Skip to content

Phuketdata

default color
Home arrow Search
ล่องเรือเที่ยวถ้ำ ชมความมหัศจรรย์ที่พังงา PDF พิมพ์ อีเมล์
เขียนโดย ปาณิศรา ชูผล มทศ.   
เสาร์, 14 มิถุนายน 2008

ล่องเรือเที่ยวถ้ำ ชมความมหัศจรรย์ที่พังงา 

 

ภาคใต้ของเราแม้จะโดนคลื่นยักษ์สึนามิซัดถล่ม สร้างความเสียหายในหลายพื้นที่ หลายจังหวัด ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างเร่งช่วยกันฟื้นฟูสภาพสิ่งแวดล้อม และช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน จนหลาย ๆ พื้นที่กลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว...จะขาดก็แต่เพียงผู้มาเยือน

เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้กับชาวใต้ อีซูซุ ซูเปอร์คอมมอนเรล ได้จัดคาราวานสัญจร เส้นทางภาคใต้ขึ้น เพื่อพาไปชื่นชมความงามของเมืองใต้กัน

จ.พังงา เป็นจุดหมายที่มุ่งหน้าไปกัน เพื่อสัมผัสกับธรรม ชาติที่งดงามภายใน “ถ้ำพุงช้าง” ที่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองพังงา หลังศาลากลางจังหวัดเก่า ก่อนเข้าตัวตลาดพังงา มีทางลาดยางเข้าไป 500 เมตร ก็จะถึงวัดประพาสประจิมเขต

เมื่อมาถึง ก่อนอื่นจะต้อง เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้าไปผจญภัยในถ้ำ สิ่งแรก คือ เปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะ เพื่อความคล่องตัวในการท่องเที่ยว จากนั้นรับอุปกรณ์โดยจะมีเจ้าหน้าที่แจกไฟฉายให้ไว้ชมความงามในถ้ำ แล้วมุ่งหน้าเดินเข้าไปด้านในกันเลย ถ้ำแห่งนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เคยเสด็จมาเยือนและได้ทรงลงพระปรมาภิไธยไว้ทางด้านหน้าของถ้ำด้วย

บริเวณด้านข้างของปากถ้ำจะมี ศาลพ่อตาเขาช้าง ตั้งอยู่ กราบสักการะเจ้าที่เจ้าทางกันเสียก่อน ก่อนเข้าไปภายในถ้ำสิ่งสำคัญที่พึงปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง คือ การชมความงามของธรรมชาติด้วยตาเท่านั้น เพราะเพียงปลายเล็บที่แตะโดนหินงอกหินย้อย เท่ากับ เป็นการหยุดพัฒนาการของธรรม ชาติที่ล้ำค่าไปแล้ว รวมทั้งการถ่ายภาพที่ใช้แฟลชด้วย เจ้าหน้าที่ จึงขอความร่วมมือให้ถ่ายภาพได้เฉพาะบริเวณด้านหน้าเท่านั้น แต่ถ้าต้องการถ่ายภาพด้านในจะต้องไม่ใช้แฟลช ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร จึงเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นไม่อนุญาตให้นำกล้องเข้าไปภายในถ้ำแทน สำหรับภาพที่เห็นนั้น เพื่อเป็นการเผยแพร่ทางเจ้าหน้าที่จึงอนุญาตให้นำกล้องเข้าไปเพียงตัวเดียวเท่านั้น

 

เมื่อทำความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่บรรยายและฝีพายพร้อมกับ เรือแคนูรออยู่ที่ปากถ้ำ หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเข้าถ้ำต้องใช้เรือ ก็เพราะว่าถ้ำแห่งนี้มีสายน้ำไหลผ่านกลางถ้ำจึงต้องใช้เรือเป็นพาหนะเดินทางเข้าไป ซึ่งมีทั้งช่วงที่น้ำลึกและช่วงที่น้ำตื้น ใช้เวลาในการท่องเที่ยวด้านในประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที

 

เรือลำหนึ่งนั่งได้ 3-4 คน เมื่อเข้าไปภายในถ้ำจะพบความงามที่ธรรมชาติบรรจงสร้างไว้เต็มไปด้วยหินงอก หินย้อยที่ก่อเกิดเป็นรูปทรงต่าง ๆ ที่สามารถจินตนาการได้ด้วยสายตา ตลอดเส้นทาง 1,200 เมตร ที่เห็นง่ายที่สุดเห็นจะเป็นหินรูปจระเข้ตัวใหญ่ข้างผนังถ้ำ ล่องมาได้พักหนึ่งจะเห็นเหล่าค้างคาวหน้าหนู ที่เกาะอยู่บนผนังถ้ำ ต้องเงยหน้าดูดี ๆ อย่าอ้าปากพูดเชียว มิฉะนั้นอาจได้ของดีเข้าปากโดยไม่รู้ตัว

 

