัน แม้มีพวกเถ้าเก๋รับพวกจีนใหม่อยู่อย่างแต่ก่อน พวกจีนใหม่ต่างถือกันว่าเป็นพวกเขาพวกเรา พวกแต้จิ๋วทำงานอยู่ที่ไหนมากก็คอยเกียจกันรังแกพวกฮกเกี้ยน มิให้เข้าไปแทรกแซงแย่งงาน พวกฮกเกี้ยนก็ทำเช่นนั้นบ้าง จึงเกิดเกลียดชังกันไปประชันหน้ากันที่ไหนก็มักเกิดชกตีวิวาท ในระหว่างกรรมกรแต้จิ๋วกับฮกเกี้ยนเนื่องๆ เลยเป็นปัจจัยให้พวกอั้งยี่รวมกันเป็นพวกใหญ่แต่ ๒ พวก เรียกว่า "ตั้งกงสี"ของจีนแต่จิ๋วพวกหนึ่ง เรียกว่า "ซิวลี่กือ" ของจีนฮกเกี้ยนพวกหนึ่ง ต่างประสงค์จะแย่งงานกันและกัน กระทรวงนครบาลยังใช้วิธี "เลี้ยงอั้งยี่" อยู่อย่างแต่ก่อนถ้าเกิดอั้งยี่ตีกันก็สั่งให้นายอั้งยี่ไปว่ากล่าว แต่แรกก็สงบไปเป็นพักๆ แต่เกิดมีตัวหัวโจกขึ้นในอั้งยี่ที่สองพวก เป็นผู้หญิงก็มี หาค่าจ้างในการช่วยอั้งยี่แย่งงานและช่วยหากำลังให้ในเวลาเมื่อเกิดวิวาทกัน พวกอั้งยี่ก็ไม่เชื่อฟังนายเหมือนแต่ก่อน แม้พวกนายอั้งยี่ก็ไม่ยำเกรงกระทรวงนครบาลเหมือนเคยกลัวสมเด็จเจ้าพระยาฯ พวกอั้งยี่จึงตีรันฟันแทงกันบ่อยขึ้น จนรบกันในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๒
ในสมัยนั้น(ค.ศ. ๑๘๘๙)มีหนังสือพิมพ์บางกอกไทมส์ Bangkok Times ออกเสมอทุกวันแล้ว เมื่อเขียนเรื่องนี้ฉันตรวจเรื่องปราบอั้งยี่ปรากฏในหนังสือพิมพ์บางกอกไทมส์ประกอบกับความทรงจำของฉัน ได้ความว่าเมื่อกลางเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๒ พวกอั้งยี่รวมผู้คนเตรียมการที่จะตีกันเป็นขนานใหญ่ กระทรวงนครบาลเรียกตัวหัวหน้าอั้งยี่ไปสั่งให้ห้ามปราม แต่อั้งยี่มีหัวโจกหนุนหลังอยู่ก็ไม่ฟังพวกนายห้าม พอถึงวันที่ ๑๙ มิถุนายน พวกอั้งยี้ก็ลงมือเที่ยวรื้อสังกะสีมุงหลังคา และเก็บขนโต๊ะตู้ตามโรงร้านบ้านเรือนของราษฎรที่ริมถนนเจริญกรุงตอนใต้วัดยานนาวา เอาไปทำค่ายบังตัวขวางถนนเจริญกรุงทั้งสองข้าง เอาถนนตรงหลังโรงสีของห้างวินเซอร์ซึ่งเรียกกันว่าโรงสีปล่องเหลี่ยมเป็นสนามรบ พวกพลตระเวนห้ามก็ไม่หยุด กองตระเวนเห็นจีนมากเหลือกำลังจะจับกุม ก็ต้องถอยออกไปรักษาอยู่เพียงภายนอกแนวที่วิวาท ท้องที่ถนนเจริญกรุงตั้งแต่ตลาดบางรักลงไปก็ตกอยู่แก่อั้งยี่ทั้ง ๒ พวก เริ่มขว้างปาตีรันกันแต่เวลาบ่าย พอค่ำลงก็เอาปืนออกยิงกันตลอดคืน ถึงวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มิถุนายน โรงสีและตลาดยี่สาน การค้าขายแต่บางรักลงไปต้องหยุดหมด และมีกิตติศัพท์ว่าพวกอั้งยี่จะเผาโรงสีที่พวกศัตรูอาศัย เจ้าของโรงสีก็พากันตกใจ ที่เป็นโรงสีของฝรั่งไล่จีนออกหมดแล้วปิดประตูบริเวณ ชวนพวกฝรั่งถืออาวุธไปช่วยล้อมวงรักษาโรงสี แต่เจ้าของโรงสีเป็นจีนไม่กล้าไล่พวกกุลีเป็นแต่ปิดโรงสีไว้ พวกอั้งยี่ยังรบกันต่อมาในวันที่ ๒๐ ถึงตอนบ่าย วันนั้นกระทรวงนครบาลให้ผู้ใหญ่ในกระทรวงคุมพลตระเวนลงไปกองหนึ่งเพื่อจะห้ามวิวาท แต่พวกอั้งยี่มากกว่า ๑,๐๐๐ กำลังเดือดร้อนรบพุ่งกันไม่อ่อนน้อมก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ หนังสือพิมพ์ว่าอั้งยี่รบกัน ๒ วันยิงกันตายสัก ๒๐ คน ถูกบาดเจ็บกว่า ๑๐๐ เอาคนเจ็บไปฝากตามบ้านฝรั่งที่อยู่ในแถวนั้น ถึงวันศุกร์ที่ ๒๑ มิถุนายน ทหารก็ลงไปปราบ
เพราะเหตุใดพวกทหารจึงลงไปปราบพวกอั้งยี่ในครั้งนั้น ควรจะเล่าถึงประวัติทางฝ่ายทหารที่ปราบอั้งยี่เป็นครั้ง แรกไว้ด้วย แต่เดิมทหารบกแยกการบังคับบัญชาเป็นกรมๆ ต่างขึ้นตรงต่อพระองค์พระเจ้าอยู่หัวเหมือนกันทั้งนั้น ทหารเรือก็เช่นเดียวกัน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๗ โปรดฯให้ตั้งกรมยุทธนาธิการขึ้น และรวมการบังคับบัญชาทหารบกทุกกรมกับทั้งทหารเรือให้ขึ้นอยู่ในกรมยุทธนาธิการ เมื่อได้ข่าวว่าพวกอั้งยี่จะตีกันเป็นกระบวนใหญ่ในกรุงเทพฯ พระเจ้าอยู่หัวตรัสสั่งแก่ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เมื่อยังเป็นกรมพระ(จะเรียกต่อไปตามสะดวกอย่างเรียกในรัชกาลที่ ๗ ว่า สมเด็จพระราชปิตุลา)ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการว่า ถ้ากระทรวงนครบาลไม่สามารถจะระงับได้จะต้องให้ทหารปราบ กรมยุทธนาธิการมีเวลาเตรียมตัว ๒ วัน คณะบัญชาการมีสมเด็จพระราชปิตุลาเป็นนายพลเอก ผู้บัญชาการพระองค์หนึ่ง สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ เมื่อยังเป็นกรมขุนเป็นนายพลตรี จเรกรมยุทธนาธิการพระองค์หนึ่ง ตัวฉันเมื่อยังเป็นกรมหมื่น เป็นนายพลตรีผู้ช่วยบัญชาการทหารบกคนหนึ่ง