จากแดนพญามังกรสู่มังกรเกาะ:หรินทร์ สุขวัจน์ |
เขียนโดย ปาณิศรา ชูผล มทศ. | |
จันทร์, 26 พฤษภาคม 2008 | |
(บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว) จากแดนพญามังกรสู่มังกรเกาะหรินทร์ สุขวัจน์
ประเทศจีน ดินแดนพญามังกรที่มีประชากรมากที่สุดในโลก อู่อารยธรรมที่ชนชาติหนึ่งได้สืบทอดประวัติศาสตร์อันยาวนานไม่น้อยกว่าห้าพันปี กำเนิดบุคคลที่ควรจดจำ คัมภีร์ที่ให้ศึกษาเรียนรู้ และตำนานเล่าขานมากมาย หนึ่งในเรื่องราวอันกลายเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของหลายชนชาติในโลกคือการเดินทางของชาวจีนไปยังดินแดนต่างๆ ทั้งทางบกและทะเล เกิดการผสมผสานกับชนพื้นเมือง ทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง พื้นที่และเกาะแก่งฝั่งทะเลอันดามันด้านทิศตะวันตกของไทย อันรวมถึงเกาะแห่งหนึ่งซึ่งในอดีตเคยได้รับสมญา“ฮ่ายเหลง:มังกรทะเลแห่งมหาสมุทรอินเดีย”ก็ร่วมอยู่ในเรื่องราวดังกล่าวนี้ด้วย
ภูเก็ตมีชาวป่าซาไกและชาวน้ำ(ชาวเล)ชนเผ่าเร่ร่อนแห่งทะเลใต้เป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมมาเป็นพันๆ ปีแล้ว แต่เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา ไม่มีผู้อพยพเข้าไปตั้งหลักแหล่ง ชุมชนย่อยจึงดำรงอยู่เป็นเวลานาน ไม่สามารถทำการเกษตรขนาดใหญ่พัฒนาเป็นสังคมได้ ราวสองพันปีก่อน เมื่อเริ่มมีการเดินเรือเลียบไหล่ทวีป ทั้งการผจญภัย สำรวจ และทำการค้าแลกเปลี่ยนสิ่งของ โลกก็เริ่มรู้ว่า มีดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ของจากป่า และแร่ธาตุ นามว่า“สุวรรณภูมิ” หรือดินแดนผืนแผ่นดินใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อุษาคเนย์) อันมีชนพื้นเมืองต่างเผ่าพันธุ์อยู่กัน ตั้งอยู่ระหว่าง 2 มหาสมุทร คือมหาสมุทรอินเดียทางทิศตะวันตก และมหาสมุทรแปซิฟิกทางฝั่งตะวันออก หลัง พ.ศ.500 เป็นต้นมา เริ่มเข้าสู่ยุคการค้าทางทะเล ชาวอาหรับ-เปอร์เซีย(อิหร่าน) ชาวสิงหล(ลังกา) และชาวชมพูทวีป(อินเดีย)ที่มาจากตะวันตกก็เริ่มลงหลักปักฐานในอนุภูมิภาคอันเป็นเส้นทางการค้าสำคัญในยุคแรก นำเอาศาสนา อักษร วรรณคดีเข้ามา ขณะที่ชาวจีนจากทางตะวันออกได้นำเอาเครื่องมือของใช้ ภาษา และอาหารการกินเข้ามา โดยจีนเรียกดินแดนนี้ว่า“จินหลิน”หรือ“กิมหลิน” ซึ่งมีความหมายเดียวกับชื่อสุวรรณภูมิว่า แผ่นดินทอง หรือแหลมทอง
ชาวจีนกับสยามประเทศ
ในบรรดาดินแดนโพ้นทะเลที่ชาวจีนอพยพไปตั้งรกรากนั้น ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์หรือดินแดนที่ชาวจีนเรียกขานว่า“หนานหยาง” เป็นอาณาบริเวณที่ชาวจีนโพ้นทะเลมาอยู่อาศัยมากที่สุด หลักฐานการตั้งหลักแหล่งของชาวจีนในประเทศไทยเริ่มตั้งแต่ยุคกรุงสุโขทัย อันเนื่อง หลังการล่มสลายของราชวงศ์หยวนในปี พ.ศ.1911 การฟื้นฟูการค้าทางทะเลของจีนในยุคราชวงศ์หมิงคือตำนานอันประกาศความเกรียงไกรทางทะเลของจีน กองเรือมหาสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีนและของโลกภายใต้การบัญชาการของแม่ทัพขันทีเจิ้งเหอ ประกอบไปด้วยเรือกว่า 300 ลำ บรรทุกทหาร พลเรือน พ่อค้า แพทย์ นักพฤกษศาสตร์ พ่อครัว นายช่าง ล่าม เจ้าหน้าที่ทูต นักสอนศาสนาอิสลาม และพระภิกษุในพุทธศาสนา ราว 30,000 ชีวิต ได้ออกเดินทางกระชับความสัมพันธ์กับนานาชาติชายฝั่งทะเลทางตอนใต้ไปยังทิศตะวันตกกว่า 30 ประเทศในอุษาคเนย์ อินเดีย อาหรับ และแอฟริกา รวม 7 ครั้ง ในปี พ.ศ.1948-1976 ยิ่งทำให้พ่อค้าชาวจีนได้ทราบแหล่งทำการค้าและชุมชนชาวจีนในภูมิภาคได้เป็นอย่างดี การเข้ามายังไทยในลักษณะการอพยพหนีภัยคราวละมากๆ ช่วงแรกเกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง(พ.