ล่องเรือชมความงามมาได้สักระยะหนึ่ง ก็ต้องเปลี่ยนบรรยา กาศมานั่งแพไม้ไผ่เพื่อชมความงามกันต่อ ในช่วงนี้เมื่อส่องไฟ ฉายไปเรื่อย ๆ จะพบกับหินงอก หินย้อยที่มีแสงประกายเหมือนประกายเพชรระยิบระยับอยู่ทั่วถ้ำ ถึงแม้จะเข้ามาลึกพอสมควรแล้วแต่กลับรู้สึกเย็นสบาย ไม่อึดอัดเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นเพราะว่ามีการไหลเวียนและการถ่ายเทของอากาศภายในถ้ำโดยผ่านเข้ามาจากสายน้ำไหลนี้เอง

มาถึงสุดทางของแพไม้ไผ่แล้ว ทีนี้จะต้องเดินลุยน้ำเข้าไป มาถึงตรงนี้ก็จะถึงบางอ้อ ว่าทำไม ต้องเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะ ผู้นำทางบอกว่าในส่วนนี้สามารถเดินชมได้เพราะ น้ำสูงไม่มากนักประมาณเหนือเข่าขึ้นไปเล็กน้อย ระยะทางในช่วงนี้ประมาณ 400 เมตร ไปกลับก็เป็นระยะทาง 800 เมตร

เมื่อเดินเข้าไปจะเห็นว่า ถ้ำจะมีขนาดต่าง ๆ สลับกัน มีกว้างบ้าง แคบบ้าง ตลอดทางจะเพลิดเพลินตื่นตาไปกับคำ แนะนำและคำถามของไกด์ที่ชี้ ให้ดูหินก้อนนั้น ก้อนโน้น รวมทั้งลายหินตามผนังถ้ำ และบางครั้งก็มีการตั้งคำถามว่าดูแล้วเห็นเหมือนอะไร ซึ่งแต่ละคนต่างพากันจ้องมองกันใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ลายหินรูปคนตกปลา ลายหินรูปแป๊ะยิ้ม หรือจะเป็นเหยี่ยวกำลังคาบเหยื่อ ยังมีก้อนหินก้อนหนึ่งที่เป็นลักษณะคล้ายเต่ายักษ์และหัวไดโนเสาร์ บ้างก็ตอบถูก บ้างก็คิดในใจว่าเหมือนตรงไหน?

เดินลึกเข้าไป สิ่งที่ผู้นำทางชี้ให้ดูก็ทำเอาหลายคนประหลาดใจ กับแผ่นหินคล้ายรูปแกะสลักเป็นเจดีย์ ที่มองดูแล้วเต็มไปด้วยลูกช้างเป็นร้อย ๆ เชือกอยู่โดยรอบเจดีย์ เรียกกันว่า เจดีย์ช้างเผือก และที่สร้างความฮือฮาไม่แพ้กันก็คือ หินงอกหินย้อยขนาดใหญ่ ที่มีรูปทรงสีสันสวยงามมาก เป็นสีทองปนแดงคาดว่าน่าจะก่อตัวมานับล้าน ๆ ปี

ขณะที่เดินไปต่างพากันสำรวจมองดูสิ่งที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ไว้ให้ชื่นชมก็ต้องพบกับเรื่องน่าสลดใจ เพราะหินงอก หินย้อยบางแห่งถูกพวกมือบอน ถูบ้าง เอาหินขูดจนเป็นรอยบ้าง ทำให้หินบริเวณนั้นหยุดพัฒนา การตามธรรมชาติจนเกิดเป็น รอยด่างอย่างเห็นได้ชัด หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่มีอะไรให้ได้ดูกันอีก

ในถ้ำแห่งนี้ มีสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่มาซ่อนกายสร้างมนต์เสน่ห์ภายใต้ความมืดให้แก่ผู้มาเยือนได้พบเห็น นั่นก็คือ ค้างคาวกิตติ เป็นค้างคาวชนิดที่เล็กที่สุดในประเทศไทย รวมไปถึงฝูงปลาน้อยใหญ่และกุ้งที่แหวกว่าย ผ่านสายน้ำมาอวดสายตา ไกด์นำทางบอกว่า ปลาและกุ้งที่อยู่ใน ถ้ำจะตาบอด ทำให้ผู้ร่วมทางคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า อย่างนี้คนที่กำลังมีความรักก็มาอยู่ที่นี่ได้ คิ้วที่ขมวดกันหายไป กลับมีเสียงที่พูดต่อว่า เพราะความรักทำให้คนตา บอด ???...