นายพลจัตวาพระยาชลยุทธโยธิน รักษาการแทนนายพลเรือตรี พระองค์เจ้าสายสนิทผู้ช่วยบัญชาการทหารเรือซึ่งเสด็จไปยุโรปคนหนึ่ง ประชุมปรึกษากันที่จะปราบอั้งยี่ เห็นพร้อมกันว่าจะปราบได้ไม่ยากนัก เพราะพวกอั้งยี่ถึงมีมากก็ไม่มีศัสตราวุธซึ่งจะสามารถสู่ทหาร อีกประการหนึ่งอั้งยี่ตั้งรบอยู่ในถนนเจริญกรุงเป็นที่แคบ ข้างตะวันตกติดแม่น้ำ ข้างตะวันออกก็เป็นท้องนา ถ้าให้ทหารลงไปทางบกตามถนนเจริญกรุงกองหนึ่ง ให้ลงเรือไปขึ้นบกข้างใต้ที่รบยกขึ้นมาทางถนนเจริญกรุงอีกกองหนึ่ง จู่เข้าข้างหลังที่รบพร้อมกันทั้งข้างเหนือและข้างใต้ ก็จะล้อมพวกอั้งยี่ได้โดยง่าย แต่การที่จะจับพวกอั้งยี่นั้นมีข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ด้วยจะให้ทหารทำการเข้ากระบวนรบ ถ้าทำแรงเกินไปหรืออ่อนเกินไปก็จะเสียชื่อทหารทั้งสองสถาน จะต้องระวังในข้อนี้ มีคำสั่งให้ทหารทุกคนเข้าใจว่าต้องจับแต่โดยละม่อม ต่ออั้งยี่คนใดต่อสู้หรือไม่ยอมให้จับจึงให้ใช้อาวุธ อีกประการหนึ่งจะต้องเรียกตัวหัวหน้าที่จะคุมทหาร ให้วางใจว่าจะทำการสำเร็จได้แล้วปรึกษาเลือกกรมทหารที่จะลงไปปราบอั้งยี่ด้วย ในเวลานั้นทหารมหาดเล็กกับทหารเรือถือปืนอย่างดีกว่ากรมอื่น จึงกะให้ทหารมหาดเล็กเป็นกองหน้าสำหรับจับอั้งยี่ ให้ทหารรักษาพระองค์เป็นกองหนุน รวมกัน ๔ กองร้อย ให้เจ้าพระยาราชสุภมิตร(อ๊อด สุภมิตร)เมื่อยังเป็นนายพันตรีจมื่นวิชิตชัยศักดาวุธ รองผู้บังคับการทหารมหาดเล็กเป็นผู้บังคับการ ให้นายร้อยเอกหลวงศัลวิธานนิเทส(เชาว์ ซึ่งต่อมาภายหลังเป็นพระยาวาสุเทพ อธิบดีกรมตำรวจภูธร)ครูฝึกทหารมหาดเล็กเป็นผู้ช่วยสำหรับยกลงไปทางทางข้างเหนือ ส่วนกองที่จะขึ้นมาทางใต้นั้น ให้ทหารเรือจัดพลจำนวนเท่ากันกับทหารบก และพระยาชลยุทธฯรับไปบังคับการเอง เมื่อคณะบัญชาการกะโครงการแล้วเรียกผู้บังคับการกรมทหารต่างๆไปประชุมที่ศาลายุทธนาธิการ สั่งให้เตรียมตัวทุกกรมนอกจากทหารมหาดเล็กกับทหารรักษาพระองค์และทหารเรือ ซึ่งมีหน้าที่ปราบอั้งยี่นั้น ให้ทหารกรมอื่นๆจัดกองพลรบพร้อมสรรพด้วยเครื่องศัสตราวุธเตรียมไว้ที่โรงทหาร เรียกเมื่อใดให้ได้ทันทุกกรม เตรียมทหารพร้อมเสร็จในวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มิถุนายน รอฟังกระแสรับสั่งว่าจะให้ยกไปเมื่อใดก็ไปได้
จากคุณ : กัมม์ - [ 27 ส.ค. 48 16:31:06 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 20
ในกลางคืนวันที่ ๒๐ นั้น เวลาสัก ๒ นาฬิกา ฉันกำลังนอนหลับอยู่ที่บ้านเก่าที่สะพานดำรงสถิต สมเด็จพระราชปิตุลากับสมเด็จกรมพระนริศฯ เสด็จไปปลุกเรียกขึ้นรถมายังศาลายุทธนาธิการ พระยาชลยุทธฯก็ถูกตามไปอยู่พร้อมกัน สมเด็จพระราชปิตุลาตรัสบอกว่าเมื่อประชุมเสนาบดีในค่ำวันนั้น ท่านได้กราบมูลพระเจ้าอยู่หัวว่าเตรียมทหารพร้อมแล้ว จะโปรดฯให้ปราบอั้งยี่เมื่อใดก้จะรับสนองพระเดชพระคุณ พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามกระทรวงนครบาลๆกราบทูลว่ายังหวังใจว่าจะห้ามให้เลิกกันได้ ไม่ถึงต้องใช้ทหาร พระเจ้าอยู่หัวไม่พอพระราชหฤทัย ตรัสว่ากระทรวงนครบาลได้รับมาหลายครั้งแล้วไม่เห็นห้ามให้หยุดได้ ดำรัสสั่งเป็นเด็ดขาดว่า กระทรวงนครบาลไม่ระงับอั้งยี่ได้ในวันที่ ๒๐ นั้น ถึงวันศุกร์ที่ ๒๑ มิถุนายน ก็ให้ทหารลงไปปราบทีเดียวไม่ต้องรั้งรอต่อไปอีก เมื่อเลิกประชุมเสนาบดี สมเด็จพระราชปิตุลาทรงนัดพบกับกรมพระนเรศฯ ผู้บัญชาการกระทรวงนครบาล ให้ไปพร้อมกันที่ศาลายุทธนาธิการแต่เวลาก่อนสว่าง ถ้าเวลานั้นอั้งยี่สงบแล้วทหารจะได้งดอยู่ ถ้ายังไม่สงบพอรุ่งสว่างจะให้ทหารยกลงไปทีเดียว(๑) คณะบัญชาการจึงเรียกผู้บังคับการทหารกรมต่างๆกับทั้งทหารมหาดเล็ก และทหารรักษาพระองค์ที่จะไปปราบอั้งยี่มายังศาลายุทธนาธิการในตอนคึกค่ำวันนั้น พระยาชลยุทธฯก็กลับไปจัดเรือบรรทุกทหารเรือเตรียมไว้ พอเวลาใกล้รุ่งกรมพระนเรศฯเสด็จไปถึง ทูลสมเด็จพระราชปิตุลาว่า ให้คนลงไปสืบอยู่แล้ว บัดเดี๋ยวหนึ่งนายอำเภอนครบาลมาถึงทูลว่า พวกอั้งยี่กำลังเอาปืนใหญ่ขึ้นจากเรือทะเลมาจะตั้งยิงกัน กรมพระนเรศฯก็ตรัสว่า เหลือกำลังนครบาลแล้ว ให้ทหารไปปราบเถิด การที่ทหารปราบอั้งยี่ก็ลงมือแต่เวลานั้นไป