ศ.2187-2454) อันเนื่องจากภัยสงครามที่พวกแมนจูเข้ายึดครองแผ่นดินและความแร้นแค้น ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่ชาวจีนจำนวนมากอพยพไปสู่ดินแดนโพ้นทะเลนั้นสัมพันธ์กับยุคที่ชาติตะวันตกออกล่าอาณานิคม โดยเฉพาะในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 อาณานิคมหลายแห่งต้องการแรงงานจำนวนมาก ทำให้ชาวจีนอพยพส่วนใหญ่หลั่งไหลสู่ดินแดนในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ด้วยการอพยพในรูปแบบ“เสื่อผืนหมอนใบ” โดยมีแรงบันดาลใจในการอพยพจากคำเล่าลือกันถึงความสำเร็จของชาวจีนอพยพรุ่นก่อนๆ ประกอบกับโลกทัศน์ของชาวจีนตามเมืองท่าที่อยู่ทางภาคใต้ของจีนนั้น คือการออกสู่ดินแดนโพ้นทะเลเพื่อแสวงหาโชคลาภ หรือเพื่อชีวิตที่ดีกว่าเดิม และก็เพราะจักรวรรดิอังกฤษต้องการบีบบังคับจีนจนเกิด“สงครามฝิ่น”ขึ้นในปี 2382 ยิ่งเสริมให้แรงงานชาวจีนอพยพเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตรงกับช่วงรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (ซึ่งได้ทรงประกาศการห้ามสูบฝิ่น เพื่อส่งเสริมศีลธรรมในบ้านเมืองในปีเดียวกันนั้นเอง)
ภูเก็ตมีการทำแร่ดีบุกมาเป็นพันปี แต่เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ข้อจำกัดวิทยาการ และกำลังคนบนเกาะมีไม่มาก ยังเป็นชุมชนขนาดเล็ก จึงขยายตัวช้า แม้จะเชื่อว่าคือ“เมืองตะกั่วถลาง”หรือ เมืองสุนัขนาม อันเป็นเมืองบริวารหนึ่งในสิบสองเมืองนักษัตรของนครศรีธรรมราชโบราณ(ราว พ.ศ.1000 เป็นต้นมา) ก็จัดอยู่ในลำดับเมืองที่สิบเอ็ด และไม่ค่อยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งชี้เกี่ยวกับเกาะแห่งนี้ ชื่อภูเก็ตเองก็เพิ่งปรากฏขึ้นในสมัยกรุงธนบุรี(พ.ศ.2310-2325) โดยที่ก่อนหน้านั้นมีปรากฏชื่อจากบันทึกต่างๆ เช่น จังซีลอน ฉลาง ถลาง ฯลฯ ชาวจีนที่เริ่มมาปักหลักในสมัยอยุธยามากขึ้น แต่ที่เข้ามายังภูเก็ตมักเป็นการโยกย้ายถิ่นฐานมาจากเมืองรอบๆ ในแถบชายทะเลและเกาะน้อยใหญ่อันมีมะละกาเป็นศูนย์กลาง หรือข้ามมาจากทางหัวเมืองชายฝั่งอ่าวไทยซึ่งมีชาวจีนเข้าอาศัยอยู่ก่อน มิได้เป็นการอพยพคราวละมากๆ ชนพื้นเมืองดั้งเดิม และชุมชนอื่นๆ ได้แก่ ชาวมอญ ทมิฬ ไทย และมลายู ก็อยู่กระจัดกระจาย มีการทำแร่เป็นหลัก โดยเริ่มมีชาวโปรตุเกสเข้ามาตั้งห้างรับซื้อแร่ขึ้นบนเกาะถลาง(ชื่อของภูเก็ตในสมัยนั้น)ตั้งแต่ปี 2126 ตามมาเป็นฮอลันดาในปี 2169
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช การค้ากับต่างประเทศรุ่งเรือง ชุมชนชาวจีนก็ขยายตัวขึ้นรองรับการทำเหมืองแร่สินค้าสำคัญ พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งพ่อค้าชาวฝรั่งเศสขึ้นเป็นเจ้าเมืองถลาง เพื่อจัดการผลประโยชน์เกี่ยวกับแร่ดีบุกให้แก่กรุงศรีอยุธยา ในปี 2231 หลังจากผลัดแผ่นดิน สมเด็จพระเพทราชาโปรดให้ประหารชีวิต มร.ชัวร์ เดอ บิลลี่ เจ้าเมืองถลางชาวฝรั่งเศส แล้วแต่งตั้งคนจีนฮกเกี้ยนชื่อนายคังเซ้งลงไปเป็นเจ้าเมืองแทน ชาวถลางเรียก พระยาถลางคางเซ้ง และสันนิษฐานว่าอาจมีชาวจีนเป็นเจ้าเมืองสืบต่อจนกระทั่งเสียกรุงครั้งที่ 2 ในปี 2310 ถลางจึงกลับไปอยู่ในอำนาจของผู้นำท้องถิ่นซึ่งเป็นสายตระกูลกลุ่มเครือญาติถลางเดิม(สืบเชื้อสายสุลต่านไทรบุรี)
ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา เมื่อมีการพบแหล่งแร่เพิ่มขึ้น ประกอบกับมหาอำนาจทางยุโรปเพิ่มการทำการค้าขึ้นมาก มีการทำสนธิสัญญาทางการค้ากับชาวตะวันตก ทำให้มีความต้องการแรงงานชาวจีนเพื่อมาทำเหมืองแร่อย่างมากจนกลายเป็นชนส่วนใหญ่ของภูเก็ตแต่นั้นเป็นต้นมา.
|
< ก่อนหน้า | ถัดไป > |
---|
วันนี้ | 970 | |
เมื่อวาน | 2572 | |
ทั้งหมด | 11006899 |