ตลอดทางจะพบกับหินงอกหินย้อยลักษณะเหมือนกับช้างมากมาย รวมทั้งเสียงหยดน้ำที่ ไหลผ่านหิน และที่น่าอัศจรรย์ อีกครั้งกับก้อนหินที่ก่อตัวกันเป็นบ่อน้ำมนต์รูปหัวช้าง ไม่รอช้าเข้าคิวไปแตะน้ำนำมาลูบหัวกันใหญ่ เดินมาเกือบถึง 400 เมตรแล้ว ไกด์ชี้ให้ดูหินงอกหินย้อยที่โผล่ขึ้นมาเป็นรูปช้างคล้ายกับช้างเผือกและที่สำคัญมีหินงอกหินย้อย มาปกคลุมด้านบน ทำให้มองดูเหมือนช้างมีเศวตฉัตรปกคลุมอยู่...ช่วงนี้ไกด์ยังแนะให้ทุกคนลองปิดไฟฉายดูแล้วจะรู้ว่าความมืดเป็นอย่างไร ขนาดที่เราเอาฝ่ามือมาปิดตาก็ยังไม่แตกต่างกันเลย...ได้ชมความงามกันอีกครั้งตอนขากลับ

สนุกกับการผจญภัยในถ้ำกันแล้ว เดินทางกันต่อ เพื่อไปไหว้พระธาตุที่ วัดราษฎร์อุปถัมภ์ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า วัดบางเหรียง ตั้งอยู่ที่ อ.ทับปุด จ.พังงา เป็นวัดที่มีภูเขาล้อมรอบเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยนานาพันธุ์

ทางขึ้นสองข้างทางประดับด้วยรูปปูนปั้นพญานาค 5 เศียร อยู่ในท่าเลื้อยลงมาจากพระธาตุ หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่านาคสะดุ้ง ฉะนั้นคงต้องออกกำลังกันสักเล็กน้อยก่อนถึงบริเวณด้านบน

ภายในวัดมีถาวรวัตถุทางธรรมที่สำคัญ คือ พระธาตุเจดีย์เทพนิมิต ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานนามว่า “พระมหาธาตุเจดีย์พุทธธรรมบันลือ” ลักษณะเป็นศิลปะผสมระหว่างพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราชทางใต้และพระบรมธาตุทางเหนือ โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก มีการตกแต่งลวดลายปูนปั้นไว้อย่าง งดงาม ซึ่งมีความสูงจากฐานชั้นล่างถึงยอด 109 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 41 เมตร มี 3 ชั้น ชั้นแรกเป็นรูปแปดเหลี่ยมด้าน เท่า มีความหมายถึงมรรคมีองค์ 8 ส่วนชั้นที่ 2 เป็นเรือนคูหาแปดเหลี่ยม และชั้นสุดท้าย เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ ไม่รอช้าต่างพากันกราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล

ลองมาสัมผัส…แล้วจะรู้ว่า...เมืองใต้ยังคงงดงามอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง.

เก็บตกรายทาง : ตำนานถ้ำพุงช้าง

ถ้ำพุงช้างแห่งนี้ มีความเชื่อที่มาจากตำนาน เล่าว่า ตายมดึง ผู้ร่อนเร่พเนจรได้ขออาศัยอยู่กับตาโจงโดง ตายมดึงเป็นคนขยัน ตาโจงโดงจึงยกลูกสาวชื่อนางทองตึงให้เป็นภรรยา สองสามีภรรยาจึงออกมาตั้งเนื้อตั้งตัวด้วยการทำสวนทำไร่ แต่ขณะไร่นาได้ผลกลับมีช้างป่าโขลงหนึ่งมาเหยียบย่ำทำลายหมด ตายมดึงเสียดายและโกรธมาก จึงถือหอกเป็นอาวุธตามล่าช้างโขลงนั้น

แต่ตายมดึงกลับไปเจอช้างของตางุ้มตามประวัติบอกว่าเป็นช้างนิสัยดี ตายมดึงเข้าใจว่าเป็นช้างป่าที่มากินพืชผลของตน จึงฆ่าช้างเชือกนั้นตาย โดยใช้หอกทะลวงแทงที่ท้องลากตับไตไส้พุงเอามาทำอาหารกินและตัดงาออก ด้วยอานุภาพความดีของช้างเชือกนั้น จึงกลายมาเป็น “เขาช้าง” โดยนัยว่าจะประท้วงคนที่ฆ่าตาม คำบอกเล่า เพื่อบอกให้รู้ว่าช้างนั้นไม่ผิดและรูที่ถูกหอกทะลวงแทงที่ท้องช้างตางุ้ม ก็กลายเป็น “ถ้ำพุงช้าง” ที่ได้เข้าไปผจญภัยกัน.
 
ทีมวาไรตี้ (จุฑานันทน์ บุญทราหาญ)

เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 14 มิถุนายน 2551

แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( เสาร์, 14 มิถุนายน 2008 )
 
< ก่อนหน้า

สมุดภาพเหมืองแร่

Counter

mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterวันนี้5075
mod_vvisit_counterเมื่อวาน3893
mod_vvisit_counterทั้งหมด11016909