ก็ในสมัยนั้นยังไม่มีรถยนต์ พอเวลาย่ำรุ่งต้องให้ทหารรักษาพระองค์ซึ่งเป็นกองหนุนเดินทางไปก่อนสั่งให้ไปพักอยู่ที่วัดยานนาวา และให้พนักงานไปตั้งสถานีโทรศัพท์สำหรับบอกรายงานถึงศาลายุทธนาธิการ ณ ที่นั้นด้วย แต่ทหารมหาดเล็กนั้นให้รออยู่ พอรถรางไฟฟ้าขึ้นมาถึงปลายทางที่หลักเมืองก็สั่งยึดไว้หมดทุกหลัง แล้วให้ทหารมหาดเล็กขึ้นรถรางขับตามกันลงไป พวกรถรางรู้ว่าทหารจะไปปราบอั้งยี่ก็ออกสนุก เต็มในช่วยทหารเพราะถูกอั้งยี่รังแกเบื่อเหลือทนอยู่แล้ว ส่วนทหารรเอก็ออกจากท่ากะเวลาแล่นไปให้ถึงพร้อมๆกับทหารบก ถึงเวลา ๘ นาฬิกาก็สามารถเข้าล้อมพวกอั้งยี่พร้อมกันที้งข้างเหนือและข้างใต้ดังหมายไว้แต่แรก พวกอั้งยี่ไม่ได้นึกว่าทหารจะลงไปปราบ รู้เมื่อทหารถึงตัวแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มีตัวหัวโจกต่อสู้ถูกทหารยิงตายสักสองสามคนพวกอั้งยี่ก็สิ้นคิด ที่อยู่ห่างทหารก็พากันหลบหนี ที่อยู่ใกล้กล้วทหารยิงก็ยอมให้ทหารจับโดยดี ในสมัยนั้นจีนยังไว้ผมเปีย ทหารจับได้ก็เอาผมเปียผูกกันไว้เป็นพวงๆ ที่ทหารเรือจับได้ก็เอาลงเรืองส่งขึ้นมา ที่ทหารบกจับได้เจ้าพระยาราชสุภมิตรก็ให้ทหารรักษาพระองค์คุมเดินขึ้นมาทางถนนเจริญกรุงเป็นคราวๆ ราวหมู่ละ ๑๐๐ คน พวกชาวเมืองไม่เคยเห็นตื่นกันมาดูแน่นทั้งสองฟากถนนตลอดทาง ทหารจับพวกอั้งยี่ที่ในสนามรบเสร็จแต่เวลาก่อนเที่ยง พวกหญิงชายชาวบ้านร้านตลาดก็พากันยินดีหาอาหารมาเลี้ยงกลางวัน พอกินแล้วก็เที่ยวค้นจับอั้งยี่หลบหนีไปเที่ยวซุกซ่อนจตามที่ต่างๆต่อไป ตอนนี้มีพวกนายโรงสีและชาวบ้านพากันนำทหารไปเที่ยวค้นจับได้พวกอั้งยี่อีกมาก ตัวหัวโจกซึ่งหลบหนีไปเสียก่อนก็จับได้ในตอนบ่ายนี้แทบทั้งนั้น รวมจำนวนอั้งยี่ที่ถูกทหารยิงตายไม่ถึง ๑๐ คนถูกบาดเจ็บสัก ๒๐ คน จับได้โดยละม่อมราว ๘๐๐ คน ได้ตัวหัวโจก ๘ คน เมื่อเสร็จการจับแล้วถึงตอนเย็น กรมยุทธนาธิการให้ทหารหน้าลงไปอยู่ประจำรักษาความสงบในท้องที่ เรียกทหารมหาดเล็กกับทหารเรือกลับมา บริษัทรถรางขอจัดรถรับส่งทหารทั้งขาขึ้นแขลง แล้วแต่ทหารจะต้องการก็ไปมาได้สะดวก เมื่อขบวนรถรางรับทหารมหาดเล็กกลับขึ้นมาในวันจับอั้งยี่นั้น พวกชาวเมืองทางข้างใต้ทั้งไทยจีนแขกฝรั่งพากันมายืนอวยชัยให้พรแสดงความขอบใจทหารมหาดเล็ก เจ้าพระยาราชสุภมิตรเล่าว่า ยืนมาหน้ารถต้องจับกระบังหมวกรับคำนับแทบไม่มีเวลาว่างจนตลอดแขวงบางรัก ในหนังสือพิมพ์บางกอกไทมส์เขียนตามเสียงฝรั่งในสมันนั้น ก็สรรเสริญมากที่รัฐบาลให้ทหารไปปราบอั้งยี่ได้โดยเด็ดขาดรวดเร็ว และชมทหารไทยว่ากล้าหาญว่องไว ชมต่อไปถึงที่ทหารไทยจับอั้งยี่โดยไม่ดุร้ายเกินกว่าเหตุ เมื่อจับอั้งยี่แล้วกรมยุทธนาธิการให้ทหารรักษาท้องที่วิวาทอยู่ ๓ วัน เห็นสงบเรียบร้อยดีแล้วก็ให้ถอนทหารมอบท้องที่ให้กรมตระเวนรักษาอย่างเดิมส่วนพวกอั้งยี่ที่จับตัวได้ครั้งนั้น พระเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้ตั้งศาลพิเศษชำระพิพากษาให้จำคุกหัวหน้าตัวการหมดทุกคน แต่พวกสมพลดูเหมือนจะให้โบยคนละเล็กละน้อยให้เข็ดหลาบแล้วปล่อยตัวไป แต่นั้นมาพวกอั้งยี่ในกรุงเทพฯก็ราบคาบไม่กล้าทะนงศักดิ์ในสมัยต่อมา
....................................................................................................................................................
(๑) ขณะนั้นเวลากลางคืนยังถือว่าเป็นเวลาของวันก่อนอยู่ เพิ่งมาใช้ธรรมเนียมฝรั่ง เปลี่ยนวันเมื่อเวลาเที่ยงคืน 0.00 น. เมื่อในรัชกาลที่ ๖
จากคุณ : กัมม์ - [ 27 ส.ค. 48 16:31:27 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 21
ไม่เป็นไรครับ ได้เห็น จำปูนคนเดียวก็ชื่นใจแล้วครับ
ผมว่าคงจะมีบ้าง บางท่านที่ประสงค์จะอ่านอย่างเดียว ไม่ประสงค์ออกนาม อีกอย่าง ได้เข้าไปอยู่ในคลังกระทู้เก่าตั้ง ๔ ตอนแล้วจะท้อเลิกเสียก็ไม่ได้
และเผื่อใคร search คำว่า "อั้งยี่" คงต้องได้เจอกันแน่
ท่านจำปูนอยู่เป็นเพื่อนกันก่อนนะครับ
จากคุณ : กัมม์ - [ 27 ส.ค. 48 16:36:39 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 22
ชักยาวแล้วเนอะ
จากคุณ : กริชครับผม - [ 28 ส.ค. 48 00:42:20 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 23
เห็นไหมครับ จำปูน คุณ กริช ก็น่ารักเหมือนกัน
ชักยาวจริงๆด้วยครับ สำหรับตอนนี้ คงจบวันนี้ สำหรับพระประวัติคงอีกหลายตอน จะทิ้งตอนไหนก็เสียดาย พระองค์ท่านยังไม่ได้เสด็จมาประจำอยู่กระทรวงมหาดไทยเลยครับ
....................................................................................................................................................
