คุณก้องให้ความรู้เราถึงเรื่องกาแฟว่า มีสายพันธ์กาแฟที่เป็นที่นิยมอยู่สองสายพันธ์คือกาแฟอาราบิก้า กับโรบัสต้า

กาแฟอาราบิก้า เป็นกาแฟที่เจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้ดีในแหล่งที่มีอากาศหนาวเย็น ที่อุณหภูมิระหว่าง 17-22 องศาเซลเซียส มีลำต้นสูง 4 เมตร ใบมีขนาดเล็ก สีเขียวมัน มีถิ่นกำเนิดอยู่ระหว่างรอยต่อของประเทศเอธิโอเปียกับซูดาน นอกจากนี้ ยังต้องการปริมาณน้ำฝน 1,400 มิลลิเมตร ต่อปี ดินควรเป็นดินร่วนสี...แดง มีหน้าดินลึก ปัจจุบันทั่วโลกปลูกกาแฟชนิดนี้ประมาณร้อยละ 80 ของการผลิตทั้งหมด ลักษณะเด่นคือ มีกลิ่นหอมและรสชาติเป็นที่นิยมของผู้บริโภค ข้อด้อยคือ อ่อนแอต่อโรคและไม่ทนต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เก็บผลผลิตได้หลังจากดอกบานแล้ว 6-9 เดือน
กาแฟโรบัสต้า เป็นกาแฟที่เจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้ดี ที่อุณหภูมิระหว่าง 25-28 องศาเซลเซียส มีขนาดทรงต้นสูงใหญ่กว่ากาแฟอาราบิก้า ที่ความสูง 4-6 เมตร มีข้อปล้องยาว ใบมีขนาดใหญ่สีเขียวเข้มแต่ไม่เป็นมัน ต้องการอากาศร้อนชื้น ฝนตกชุกและสม่ำเสมอ มีปริมาณน้ำฝน 1,500-1,800 มิลลิเมตร ต่อปี ทนทานต่อโรค และสภาพแวดล้อมที่แปรปรวนได้ดีกว่า กาแฟอาราบิก้า กาแฟโรบัสต้าพบมากที่บริเวณฝั่งทะเลตะวันตกของทวีปแอฟริกา จุดเด่นของกาแฟโรบัสต้าคือให้ปริมาณเนื้อกาแฟมากแม้จะให้กลิ่นและรสชาติด้อยกว่ากาแฟอาราบิก้าก็ตาม เก็บเกี่ยวผลผลิตได้หลังดอกบานแล้ว 10-11 เดือน ทั้งนี้ ผมเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านรับทราบไปบ้างแล้ว ที่คอกาแฟได้อรรถาธิบายไว้ว่า กาแฟอาราบิก้าให้กลิ่นและรสชาติ ส่วนโรบัสต้าให้เนื้อและตัวตน

กาแฟที่ปลูกในประเทศไทย จะตรงข้ามกับการผลิตของโลก เพราะว่าร้อยละ 98 เป็นกาแฟโรบัสต้าซึ่งมีแหล่งปลูกอยู่ในภาคใต้ ที่ชุมพร กระบี่ และระนอง กาแฟอาราบิก้ามีเพียงร้อยละ 2 ของแหล่งปลูกทั้งประเทศเท่านั้น

ข้อแตกต่างของกาแฟทั้งสองชนิดนี้คือ

Arabica เป็นกาแพที่ปลูกในที่สูงจากระดับน้ำทะเล 800-1,200 เมตร ส่วนมาปลูกทางภาคเหนือ
ความหอม - หอมมากกว่า
สี - จางกว่า
รส - ไม่ Ful body
เหมาะทำกาแฟร้อน ทานแบบไม่ใส่นม

Robusta เป็นกาแฟที่ปลูกในเขตดิบชื้น ส่วนใหญ่ปลูกที่ชุมพร กระบี่ และระนอง
ความหอม - หอมน้อยกว่า
สี - เข้มจัดกว่า
รส - Ful body เข้มจัด ออกเปรี้ยวหน่อยๆ
เหมาะผสมกับ Arabica ทำกาแฟเย็น หรือกาแฟใส่นม รสนมและความหวานไม่กลบรสกาแฟจนหมดดูเพิ่มเติม