เปลี่ยนวิธีควบคุมอั้งยี่
เมื่อปราบอั้งยี่ครั้งนั้นแล้ว พระเจ้าอยู่หัวโปรดให้ตั้งพระราชบัญญัติห้ามมิให้มีสมาคมอั้งยี่ในพระราชอาณาเขตอีกต่อไป รัฐบาลอังกฤษที่เมืองสิงคโปร์รู้ว่าไทยสามารถปราบอั้งยี่ได ก็ประกาศสั่งให้เลิกสมาคมอั้งยี่ในเมืองขึ้นของอังกฤษตามอย่างเมืองไทย วิธีเลี้ยงอั้งยี่ก็เลิกหมดแต่นั้นมา
เมื่อปราบอั้งยี่เสร็จแล้ว ใน พ.ศ.๒๔๓๒ นั้นเอง พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระกรุณาโปรดฯให้สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนริศรานุวัดติวงศ์เป็นอธิบดีกระทรวงโยธาธิการและให้ตัวฉันเป็นอธิบดีกระทรวงธรรมการมีศักด์เสมอเสนาบดีก็ต้องลาออกจากตำแหน่งในกรมยุทธนาธิการด้วย แต่ยังคงมียศเป็นนายพลและเป็นราชองครักษ์อยู่อย่างเดิม เวลาตัวฉันเป็นอธิบดีกระทรวงธรรมการอยู่๒ ปี ไม่มีกิจเกี่ยวข้องกับอั้งยี่จนถึง พ.ศ. ๒๔๓๕ ทรงพระกรุณาโปรดฯให้ฉันเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยจึงกลับมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับอั้งยี่อีก ด้วยต้องระวังพวกอั้งยี่ตามหัวเมืองอยู่เสมอ ถึงสมัยนี้ไม่มีพวกอั้งยี่พวกใหญ่เหมือนอย่างแต่ก่อน แต่ยังมีพวกจีนลักลอบตั้งยี่ตามหัวเมืองใกล้ๆกรุงเทพฯอยู่เนื่องๆ มีขึ้นที่ไหนก็ปราบได้ไม่ยาก บางเรื่องก็ออกจะขบขันดังจะเล่าเป็นตัวอย่างเรื่องหนึ่ง เมื่อแรกตั้งมณฑลราชบุรี เวลานั้นเจ้าพระยาสุรพันธพิสุทธิ์(เทศ บุนนาค)(๑)เมื่อยังเป็นพระยาสุรินทรฤาชัย เป็นสมุหเทศาภิบาล มีพวกอั้งยี่ตั้งซ่องต้มเหล้าเถื่อนที่ตำบลดอนกระเบื้อง ทำสนามเพลาะสำหรับต่อสู้ขึ้นอีกเหมือนอย่างคราวก่อนที่ได้เล่ามาแล้ว เวลานั้นยังไม่มีตำรวจภูธร ฉันถามเจ้าพระยาสุรพันธ์ฯว่าจะต้องการทหารปืนใหญ่เหมือนอย่างปราบครั้งก่อนหรืออย่างไร เจ้าพระยาสุรพันธ์ฯตอบว่าจะปราบด้วยกำลังในพื้นเมืองดูก่อน ต่อมาสักหน่อยได้ข่าวว่าพวกอั้งยี่ที่ดอนกระเบื้องทิ้งค่ายหนีไปหมดแล้ว ฉันพบเจ้าพระยาสุรพันธ์ฯถามว่าท่านปราบอย่างไร ท่านบอกว่าใช้วิธีของสมเด็จ้าพระยาฯซึ่งท่านเคยรู้มาแต่ก่อน ได้ออกหมายสั่งเกณฑ์กำลังและเครื่องอาวุธให้ปรากฏว่าจะไปปราบซ่องจีนที่ดอนกระเบื้อง แล้วเอาปืนใหญ่ทองเหลืองที่มีทิ้งอย่ใต้ถุนเรือนสมเด็จเจ้าพระยาฯ ๒ กระบอก ออกมาขัดสีที่สนามในบริเวณจวนของท่าน ว่าจะเอาไปยิงค่ายจีนที่ดอนกระเบื้อง พอข่าวระบือไปพวกอั้งยี่ก็หนีหมดเพราะพวกเจ๊กกลัวปืนใหญ่ แต่เมื่อตั้งตำรวจภูธรแล้วก็ไม่ต้องใช้อุบายอย่างนั้นอีก แต่อั้งยี่ที่มีขึ้นตามหัวเมืองในชั้นฉันเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยปราบปรามไม่ยากอันใด ถึงกระนั้นเมื่อคิดดูก็น่าพิศวงว่า เพราะเหตุใดพวกจีนจึงยังตั้งอั้งยี่ พิเคราะห์ตามเหตุการณ์ที่เคยเกิดอั้งยี่มาแต่ก่อนเป็นต้นว่าการห้ามสูบฝิ่นอย่างครั้งรัชกาลที่ ๓ ก็ไม่มีแล้ว เหตุที่แย่งกันรับจีนใหม่ก็ไม่มี ตามหัวเมืองเหตุที่แย่งกันผูกภาษีอากรก็ดี ที่ถูกเจ้าภาษีนายอากรเบียดเบียนก็ดี ก็ไม่มีแล้ว เพราะรัฐบาลเก็ยภาษีอากรเอง การปกครองท้องที่ก็เรียบร้อย ไม่ต้องมีปลัดจีนหรือกงสุลจีนในบังคับสยามเหมือนอย่างแต่ก่อน แล้วไฉนจึงมีอั้งยี่ตามหัวเมือง สังเกตดูนักโทษทีต้องจับเพราะเป็นอั้งยี่ดูก็มักเป็นคนชั้นทำมาหากินไม่น่าจะเป็นอั้งยี่ นึกสงสัยว่าชะรอยจะมีเหตุอะไรที่ยังไม่รู้ซึ่งเป็นเหตุให้มีอั้งยี่ตามหัวเมือง ฉันจึงปรารภกลับพระยาอรรถการยบดี(ชุ่ม อรรถจินดา)ซึ่งภายหลังเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลราชบุรี เวลานั้นยังเป็นพระยาราชเสนาหัวหน้าพนักงานอัยการกระทรวงมหาดไทยให้ลองสืบสวนราษฎรในท้องถิ่น โดนเฉพาะพวกนักโทษที่เคยเข้าอั้งยี่ ว่าเหตุใดจึงมีคนสมัครเป็นอั้งยี่ สืบอยู่ไม่นานก็ได้เค้าว่ามีพวกหนึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ(จะเรียกต่อไปว่าพวกต้นคิด)หากินด้วยตั้งอั้งยี่ตามหัวเมือง วิธีของพวกจีนต้นคิดนั้น ถ้าเห็นว่าอาจจะตั้งอั้งยี่ได้ในถิ่นอันใดเป็นที่มีจีนตั้งทำมาหากินอยู่มาก และมีการแข่งขันการค้าขายก็แต่งพรรคพวกให้ออกไปอยู่ถิ่นนั้น อย่างว่าไปทำมาหากินแต่แยกไปอยู่เป็น ๒ พวกเหมือนกับไม่รู้จักมักคุ้นกัน แล้วเสาะหาจีนที่เป็นคนเกกมะเหรกในที่นั่นคยหายุยงให้วิวาทกับคนอื่น บางทีก็หาพวกจีนที่เป็นหัวไม้ออกไปจากกรุงเทพฯ ให้ไปก่อวิวาทตีรันกันขึ้นเนื่องๆจนคนในถิ่นนั้นเกิดหวาดหวั่นเกรงพวกคนพาลจะทำร้าย ก็เกลี้ยกล่อมชักชวนให้เข้าพวกช่วยกันป้องกัน ในไม่ช้าจีนในถิ่นนั้นก็แตกกันเป็นพวกเขาพวกเรา แล้วเลยตั้งอั้งยี่เป็น ๒ พวก แต่นั้นพวกสมุนก็วิวาทกันเนื่องๆ ถ้ารัฐบาลจับกุมเมื่อใดก็กลับเป็นคุณแก่พวกต้นคิด ซึ่งหลบหนีเอาตัวรอดเสียก่อนแล้ว กลับไปหาผลประโยชน์ด้วยเรี่นไร "เต๊ย" เอาเงินจากอั้งยี่พวกของตน โดยอ้างว่าเอาไปช่วยพรรคพวกที่ถูกจับ เอากำไร ในการนั้นถึงโดยว่าไม่มีการจับกุม เมื่อถึงเทศกาลก็เต๊ยเงินทำงานไหว้เจ้าเอากำไรได้อีกเสมอทุกปี สืบได้ความดังว่ามานี้ ฉันจึงคิดอุบายแก้ไขได้ลองใช้อุบายนั้น ครั้งแรกเมื่อพวกอั้งยี่ตีกันที่บางนกแขวก แขวงเมืองราชบุรี จะเป็นเมื่อปีใดจำไม่ได้ ฉันให้พระยาอรรถการยบดีออกไประงับ สั่งให้ไปพยายามสืบจับเอาตัวพวกต้นคิดด้วยเกลี้ยกล่อมพวกคนในท้องถิ่น ที่เข้าอั้งยี่ ถ้าคนไหนให้การรับสารภาพบอกตามความจริง ให้เรียกทัณฑ์บนปล่อยตัวไป อย่าให้จับเอาตัวมาฟ้องศาลอย่างแต่ก่อน หรือถ้าว่าอีกย่างหนึ่งให้เอาตัวต้นคิดเป็นจำเลยเอาพรรคพวกเป็นพยาน พระยาอรรถการยบดีออกไปทำตามอุบายนั้น ได้ผลสำเร็จบริบูรณ์ พอสืบจับได้ตัวจีนต้นคิดที่ออกไปจากกรุงเทพฯ ๕ คนเท่านั้น อั้งยี่ที่บางนกแขวกก็สงบทันที การระงับอั้งยี่ตามหัวเมืองจึงใช้วิธีอย่างนั้นสืบมา สังเกตดูอั้งยี่ที่เกิดขึ้นในชั้นภายหลังทหารปราบเมื่อง พ.ศ. ๒๔๓๒ด็เป็นการหากินของจีนเสเพล ค้าความกลัวของผู้อื่นเอากำไรเลี้ยงตัวเท่านั้น
....................................................................................................................................................
(๑) เจ้าพระยาสุรพันธพิสุทธิ์ นามเดิม เทศ เป็นบุตรสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ เดิมในรัชกาลที่ ๔ เป็นที่นายรองไชยขรค์ มหาดเล็ก แล้วเป็นนายศัลย์วิไชย มหาดเล็กหุ้มแพร แล้วเป็นพระเพ็ชรพิไสยศรีสวัสดิ์ ปลัดเมืองเพชรบุรี ในรัชกาลที่ ๕ เป็นพระยาสุรินทรลือไชย ผู้ว่าราชการเมืองเพชรบุรี ครั้น พ.ศ. ๒๔๔๐ โปรดฯให้เป็นเจ้าพระยาพระราชทานสมญาว่า เจ้าพระยาสุรพันธิสุทิ์ ชนุตมาราชภักดี สกลเทพมนตรีมิตรจิตร สุจริตวราธยาศรัย เสนานุวัตรสมัยสมันตโกศล ยุติธรรมวิมลสัตยารักษ์ สุนทรศักดวิวัฒนวัย อภัยพิริยบรากรมพาหุ อัชนาม ถึงอสัญกรรมเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๔๔๙
จากคุณ : กัมม์ - [ 28 ส.ค. 48 11:50:02 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 24
อยากให้คนในรัฐบาลได้อ่านการปราบปรามคนพาลในอดีตที่ผ่านมาบ้าง บางทีอาจจะเกิดความคิดใหม่ๆในการแก้ปัญหาทางภาคใต้ของเราในตอนนี้
จากคุณ : กัมม์ - [ 28 ส.ค. 48 11:52:50 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 25
(เรื่องหลวงพ่อแช่ม สมภารวัดฉลองเห็นเกี่ยวข้องกับ อั้งยี่ จึงนำมาลงไว้ที่เดียวกันครับ)
เรื่องพระครูวัดฉลอง
เมื่อภูเก็ตเดิมขึ้นอยู่กระทรวงกลาโหม จนเมื่อฉันเป็นเสนาบดีกระทรงมหาดไทยแล้ว จึงได้โอนมาขึ้นกระทรวงมหาดไทย ฉันลงไปตรวจราชการเมืองภูเก็ตครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑ เวลาฉันพักอยู่เมืองภูเก็ตพระครูวิสุทธิวงศาจารย์เป็นที่สังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ตอยู่ ณ วัดฉลองมาหา พอฉันแลเห็นก็เกิดพิศวงด้วยที่หน้าแข้งของท่านมีรอยปิดทองคำเปลวแผ่นเล็กๆ ระกะไปราวกับพระพุทธรูปหรือเทวรูปโบราณที่คนบนบาน เมื่อพูดจาปราศรัยดูก็เป็นผู้มีกิริยาอัชฌาสัยเรียบร้อยอย่างผู้หลักผู้ใหญ่ เวลานั้นดูเหมือนจะมีอายุได้สัก ๖๐ ปี ฉันถามท่านว่าเหตุไฉนจึงปิดทองที่หน้าแข้ง ท่านตอบว่า "เมื่ออาตมาภาพเข้ามาถึงในเมืองพวกชาวตลาดเขาขอปิด" ฉันได้ฟังอย่างนั้นก็เกิดอยากรู้ว่าเหตุไฉนคนจึงปิดทองท่านพระครูวัดฉลอง ข้าราชการเมืองภูเก็ที่เขารู้เห็นเล่าให้ฟังบ้าง เป็นเรื่องประหลาดดังจะกล่าวต่อไปนี้
ท่านพระครูองค์นี้ชื่อ แช่ม เป็นชาวบ้านฉลองอยู่ห่างเมืองภูเก็ตสักสามสี่ร้อยเส้น เดิมเป็นลูกศิษย์พระอยู่ในวัดฉลองมาตั้งแต่ยังเด็ก ครั้นเติบใหญ่บวชเป็นสามเณรเล่าเรียนอยู่ในวัดนั้น จนอายุครบอุปสมบทก็บวชเป็นพระภิกษุ เรียนวิปัสสนาและคาถาอาคมต่างๆ ต่อมาจนมีพรรษาอายุมากได้เป็นสมภารวัดฉลอง เรื่องประวัติแต่ต้นจนตอนนี้ไม่แปลกอย่างไร มาเริ่มมีอภินิหารเป็นอัศจรรย์เมื่อเกิดเหตุ ด้วยพวกกรรมกรทำเหมืองแร่ที่เมืองภูเก็ตเป็นกบฏเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๙(ดังจะมีเรื่องปรากฏในนิทานที่ ๑๕ ต่อไปข้างหน้า) เวลานั้นรัฐบาลไม่มีกำลังพอจะปราบปรามพวกจีนกบฏให้ราบคาบ ได้แต่รักษาตัวเมืองไว้ ตามบ้านนอกออกไป พวกจีนเที่ยวปล้นสดมฆ่าฟันผู้คนได้ตามชอบใจไม่มีใครต่อสู้ จึงเป็นจลาจลทั่วไปทั้งเมืองภูเก็ต เรื่องที่เล่าต่อไปนี้เขียนตามคำท่านพระครูวัดฉลองเล่าให้ฟังเอง ว่าเมื่อได้ข่าวไปถึงบ้านฉลองว่ามีจีนออกไปปล้น พวกชาวบ้านกลัวพากันอพยพหนีไปซ่อนตัวอยู่ตามภูเขาโดยมาก เวลานั้นมีชายชาวบ้านที่เคยเป็นลูกศิษย์ของท่านสักสองสามคนไปชวนให้ท่านหนีไปด้วย แต่ท่านตอบว่า "ข้าอยู่ในวัดนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนอายุถึงปานนี้แล้ว ทั้งเป็นสมภารเจ้าวัดด้วยจะทิ้งวัดไปเสียอย่างไรได้ พวกสูจะหนีก็หนีเถิด แต่ข้าไม่ไปละจะต้องตายก็จะตายอยู่ในวัด อย่าเป็นห่วงข้าเลย" พวกลูกศิษย์อ้อนวอนเท่าใดท่านก็ยืนคำอยู่อย่างนั้น เมื่อคนเหล่านั้นเห็นว่าท่านไม่ยอมทิ้งวัดไปก็พูดกันว่า "เมื่อขรัวพ่อไม่ยอมไป พวกผมก็อยู่เป็นเพื่อน แต่ขออะไรพอคุ้มตัวสักอย่างหนึ่ง" ท่านจึงเอาผ้าขาวมาลงยันต์เป็นผ้าประเจียดแจกให้คนละผืน พวกนั้นไปเที่ยวเรียกหาเพื่อนได้เพิ่มเติมมาราวสัก ๑๐ คน เชิญตัวท่านให้ลงไปอยู่ในโบสถ์ พวกเขาไปเที่ยวหาเครื่องศัสตราวุธสำหรับตัวแล้วพากันมาอยู่ในวัดฉลอง พออีกสองวันจีนพวกหนึ่งก็ออกไปปล้น แต่พวกจีนรู้ว่าพวกชาวบ้านหนีไปเสียโดยมากแล้วเดินไปโดยประมาทไม่ระวังตัว พวกไทยแอบเอากำแพงแก้วรอบโบสถ์บังตัว พอพวกจีนไปถึงก็ยิงเอาแตกหนีไปได้โดยง่าย พอมีข่าวว่าลูกศิษย์ท่านวัดฉลองรบชนะจีน ชาวบ้านฉลองที่หนีจีนไปซุกซ่อนอยู่ตามภูเขาก็พากันกลับมาบ้านเรือน ที่เป็นผู้ชายก็ไปหาท่านวัดฉลอง ขอรับอาสาว่า ถ้าพวกจีนยกไปอีกจะช่วยรบ แต่ท่านตอบว่า "ข้าเป็นพระสงฆ์จะรบราฆ่าฟันใครไม่ได้ สูจะรบพุ่งอย่างไรก็ไปคิดอ่านกันเองเถิด ข้าจะให้แต่เครื่องคุณพระสำหรับป้องกันตัว" คนเหล่านั้นไปเที่ยวชักชวนกันรวมคนได้กว่าร้อยคน ท่านวักฉลองก็ลงผ้าประเจียดแจกให้ทุกคน พวกนั้นนัดกันเอาผ้าประเจียดโพกหัวเป็นเครื่องหมาย ทำนองอย่างเป็นเครื่องแบบทหาร พวกจีนเลยเรียกว่า "อ้ายพวกหัวขาว" จัดกันเป็นหมวดหมู่มีตัวนายควบคุม แล้วเลือกที่มั่นตั้งกองรายกันเอาวัดฉลองเป็นที่บัญชาการคอยต่อสู้พวกจีน ในไม่ช้าพวกจีนก็ยกไปอีก คราวนี้ยกกันไปเป็นขบวนรบ มีทั้งธงนำและกลองสัญญาณ จำนวนคนที่ยกไปก็มากกว่าครั้งก่อน พวกจีนยกไปถึงบ้านฉลองในตอนชาว พวกไทยเป็นแต่คอยสู้อยู่ในที่มั่นเอาปืนยิงกราดไว้ พวกจีนเข้าในหมู่บ้านฉลองไม่ได้ก็หยุดยั้งอยู่ภายนอก ต่างยิงโต้ตอบกันทั้งสองฝ่ายจนเวลาตะวันเที่ยง พวกจีนหยุดรบไปกินข้าวต้ม พวกไทยได้ทีก็รุกเข้าล้อมไล่ยิงพวกจีนในเวลากำลังสาละวนกินอาหาร ประเดี๋ยวเดียวพวกจีนก็ล้มตายแตกหนีกระจัดกระจายไปหมด ตามคำท่านพระครูว่า "จีนรบสู้ไทยไม่ได้ด้วยมันต้องกินข้าวต้ม พวกไทยไม่ต้องกินข้าวต้มจึงเอาชนะได้ง่ายๆ" แต่นั้นพวกจีนก็ไม่กล้าไปปล้นบ้านฉลองอีก เป็นแต่พวกหัวหน้าประกาศตีราคาศีรษะท่านวัดฉลอง ว่าใครตัดเอาไปให้ได้จะให้เงินสินบน ๑,๐๐พันเหรียญ ชื่อท่านวัดฉลองก็ยิ่งโด่งดังหนักขึ้น
เมื่อรัฐบาลปราบพวกจีนกบฏราบคาบแล้ว ยกความชอบของเจ้าอธิการแช่มวัดฉลองที่ได้เป็นหัวหน้าในการต่อสู้พวกจีนกบฏในครั้งนั้น ประจวบตำแหน่งพระครูสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ตว่างอยู่ พระบาทสมเด้จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงตั้งให้เป็นที่พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ตำแหน่งสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ตแต่นั้นมา แต่ทางฝ่ายชาวเมืองภูเก็ตเชื่อว่าที่ชาวบ้านฉลองรบชนะพวกจีน เพราะท่านพระครูวัดฉลองมีอิทธิฤทธิ์ในทางวิทยาคม ก็นับถือกันเป็นอย่างผู้วิเศษทั่วทั้งจังหวัด เรื่องที่เล่ามาเพียงนี้เป็นชั้นก่อเกิดการปิดทองท่านพระครูวัดฉลอง
มูลเหตุที่จะปิดทองนั้น เกิดขึ้นเมื่อคนนับถือท่านพระครูวัดฉลองว่าเป็นผู้วิเศษแล้ว ด้วยคราวหนึ่งมีชาวเมืองภูเก็ตสักสี่ห้าคนลงเรือลำหนึ่งไปเที่ยวตกเบ็ดในทะเล เผอิญไปถูกพายุใหญ่จนจวนเรือจะอับปาง คนในเรือพากันกลัวตา คนหนึ่งออกปากบนเทวดาอารักษ์ที่เคยนับพถือขอให้ลมสงบ พายุก็กลับกล้าหนักขึ้น คนอื่บนสิ่งอื่นที่เคยนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ลมก็ไม่ซาลง จนสิ้นคิดมิรู้ที่จะบนบานอะไรต่อไป มีคนหนึ่งในพวกนั้นก็ออกปากบนว่า ถ้ารอดชีวิตได้จะปิดทองขรัวพ่อวัดฉลอง พอบนแล้วลมพายุก็ซาลงทันที พวกคนหาปลาเหล่านั้นรอดกลับมาได้จึงพากันไปหาท่านพระครูขออนุญาตปิดทองแก้สินบน ท่านพระครูว่า "ข้าไม่ใช่พระพุทธรูป จะทำนอกรีตมาปิดทองคนเป็นๆ อย่างนี้ข้าไม่ยอม" แต่คนหาปลาได้โต้ว่า "ก็ผมบนไว้อย่างนั้น ถ้าขรัวพ่อไม่ยอมให้ผมปิดทองแก้สินบน ฉวยแรงสินบนทำให้ผมเจ็บล้มตาย ขรัวพ่อจะว่าอย่างไร" ท่านพระครูจนถ้อยคำสำนวน ด้วยตัวท่านก็เชื่อแรงสินบน เกรงว่าถ้าเกิดเหตุร้ายแก่ผู้บน ปาบจะตกอยู่แก่ตัวท่านก็ต้องยอม จึงเอาน้ำมาลูบหน้าแข้งแล้วยื่นออกไปให้ปิดทองคำเปลวที่หน้าแข้ง แต่ให้ปิดเพียงแผ่นเล็กๆแผ่นหนึ่งพอเป็นกิริยาบุญ พอคนบนกลับไปแล้วก็ล้างเสีย
แต่เมื่อกิติศัพท์เล่าลือกันไปว่า มีชาวเรือรอดตายได้ด้วยบนปิดทองท่านพระครูวัดฉลอง ก็มีผู้อื่นเอาอย่าง ในเวลาเจ็บไข้หรือเกิดเหตุการณ์ กลัวจะเป็นอันตรายก็บนปิดทองท่านพระครูวัดฉลองบ้าง ฝ่ายม่านพระครูมิรู้จะขัดขืนอย่างไรก็จำต้องยอมให้ปิด จึงเกิดเป็นประเพณีปิดทองท่านพระครูวัดฉลองขึ้นด้วยประการฉะนี้ ตัวท่านเคยบอกกับฉันว่าที่ถูกปิดทองนั้นอยู่ข้างรำคาญ ด้วยคันผิวหนังตรงที่ปิดทอง จนล้างออกเสียแล้วจึงหาย แต่ก็ไม่กล้าขัดขวางคนขอปิดทอง เพราะฉะนั้นท่านพระครูเข้าไปในเมืองเมื่อใด พวกที่ได้บนบานเอาไว้ใครรู้เข้าก็ไปคอยดักทางขอปิดทองแก้สินบนคล้ายกับคอยใส่บาตร ท่านพระครูเห็นคนคอยปิดทองร้องนิมนต์ ก็ต้องหยุดให้เขาปิดทองเป็นระยะไปตลอดทาง วันนั้นท่านกำลังจะมาหาฉันไม่มีเวลาล้างทอง จึงติดหน้าแข้งมาให้ฉันเห็น ตั้งแต่รู้จักกันเมื่อวันนั้น ท่านพระครูวัดฉลองกับฉันก็เลยชอบกันมา ท่านเข้ามากรุงเทพฯเมื่อใดก็เข้ามาหาฉันไม่ขาด เคยทำผ้าประเจียดให้ฉัน ฝีมือเขียนงามดีมาก ฉันไปเมืองภูเก็ตเมื่อใดก็ไปเยี่ยมท่านถึงวัดฉลองทุกครั้ง
การที่คนปิดทองท่านพระครูวัดฉลอง เป็นแรกที่เกิดประเพณีปิดทองคนเป็นๆเหมือนเช่นพระพุทธรูปหรือเทวรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นธรรมดาที่กิติศัพท์จะเลื่องลือระบือเกียรติคุณของท่านพระครูวัดฉลองแพร่หลาย จนนับถือกันทั่วไปทุกหัวเมืองทางทะเลตะวันตก ใช่แต่เท่านั้น แม้ในเมืองปีนังเป็นอาณาเขตของอังกฤษ คนก็พากันนับถือท่านพระครูวัดฉลอง เพราะที่เมืองปีนังพลเมืองมีไทยและจีนเชื้อสายไทย ผู้ชายเรียกกันว่า "บาบ๋า" ผู้หญิงเรียกกันว่า "ยอหยา" ล้วนนับถือพระพุทธศาสนาอยู่เป็นอันมาก เขาช่วยกันสร้างวัดและนิมนต์พระสงฆ์ไทยไปอย่ก็หลายวัด แต่ในเมืองปีนังไม่มีพระเถระ พวกชาวเมืองทื้งพระและคฤหัสถ์ จึงสมมติท่านพระครูวัดฉลองให้เป็นพระมหาเถระสำหรับเมืองปีนัง ถ้าสร้างโบสถ์ใหม่ก็นิมนต์ให้ไปผูกพัทธสีมา ถึงฤดูบวชนาคเมื่อก่อนฟดูเข้าพรรษา ก็นิมนต์ให้ไปนั่งเป็นอุปัชฌาย์บวชนาค และที่สุดแม้พระสงฆ์เกิดอธิกรณ์ก็นิมนต์ให้ไปไตร่สวนพิพากษา ท่านพระครูพิพากษาว่าอย่างไรก็เป็นสิทธิ์ขาด เป็นอย่างสังฆปาโมกข์เมืองปีนังด้วยอีกเมืองหนึ่ง ผิดกับเมืองภูเก็ตเพียงเป็นด้วยส่วนตัวท่านเอง มิใช่ในทางรีชการ ด้วยในสมัยนั้นยังไม่มีทางรถไฟ ชาวกรุงเทพฯกับชาวเมืองปีนังยังห่างเหินกันมาก มีแต่เรือเมล์ไปมาระหว่างเมืองปีนังกับเมืองภูเก็ตทุกสัปดาห์ ไปมาหากันโดยง่าย ท่านพระครูวัดฉลองอยู่มาจนแก่ชรา อายุเห็นจะกว่า ๘๐ ปีจึงถึงมรณภาพ
จากคุณ : กัมม์ - [ 28 ส.ค. 48 15:06:25 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 26
เมื่อฉันออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยแล้ว ไม่ได้ไปเมืองภูเก็ตช้านาน จนถึงรัชกาลที่ ๗ ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไปเมืองภูเก็ตครั้งหนึ่งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ เวลานั้นท่านพระครูวัดฉลองถึงมรณภาพเสียนานแล้ว ฉันคิดถึงท่านพระครูจึงไปที่วัดฉลองด้วย ในคราวนี้สะดวกด้วยเมืองภูเก็ตมีถนนรถยนต์ไปได้หลายทาง รถยนต์ไปครู่เดียวก็ถึงวัดฉลอง เห็นวัดครึกครื้นขึ้นกว่าเคยเห็นแต่ก่อนจนแปลกตา เป็นต้นว่า กุฏิเจ้าอาวาสที่ท่านพระครูเคยอยู่ก็กลายเป็นตึกสองชั้น กุฏิพระสงฆ์และศาลาที่สร้างเพิ่มเติมขึ้นก็มีอีกหลายหลัง เขาบอกว่ามีผู้ศรัทธาสร้างถวายพระครูเมื่อภายหลัง แต่เมื่อมีผู้ไปสร้างสิ่งต่างๆเหล่านั้น ท่านพระครูไม่ยอมให้แก้ไขในบริเวณโบสถ์ที่ท่านลงไปอยู่เมื่อต่อสู้พวกจีน กำแพงแก้วที่พวกลูกศิษย์เคยอาศัยบังตัวรบจีนครั้งนั้นก็ไม่ให้รื้อแย่งแก้ไข ยังคงอยู่อย่างเดิม ที่ในกุฏิของท่านพระครูเขาตั้งโต๊ะที่บูชาไว้ มีรูปฉายของท่านพระครูขยายเป็ยขนาดใหญ่ใส่กรอบอย่างลับแลตั้งไว้เป็นประธานบนโต๊ะนั้น มีรอยคนปิดทองแก้สินบนที่กระจกเต็มไปหมดทั้งแผ่น เหลือช่องว่างแต่ที่ตรงหน้าท่านพระครู ดูประหลาดที่ยังชอบบนปิดทองท่านพระครูอยู่จนเมื่อตัวท่านล่วงลับไปนานแล้ว ไม่เท้าของท่านพระครูที่ชอบถือติดมือก็เอาวางไว้ข้างหน้ารูปและมีรอยปิดทองด้วย
ไม้เท้าอันนี้ก็มีเรื่องแปลกอยู่ พวกกรมการเมืองภูเก็ตเขาเคยเล่าให้ฉันฟังตั้งแต่ท่านพระครูยังอยู่ ว่ามีเด็กผู้หญิงรุ่นสาวคนหนึ่งในเมืองภูเก็ต เป็นคนมีวิสัยชอบพูดอะไรเล่นโลนๆ ครั้งหนึ่งเด็กคนั้นเจ็บออกปากบนตามประสาโลนว่า ถ้าหายเจ็บจะปิดทองตรงที่ลับของขรัวพ่อวัดฉลอง ครั้นหายเจ็บถือว่าพูดเล่นก็เพิกเฉยเสีย อยู่มาไม่ช้าเด็กคนนั้นกลับไปเจ็บอีก คราวนี้เจ็บมากหมอรักษาอาการก็ไม่คลายขึ้น พ่อแม่สงสัยว่าจะเป็นด้วยถูกผีหรือแรงสินบน ถามตัวเด็กว่ามันได้บนบานไว้บ้างหรือไม่ แต่แรกตัวเด็กละอายไม่รับว่ามันได้บนไว้เช่นนั้น จนทนอาการเจ็บไม่ไหวจึงบอกตามความจริงให้พ่อแม่รู้ ก็พากันไปเล่าให้ท่านพระครูฟัง แล้วปรึกษาว่าควรจะทำอย่างไรดี ท่านพระครูว่า "บนอย่างลามกเช่นนั้ใครจะยอมให้ปิดทองได้" ข้างพ่อแม่เด็กก็เฝ้าอ้อนวอนด้วยกลัวลูกจะเป็นอันตราย ท่านพระครูมิรู้ที่จะทำประการใด จึงคิดอุบายเอาไม้เท้าอันนั้นสอดเข้าไปใต้ที่นั่ง แล้วให้เด็กปิดทองที่ปลายไม่เท้า ผู้เล่าว่าพอแก้สินบนแล้วก็หายเจ็บ ฉันได้ถามท่านพระครูว่าเคยให้เด็กหญิงปิดทองที่ปลายไม้เท้าแก้สินบนจริงหรือ ท่านเป็นแต่ยิ้มอยู่ไม่ตอยรับหรือปฏิเสธ จึงนึกเห็นจะเป็นเรื่องจริงดังเขาเล่า
เรื่องพระครูวัดฉลองยังเห็นเป็นอัศจรรย์ต่อมาอีก เมื่อฉันไปอยู่เมืองปีนังใน พ.ศ.๒๔๗๗ ไปที่วัดสว่างอารมณ์เห็นมีรูปฉายท่านพระครูวัดฉลองเข้ากรอบลับแลตั้งอยู่บนโต๊ะเครื่องบูชาข้างพระประธานที่ในโบสถ์ และมีรอยปิดทองแก้สินบนเต็มไปทั้งแผ่นกระจก เช่นเดียวกับที่เมืองภูเก็ต เดี๋ยวนี้รูปนั้นก็ยังอยู่ที่วัดสว่างอารมณ์ ดูน่าพิศวง พิเคาระห์ตามเรื่องประวัติ เห็นว่าควรนับว่า พระครูวิสุทธิวงศาจารย์(แช่ม) วัดฉลองเป็นอัจฉริยบุรุษได้คนหนึ่งด้วยประการฉะนี้.
จากคุณ : กัมม์ - [ 28 ส.ค. 48 15:06:32 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 27
นอกจากเนื้อเรื่องจะยาวแล้ว ขอให้มิตรภาพของพวกเรา ยืนยาวนาน เป็นประวัติศาสตร์ด้วยครับ
จากคุณ : จำปูน - [ 28 ส.ค. 48 15:40:24 A:202.133.166.22 X: TicketID:033075 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 28
จบตอนนี้แล้วครับ
ตอนหน้าเมื่อทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ใช้ชื่อตอนว่า ทรงตรวจราชการหัวเมือง เอาสัก ๓-๔ ตอน แล้วขึ้นตอนทรงจัดหอพระสมุดสำหรับพระนคร ๑ ตอน ปิดท้ายด้วย พระประวัติลูกเล่า เป็นที่สุดของพระประวัตินะครับ
รักกันจริง ติดตามต่อนะครับ ท่านใดหายหน้าไปนานๆ จะโพสข้อความตามหา แวะเข้ามาดูเอานะครับ(?)
ตอนนี้ขอพักเรื่องพระประวัติไว้ก่อน ขอเข้าไปที่ ตำนานพระโกศ ที่หาเรื่องไว้ก่อนนะครับ ช่วงนี้รู้สึกว่าจะเกินกำลังอยู่บ้าง ต้องเรียงข้อความ ๒กระทู้ในเวลาเดียว
จากคุณ : กัมม์ - [ 28 ส.ค. 48 15:41:59 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 29
แวะมาเยี่ยม ยังไม่ค่อยได้มีเวลาอ่านเลย เรียนหนักจัง
จากคุณ : กริชครับผม - [ 29 ส.ค. 48 01:25:43 ]
|
| | |
ความคิดเห็นที่ 30
เข้ามาเช็คชื่อครับ ยังตามอ่านอยู่นะครับ
จากคุณ : jaxcu - [ 29 ส.ค. 48 15:29:25 ]
|
| | |
มห.ภูเก็จ 2329
|